ผู้เขียน | ปดิวลดา บวรศักดิ์ |
---|---|
เผยแพร่ |
เมื่อพูดถึง “ฟิลิปปินส์” ประเทศหมู่เกาะในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ทุกคนคงมีอะไรให้นึกถึงมากมาย ไม่ว่าจะเป็นสถานที่ท่องเที่ยวอันสวยสดงดงาม หรือวัฒนธรรมแสนล้ำค่า แต่ถ้าหากพูดถึงเรื่องราวของการเมืองนั้น ที่ขาดไปไม่ได้เลยคือ “ตระกูลมาร์กอส” โดยเฉพาะ “อิเมลดา มาร์กอส” (Imelda Marcos) อดีตสตรีหมายเลข 1 ผู้ซื้อรองเท้า 3,000 คู่จากภาษีประชาชน!
อิเมลดา มาร์กอส เป็นลูกสาวของ วิเซนเต โรมูอัลเดซ (Vicente Romualdez) กับภรรยาคนที่ 2 เรเมดิออส โรมูอัลเดซ (Remedios Romualdez) เธอเกิดที่เมืองซานมิเกล กรุงมะนิลา ประเทศฟิลิปปินส์ ในปี 1929 ชีวิตของอิเมลดาในตอนแรกเรียกได้ว่าไม่สวยหรูนัก แม้ว่าพ่อจะฐานะดี แต่เพราะเธอไม่ได้เป็นลูกสาวจากภรรยาแรก และเมื่อเกิดปัญหาเศรษฐกิจในฟิลิปปินส์ความอู้ฟู่ก็ได้จางหายไป ทำให้ครอบครัวต้องย้ายถิ่นฐานจากมะนิลาไปยังทาโคลบัน
ชีวิตวัยเด็กของอิเมลดานั้นเรียบง่าย เธอชื่นชอบการเต้นจังหวะรุมบ้าและหนังของอิงกริด เบิร์กแมน นักแสดงสาวชาวสวีเดน ส่วนเรื่องความสวยงามเรียกได้ว่าเป็นที่เลื่องลือ เพราะช่วงมัธยมอิเมลดาได้รับฉายาว่า “กุหลาบแห่งทาโคลบัน” เนื่องจากรูปร่างหน้าตาอันสวยสดงดงาม อีกทั้งเธอเคยประกวดนางงามเวทีท้องถิ่นในปี 1949 และได้รับรางวัลชนะเลิศ
หลังเรียนจบ “กุหลาบแห่งทาโคลบัน” ได้ทำงานมากมายตามที่คนรู้จักแนะนำ หนึ่งในนั้นคือ ประกวดเวทีนางงามอย่าง Miss Manila Beauty Pageant ซึ่งทำให้เธอเป็นที่รู้จักในวงกว้าง
แต่สิ่งที่เปลี่ยนชีวิตของเธอไปตลอดกาล คือการพบกับ “เฟอร์ดินานด์ มาร์กอส” นักการเมืองหนุ่มไฟแรงมากความสามารถในวันที่ 6 เมษายน ค.ศ. 1954
เพียง 11 วันเท่านั้น ทั้งคู่ก็แต่งงานแบบสายฟ้าแลบ อิเมลดาคอยอยู่เบื้องหลัง ผลักดันสามีของตนเองในสนามการเมือง ใช้เสน่ห์และความสวยของตนเองให้เป็นประโยชน์ เพื่อให้คนทั้งประเทศหันมาสนใจสามีและเทคะแนนให้ ประจวบเหมาะกับเฟอร์ดินานด์ที่มีภาษีด้านงานการเมืองมายาวนาน และมีความสามารถเต็มเปี่ยม ทุกอย่างผสมลงตัวเป็นอย่างดี จึงทำให้ทุกอย่างไม่พลิกโผ
เฟอร์ดินานด์ชนะการเลือกตั้งในปี 1965 กลายมาเป็นประธานาธิบดีคนที่ 10 ของฟิลิปปินส์
ในช่วงแรกเฟอร์ดินานด์ทำหน้าที่ของตนเองได้อย่างดีเยี่ยม ทั้งนโยบายหาเสียงที่จะช่วยให้เศรษฐกิจฟิลิปปินส์เติบโต ซึ่งเขาทำได้ เพราะเฟอร์ดินานด์ในฐานะประธานาธิบดีสั่งให้มีการสร้างอาคาร โครงสร้างพื้นฐานใหม่ ๆ ก่อรายได้ให้คนในประเทศ
ส่วนภรรยาสุดสวยก็คอยทำหน้าที่ทูตเชื่อมสัมพันธไมตรีระหว่างประเทศ ไม่ว่าจะงานเล็กหรือใหญ่ สตรีหมายเลข 1 คนนี้ก็พร้อมแสตนด์บาย (แม้จะไม่ได้ถูกรับเชิญ) เช่น ปรากฏตัวในงานพิธีสาบานเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีของริชาร์ด นิกสัน หรืองานสาบานตนของประธานาธิบดี จิมมี คาร์เตอร์
รวมถึงรับตำแหน่งทางการเมืองในฟิลิปปินส์ เช่น ผู้ว่าการกรุงมะนิลา พ่วงด้วยการเป็นประธานคณะกรรมการศูนย์วัฒนธรรมแห่งชาติ ทำให้ใครต่อใครมองว่าทั้งคู่คือคู่รักที่สวรรค์ทรงโปรด
เมื่อเป็นเช่นนี้ เฟอร์ดินานด์จึงได้ดำรงตำแหน่งประธาธิบดีสมัยที่ 2 ท่ามกลางความเชื่อมั่นของประชาชน
แต่ทุกอย่างกลับตาลปัตร เสรีภาพและการเติบโตในทิศทางที่ดีของประเทศดูเหมือนจะดิ่งลงเหว เพราะประธานาธิบดีสมัยที่ 2 คนนี้กลับมีท่าทีเปลี่ยนไป เริ่มปกครองประเทศในรูปแบบเผด็จการมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการจำกัดสิทธิของสื่อหรือประชาชน จนไปถึงการออก “กฎหมายอัยการศึก” ในปี 1972 เฟอร์ดินานด์ให้เหตุผลว่าที่ต้องทำเช่นนี้เพราะมีผลมาจากภัยคุกคามของคอมมิวนิสต์ที่กำลังระบาดไปทั่วโลก รวมถึงปัญหาเกี่ยวกับการประท้วงแยกดินแดน
การออกกฎหมายดังกล่าวทำให้ประธานาบดี 2 สมัยคนนี้มีอำนาจเบ็ดเสร็จ
ทว่าแทนที่จะได้ใช้ “กฎหมายอัยการศึก” เพื่อความสงบสุข เฟอร์ดินานด์กลับใช้มันเพื่อแก้รัฐธรรมนูญเอื้อประโยชน์พวกพ้อง และใช้ปิดปากสื่อจำนวนมาก
ความไม่พอใจปะทุในภาคประชาชนคนทั่วไป บวกกับความเบื่อหน่ายอำนาจอันยาวนานของเฟอร์ดินานด์ จนทำให้กลุ่มนักศึกษาและชาวฟิลิปปินส์มากมายเริ่มออกมาประท้วง
สื่อเริ่มขุดคุ้ยให้เห็นถึงการใช้เงินอย่างสุรุ่ยสุร่ายของครอบครัวมาร์กอส โดยเฉพาะ “อิเมลดา” สตรีหมายเลข 1 ที่มีหลักฐานว่ายักยอกภาษีของประชาชนไปใช้จ่ายในต่างประเทศอย่างอู้ฟู่ ไม่ว่าจะเป็นการใช้เงินซื้อของแบรนด์เนม กระทั่งใช้ในชีวิตประจำวัน
อย่างที่ CIA ได้เคยรายงานถึงเงินจำนวน 1,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ที่มีการทุจริตมาจากภาษีประชาชนว่า อิเมลดาได้ใช้มันไปในงานครบรอบวันแต่งงาน โดยอดีตสตรีหมายเลข 1 นำเงินไปถลุงกับผ้าคลุมหน้าสีขาวประดับเพชรที่มีการประเมินว่าน่าจะมีราคาอย่างน้อย 1 ล้านดอลลาร์สหรัฐ รวมถึงมีการจัดปาร์ตี้โดยจ้างวงดนตรีมะนิลาซิมโฟนีออร์เคสตราถึงรุ่งเช้า
ความฉาวยังไม่หมดเพียงเท่านั้น เพราะยังมีการรายงานว่าขณะที่เธอไปเยือนนิวยอร์กในปี 1977 ได้ใช้เงินไปถึง 193,320 ดอลลาร์สหรัฐกับของเก่า รวมถึงจ่ายเงินจำนวนมหาศาลให้กับร้านเครื่องประดับหรูหราหลายแห่ง เช่น ซื้อสร้อยข้อมือทองคำขาวและมรกตของ Bulgari จนหมดเงินไปทั้งสิ้น 2,181,000 ดอลลาร์สหรัฐ
หากให้นับเงินที่เสียไปจากการชอปปิงเพียง 3 เดือนก็น่าจะราว 4.5 ล้านเหรียญสหรัฐ
ทั้งยังมีข่าวลือที่ว่ารองเท้าในคลังทั้งหมดของเธอนั้นมีประมาณ 3,000 คู่ แม้ว่าตอนหลังจะมีการแก้ข่าวจากสำนักข่าว Time ว่าจากการตรวจสอบครั้งสุดท้ายมีเพียง 1,060 คู่ และจากสัมภาษณ์ของอิเมลดาเองก็ตอบว่ามีเพียง 1,060 คู่ แต่ทั้งหมดนี้ก็มาจากภาษีประชาชน
รวมไปถึงการบริหารประเทศของเฟอร์ดินานด์ที่เรียกได้ว่าทำฟิลิปปินส์เข้าสู่วิกฤต เพราะมีหนี้สินจำนวนมากจนเรียกว่ามากที่สุดในเอเชียขณะนั้น
ด้วยความหรูหราฟู่ฟ่าของผู้นำที่แตกต่างจากความเป็นอยู่ของชาวฟิลิปปินส์ราวฟ้ากับเหว ทำให้เกิดการประท้วงและต่อต้านอำนาจสกปรกของเฟอร์ดินานด์ มาร์กอส และตระกูลนี้หนักขึ้นเรื่อย ๆ
แม้ประธานาธิบดีคนดังกล่าวจะพยายามยุบสภาและเลือกตั้งใหม่ แต่ทุกอย่างก็สายไป เพราะประชาชนและทหารได้รวมตัวกันประท้วง จนเกิดเหตุการณ์ “การปฏิวัติเอ็ดซา” (EDSA Revolution) หรือ “การปฏิวัติสีเหลือง” ซึ่งเป็นเหตุการณ์ต่อสู้ระหว่างชาวฟิลิปปินส์กับทหารของรัฐบาล กระทั่งมีผู้เสียชีวิตมากมาย
ท้ายที่สุด ครอบครัวมาร์กอสต้องอพยพไปอยู่รัฐฮาวาย ประเทศสหรัฐอเมริกา ท่ามกลางความปิติยินดีของประชาชนที่หวังว่าจะได้ความสงบกลับคืน ชัยชนะและเสรีภาพได้กลับมาสู่มือของประชาชนอีกครั้ง ก่อนที่ปี 1989 เฟอร์ดินานด์จะเสียชีวิตที่ฮาวาย ทำให้ภรรยาอย่าง “อิเมลดา” หมายมั่นว่าจะกลับมาเหยียบฟิลิปปินส์อีกครั้ง
เมื่อกลับมายังบ้านเกิด ทั้งยังทิ้งความโหดร้ายไว้ให้แก่ประชาชน คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติจึงตัดสินใจเป็นโจทก์ยื่นฟ้องอิเมลดาในฐานะข้อหาทุจริต
แต่เนื่องจากการฟ้องร้องนั้นวุ่นวายอย่างมาก เพราะแม้จะมีการสั่งฟ้อง แต่ก็ถูกยกฟ้องอยู่หลายครั้ง ทำให้อิเมลดาใช้ช่องโหว่ตรงนี้ในการกลับเข้าสู่เส้นทางทางการเมือง และหวังชิงตำแหน่งประธานาธิบดี ค.ศ. 1992 แต่ก็พ่ายให้กับฟิเดล รามอส
อย่างไรก็ตามในปี 1998 ศาลก็ตัดสินให้อดีตสตรีหมายเลข 1 คนนี้รอดคดี แม้ในเวลาต่อมาจะมีการฟ้องร้องเกิดขึ้นอีก แต่อิเมลดาก็รอดไปได้อยู่เสมอ
วันเวลาผ่านไป “ตระกูลมาร์กอส” ดูเหมือนจะสิ้นสุดอำนาจทางการเมืองในฟิลิปปินส์ และประเทศคงจะเดินหน้าต่อไปโดยไร้นามสกุลนี้ที่เคยมีอำนาจยาวนานถึง 20 ปี
แต่น่าเสียดายที่ปัจจุบัน “ตระกูลมาร์กอส” ก็ยังโลดแล่นอยู่ในวงการการเมือง และลูกชายสุดที่รักของเธอ “บองบอง มาร์กอส” ก็เพิ่งชนะการเลือกตั้งในปี 2022 อย่างถล่มทลายแบบแลนด์สไลด์ และกลายเป็นประธานาธิบดีคนที่ 17 ของฟิลิปปินส์ เหมือนไม่เคยมีเหตุการณ์ก่อนหน้าเกิดขึ้น
อ่านเพิ่มเติม :
- EDSA Revolution การปฏิวัติพลังประชาชน ที่ทำให้ชาวฟิลิปปินส์หลุดพ้นจากเผด็จการ 20 ปี
- 5 ก.ค. 1966 “The Beatles” เกือบไม่ได้กลับบ้าน!!? หลังปฏิเสธคำเชิญร่วมงานเลี้ยง “เมียท่านผู้นำ” ฟิลิปปินส์
- ส่องประวัติ เฟอร์ดินานด์ มาร์กอส “จอมเผด็จการ” พ่อของว่าที่ปธน.คนใหม่ของฟิลิปปินส์
อ้างอิง :
https://www.britannica.com/biography/Imelda-Marcos
https://www.encyclopedia.com/women/encyclopedias-almanacs-transcripts-and-maps/marcos-imelda-1929
www.silpa-mag.com/history/article_70227%20
www.silpa-mag.com/history/article_86712
https://www.thepeople.co/read/23907
https://www.vice.com/en/article/59n8ab/what-ever-happened-imelda-marcos-3000-pairs-shoes-philippines
เผยแพร่ในระบบออนไลน์ครั้งแรกเมื่อ 7 กรกฎาคม 2566