กว่าจะมี “เบียร์” เสรีในวันนี้ “ญี่ปุ่น” แดนปลาดิบต้องเผชิญอะไรบ้าง เกี่ยวกับเหตุการณ์ฟองสบู่แตก?

การผลิต เบียร์ Asahi ใน ญี่ปุ่น
The Osaka Beer Brewing Company was established in 1889, by Komakichi Torii who had a grand dream of introducing beer to Japan. The company launched Asahi Draft Beer, Japan’s first bottled draft beer in 1900. From the moment of its creation the Asahi brand was loved by the people of Japan because it embodied a dream and hope for the future. (ภาพจาก Asahi Beverages / www.asahi.com.au)

“เบียร์” เป็นเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ชนิดหนึ่งที่มีประวัติศาสตร์ยาวนาน มักปรากฏกายตามงานเลี้ยงสังสรรค์หรือเสริมสร้างบรรยากาศให้คนรู้สึกครื้นเครง ภาพลักษณ์ของเบียร์ต่อคนทั่วไปเป็นเครื่องดื่มที่แม้จะดื่มง่ายแต่ก็มีรสชาติขมทำให้หลายคนไม่เปิดใจ

แต่ปัจจุบันคนไทยเริ่มรู้จักสิ่งที่เรียกว่า “คราฟต์เบียร์” หรือเบียร์โฮมเมดจากชุมชนมากขึ้น ทำให้คนจำนวนมากก้าวมาสู่วงการเบียร์อย่างเต็มสูบ ทั้งยังพยายามผลักดันให้เกิดนโยบายสุราเสรีเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจสู่รากหญ้า เฉกเช่นเดียวประเทศอื่น ๆ เช่น เยอรมนี เกาหลีใต้ เวียดนาม รวมไปถึง “ญี่ปุ่น” ประเทศที่เคยผูกขาดภาษีเบียร์สำหรับกลุ่มทุนใหญ่ แต่ตอนนี้คือดินแดนที่เต็มไปด้วยเบียร์พื้นบ้านหลากชนิด!

แต่กว่าดินแดนแห่งโลกปลาดิบจะกลายมาเป็นเมืองสุราเสรีและกระจายรายได้ให้ท้องถิ่นก็ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะการเปลี่ยนแปลงในญี่ปุ่นไม่ได้เกิดขึ้นเพียงเพราะเสียงสะท้อนของประชาชน ทว่าเกิดขึ้นพร้อมกับวิกฤตเศรษฐกิจฟองสบู่ในช่วงทศวรรษ 1990 

คาดกันว่า เครื่องดื่มสีเหลืองทองมีฟองนี้เข้ามายังประเทศญี่ปุ่นโดยผู้เยี่ยมเยือนต่างทวีปชาวดัตช์ ในยุคเอโดะ ปี 1613 ผ่านท่าเรือฮิราโดะ ที่จังหวัดนางาซากิ ซึ่งเป็นท่าเรือเพียงไม่กี่แห่งที่รองรับการค้าต่างชาติ ช่วงแรกเบียร์ไม่เป็นที่รู้จักในหมู่คนพื้นถิ่นเลยแม้แต่นิดเดียว เพราะช่วงเวลานั้นญี่ปุ่นดำเนินนโยบายปิดประเทศ ทำให้เบียร์เป็นที่รู้จักในกลุ่มชาวต่างชาติที่เข้ามาค้าขายเท่านั้น

กระทั่ง 200 ปีต่อมา หรือในปี 1854 ญี่ปุ่นได้เซ็น “สัญญาคานางาวะ” (Treaty of Kanagawa) เพื่อมุ่งหวังจะเปิดประเทศและเข้าสู่ตลาดการค้ากับชาวต่างชาติ “เบียร์” สินค้าที่ (แทบ) ไม่มีใครหน้าไหนรู้จักก็เริ่มผลิบานในญี่ปุ่นมากขึ้น เนื่องจากชาวตะวันตกได้นำความรู้ทางด้านการผลิตเบียร์ซึ่งหอบหิ้วมาจากบ้านเกิดเมืองนอนมาเผยแพร่ในผืนแผ่นดินใหม่ 

จนปี 1869 “วิลเลียม โคปแลนด์” (William Copeland) ชายชาววีเจียน-อเมริกา ตัดสินใจเปิดร้านเบียร์แห่งแรกในแดนปลาดิบชื่อว่าร้าน Sring Valley Brewery ในย่านอาศัยที่คับคั่งไปด้วยชาวตะวันตก และที่นี่ก็กลายเป็นจุดศูนย์กลางที่ทำให้คนญี่ปุ่นได้ลิ้มลองรสชาติเครื่องดื่มที่ไม่เคยสัมผัสมาทั้งชีวิต 

วันเวลาผ่านไปเบียร์ก็เริ่มแทรกซึมเข้าไปในชีวิตประจำวันของคนญี่ปุ่น และไม่ได้มีเพียงชาวต่างชาติเท่านั้นที่ผลิตของเหลวสีเหลืองรสชาติขมปร่าออกมาเพื่อเสิร์ฟความต้องการของคนในพื้นที่ ชาวญี่ปุ่นจำนวนหนึ่งก็ผลิตเบียร์เป็นของตนเองเช่นกัน โดยผลิตภัณฑ์ที่ออกมาในช่วงนั้นก็ได้แก่ ซัปโปโร (Sapporo) ก่อตั้งในปี 1876, คิริน (Kirin) ก่อตั้งในปี 1888, อาซาฮี (Aasahi) ก่อตั้งในปี 1892, ซันโตรี (Suntory) ก่อตั้งในปี 1899 ซึ่งแบรนด์ทั้งหมดนี้เชื่อว่าใครหลายคนทั้งที่เป็นคอเบียร์ และไม่ใช่คอเบียร์ก็น่าจะรู้จักกันดี

ทิศทางของเครื่องดื่มมึนเมาชนิดนี้ในญี่ปุ่นดูท่าจะไปได้สวย เพราะคนในประเทศตอบรับกับผลผลิตที่ออกมาจากน้ำมือชนชาติเดียวกัน ถึงขั้นว่าปริมาณเบียร์ในประเทศมีปริมาณแซงหน้าเบียร์นำเข้าจากต่างชาติ 

ทว่าในเรื่องดี ๆ ก็ยังมีเรื่องร้าย ๆ ซ่อนอยู่ เพราะแม้เบียร์จะสร้างรายได้ให้กับคนในประเทศ แต่ก็เพียงไม่กี่เปอร์เซ็นต์จากทั้งหมด 

ในปี 1901 รัฐบาลญี่ปุ่นได้เข้ามามีบทบาทเพื่อสนับสนุนตลาดเบียร์ในประเทศให้เติบโตมากขึ้น โดยออกกฎหมายที่เรียกว่า “Beer Tax Law” มุ่งจัดเก็บภาษีนำเข้ามากขึ้นเป็นพิเศษ และกำหนด “ปริมาณขั้นต่ำ” ในการผลิต และหากผู้ผลิตไม่สามารถทำตามเงื่อนไขที่รัฐกำหนดก็จะไม่ได้รับใบอนุญาต

จำนวนขั้นต่ำของการผลิตเบียร์ในประเทศญี่ปุ่นดูเหมือนจะเพิ่มทวีคูณขึ้นเรื่อย ๆ เพราะในปี 1908 ระบุไว้ที่ 180,000 กิโลลิตรต่อปี พอปี 1940 ก็กระโดดไปที่ 1,800,000 กิโลลิตรต่อปี และในปี 1959 สูงถึง 2,000,000 กิโลลิตรต่อปี 

เหตุผลที่ต้องทำเช่นนี้ เพราะรัฐบาลต้องการช่วยให้ประเทศญี่ปุ่นซึ่งขณะนั้นยังไม่มีกำลังต่อสู้กับต่างชาติมากพอ ได้เติบโตและแจ้งเกิดในตลาดเบียร์ได้ แต่พวกเขากลับลืมไปว่ากฎหมายนี้จะเป็นหลุมร้ายสำหรับชาวรากหญ้าที่อยากจะผลิตสูตรเบียร์เป็นของตนเอง 

Beer Tax Law ยังคงเป็นกฎหมายที่ดำเนินการใช้ในญี่ปุ่นมาเรื่อย ๆ แม้ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ตลาดเบียร์ในประเทศจะชะงักก็ตาม แต่รัฐบาลก็ไม่เคยประกาศหยุดใช้ หรือเข้าทศวรรษ 1970 ที่เศรษฐกิจของญี่ปุ่นโตอย่างสุดขีด รัฐบาลก็ไม่มีทีท่าว่าจะยกเลิกกฎหมาย

เมื่อเป็นเช่นนี้จึงทำให้กลุ่มประชาชนหัวเสรี รวมถึงกลุ่ม SMEs เริ่มต่อต้านและออกมาเรียกร้องให้รัฐบาลแก้กฎหมายใหม่ให้เอื้อกับคนที่ไม่ใช่กลุ่มทุนใหญ่บ้าง ทว่าจนแล้วจนรอดก็ดูไร้วี่แวว

จนกระทั่งเข้าทศวรรษ 1990 ญี่ปุ่นเผชิญปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจฟองสบู่แตก ผู้คนที่เคยดำเนินธุรกิจอย่างมั่งคั่งต่างล้มละลายกันระนาว ประชาชนผู้มีเงินเพื่อสินค้าฟุ่มเฟือยต่าง ๆ ก็ต้องเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตของตนเองใหม่ทั้งหมด 

เศรษฐกิจที่เคยอู้ฟู่บัดนี้จางหายภายในชั่วพริบตา รัฐบาลญี่ปุ่นต้องออกมาตรการต่าง ๆ เพื่อรองรับความเป็นอยู่ของคนในสังคม หนึ่งในนั้นก็คือกฎหมายเรื่องผลิตเบียร์ที่มีปัญหาคาราคาซังมาช้านาน 

ในปี 1994 ญี่ปุ่นตัดสินใจออกกฎหมายใหม่อย่าง “Liquor Tax Law” ฉบับแก้ไขใหม่ขึ้น ซึ่งถ้าลองอ่านรายละเอียดดูจะทราบว่าเป็นกฎหมายที่หนุนกลุ่มพ่อค้าแม่ขายรายย่อยอย่างมาก เพราะรัฐบาลตัดสินใจลดจำนวนปริมาณขั้นต่ำสำหรับการผลิตเบียร์ในญี่ปุ่นให้เหลือเพียง 60,000 กิโลลิตรต่อปี แตกต่างจากเดิมหลายเท่าตัว เพื่อหวังว่าการเปิดโอกาส (ที่เรียกร้องกันมาอย่างยาวนาน) นี้จะเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจ และสามารถกระจายรายได้สู่ประชาชนส่วนใหญ่ไปในตัว

หลังจากประกาศใช้กฎหมายไปไม่นาน การผลิตเบียร์ในกลุ่มประชาชนรายย่อยก็เติบโตขึ้นอย่างมาก ทั่วทั้งประเทศเกิดโรงเบียร์ขนาดเล็กถึง 300 แห่ง ทั้งยังเกิดแรงกระเพื่อมต่าง ๆ ในกลุ่ม SMEs ทั่วประเทศ เช่น การก่อตั้ง Japan Brewers Association เพื่อแลกเปลี่ยนและเรียนรู้เรื่องเบียร์ ทั้งในแง่การผลิตและการขาย 

แม้ “คราฟต์เบียร์” จะไม่สามารถยืนระยะได้เหมือนกับเบียร์แบรนด์ใหญ่ ๆ จากกลุ่มทุน เพราะหากวิเคราะห์ตามสถิติส่วนแบ่งการตลาดเบียร์ญี่ปุ่นในปี 2021 แบรนด์ที่ครอง 4 อันดับแรกล้วนมาจากเบียร์ชั้นนำที่ขายตามท้องตลาด เริ่มตั้งแต่ อาซาฮี, คิริน, ซันโตรี, ชัปโปโร

แต่การมี  “คราฟต์เบียร์” ก็ถือเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่ก่อให้เกิดผลดีต่อทั้งสองฝ่าย เพราะไม่เพียงกลุ่มผู้บริโภคจะได้เพิ่มทางเลือก และลิ้มลองเครื่องดื่มรสชาติใหม่ ๆ แต่ฝ่ายผู้ผลิตยังได้มีที่ทางเป็นของตนเอง ก่อให้เกิดรายได้ในชุมชน ทั้งชาวบ้านยังได้สร้างสรรค์เครื่องดื่มรสชาติใหม่ ๆ จากวัตถุดิบพื้นถิ่นของตนเองออกมา อย่างที่เราเห็นแบรนด์ต่าง ๆ เช่น เบียร์โอคอตสค์ (Okhotsk Beer) จากจังหวัดฮอกไกโด, เบียร์โคเอโดะ (Coedo Beer) จากจังหวัดไซตามะ เป็นต้น

อ่านเพิ่มเติม :

สำหรับผู้ชื่นชอบประวัติศาสตร์ ศิลปะ และวัฒนธรรม แง่มุมต่าง ๆ ทั้งอดีตและร่วมสมัย พลาดไม่ได้กับสิทธิพิเศษ เมื่อสมัครสมาชิกนิตยสารศิลปวัฒนธรรม 12 ฉบับ (1 ปี) ส่งความรู้ถึงบ้านแล้ววันนี้!! สมัครสมาชิกคลิกที่นี่


อ้างอิง :

ปริพนธ์ นำพบสันติ. Loveable Japan. กรุงเทพฯ: broccoli, 2566.

ไชยวัฒน์ ค้ำชู. “ระบบเศรษฐกิจการเมืองญี่ปุ่น ยุคหลัง ‘ฟองสบู่แตก’: ความต่อเนื่องและการเปลี่ยนแปลง.” วารสารสังคมศาสตร์ 31, 1 (มกราคม-มิถุนายน 2543): 47-86.

https://www.bangkokbiznews.com/world/1069435


เผยแพร่ในระบบออนไลน์ครั้งแรกเมื่อ 17 สิงหาคม 2566