ผู้เขียน | นภา เหลืองนันทการ |
---|---|
เผยแพร่ |
ฟิลิปปินส์ภายใต้การบริหารของประธานาธิบดี เฟอร์ดินานด์ มาร์กอส ที่ครองอำนาจยาวนานถึง 20 ปี ตั้งแต่วันที่ 30 ธันวาคม ปี ค.ศ. 1965 ถึงวันที่ 25 กุมภาพันธ์ ปี ค.ศ. 1986 ได้ทำให้ฟิลิปปินส์เผชิญกับภาวะเศรษฐกิจของฝืดเคือง ประชาชนอดอยาก พบการทุจริตเป็นจำนวนมาก หนี้สาธารณะพุ่งสูง ประชาชนได้รับผลกระทบอย่างรุนแรง
เขาได้สร้างภาพจำต่อประชาชนว่าเป็นทรราชผู้ละเมิดสิทธิมนุษยชน และเข่นฆ่าประชาชนผู้เห็นต่างโดยใช้กฎอัยการศึก และความเลวร้ายที่สุดคือ การทุจริตภายในรัฐบาล โดยพบว่าเป็นจำนวนเงินมหาศาลราว 5-10 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ รัฐบาลของนายมาร์กอสทำให้หนี้สินของประเทศเพิ่มขึ้น 10 เท่าภายในระเวลา 20 ปี ส่งผลให้ฟิลิปปินส์กลายเป็นประเทศที่มีหนี้สินมากที่สุดในเอเชีย
สภาพบ้านเมืองของฟิลิปปินส์ในสมัยนั้นระส่ำระสายอย่างหนัก สถานการณ์เริ่มบานปลายเมื่อเกิดเหตุระเบิดในช่วงการปราศรัยของพรรคฝ่ายค้านที่จัตุรัสมิแรนด้าในปี ค.ศ. 1971 ด้วยเหตุนี้เองนายมาร์กอสจึงประกาศยกเลิกข้อบังคับทางวิธีพิจารณาความอาญา (Writ of Habeas Corpus) เพื่อให้ฝ่ายรัฐบาลมีอำนาจในการจับกุมผู้ต้องสงสัยโดยไม่ต้องมีหมายศาล ซึ่งเป็นเหตุให้รัฐบาลของนายมาร์กอสสามารถจับกุมผู้เห็นต่างทางการเมืองได้เป็นจำนวนมาก จนนำมาสู่การต่อต้านของชาวฟิลิปปินส์ นายมาร์กอสจึงประกาศใช้กฎอัยการศึกในปี ค.ศ. 1972 เพื่อควบคุมสถานการณ์บ้านเมือง รวมไปถึงใช้อำนาจในการครอบงำจำกัดเสรีภาพของสื่อมวลชนภายในประเทศนานถึง 9 ปี
แน่นอนว่าในช่วงแรกของการประกาศใช้กฎอัยการศึก ประชาชนชาวฟิลิปปินส์จำนวนไม่น้อยต่างเห็นด้วย เพราะพวกเขามองว่าประเทศจะกลับมาสงบสุขอีกครั้ง เนื่องจากฝ่ายตรงข้ามและฝ่านค้านได้ลี้ภัยออกนอกประเทศ ปัญหาอาชญากรรมก็น่าจะลดลง แต่เมื่อเวลาผ่านไปรัฐบาลเผด็จการของนายมาร์กอสก็เริ่มก่อปัญหามากมาย เช่น การวิสามัญฆาตกรรมโดยคนในกองทัพฟิลิปปินส์มากถึง 3,257 คดี มีคนถูกซ้อมทรมานกว่า 70,000 คน และมีรายงานคนถูกบังคับให้สูญหายถึง 737 คน
แม้การประกาศใช้กฎอัยการศึกจะอ้างว่ากระทำไปเพื่อการควบคุมความสงบเรียบร้อยภายในประเทศ แต่นายมาร์กอสได้ใช้อำนาจในการครอบงำจำกัดเสรีภาพของสื่อมวลชน รวมถึงแก้ไขรัฐธรรมเพื่อเอื้ออำนาจให้แก่ตนและพวกพ้อง นายมาร์กอส เครือญาติ และพรรคพวกร่ำรวยขึ้น ในขณะที่ประชาชนยากจนลง ระบบพรรคพวกและระบบอุปถัมภ์ไม่เปิดโอกาสให้บุคคลที่อยู่นอกกลุ่มเข้าถึงทรัพยากรทางเศรษฐกิจ อีกทั้งยังใช้อำนาจทางการเมืองอย่างเบ็ดเสร็จโดยอาศัยวิธีการทางกฎหมาย
ในช่วงปลายปี ค.ศ. 1979 ได้เกิดปัญหาเศรษฐกิจชะลอตัว ราคาสินค้าการเกษตรตกต่ำ รัฐบาลเผด็จการของนายมาร์กอสเริ่มถูกโจมตีจากปัญหาหนี้สาธารณะที่ก่อตัวเพิ่มมากขึ้นที่เกิดจากการกู้เงินจำนวนมหาศาลเพื่อพัฒนาโครงสร้างภายในประเทศที่ตามมาด้วยปัญหาการทุจริต จนทำให้นายมาร์กอสต้องประกาศยกเลิกกฎอัยการศึกในอีกหนึ่งปีต่อมา พร้อมกับประกาศเลือกตั้งในปี ค.ศ. 1981 แต่พรรคฝ่ายค้านปฏิเสธ ไม่ส่งผู้สมัครลงรับเลือกตั้ง จึงทำให้นายมาร์กอสชนะการเลือกตั้งและได้เป็นประธานาธิบดีอีกสมัย
ในปี ค.ศ. 1983 นายเบนิญโน่ อาคิโน่ นักการเมืองฝ่ายค้านที่ลี้ภัยอยู่สหรัฐฯ ได้เดินทางกลับมาฟิลิปปินส์เพื่อหวังลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีในสมัยหน้า แต่กลับถูกลอบสังหารที่สนามบิน ส่งผลให้นายมาร์กอสชนะการเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีอีกครั้งด้วยคะแนน 53.62% ท่ามกลางข้อครหาเกี่ยวกับการโกงเลือกตั้ง การกระทำดังกล่าวจึงเป็นชนวนที่ทำให้ประชาชนเห็นอำนาจมืดของ “ระบอบมาร์กอส” ที่ใช้ความรุนแรงอย่างโจ่งแจ้งในการกำจัดบุคคลที่คัดค้านและท้าทายอำนาจในการบริหารประเทศของเขา
ต่อมาในปี ค.ศ. 1986 นายมาร์กอสประกาศยุบสภา และจัดการเลือกตั้งใหม่ นางคอราซอน อาคิโน่ ภรรยาของนายเบนิญโญ่ นักการเมืองฝ่ายค้านประกาศลงเลือกตั้งเป็นผู้ท้าชิงตำแหน่งประธานาธิบดี แต่นายมาร์กอสก็ยังคงชนะการเลือกตั้ง ท่ามกลางเสียงครหาการเลือกตั้งที่ไม่โปร่งใส จนนำมาสู่การลุกฮือประท้วงครั้งใหญ่ที่เรียกว่า “การปฏิวัติเอ็ดซา” (EDSA Revolution) หรือ “การปฏิวัติสีเหลือง” ซึ่งเรียกชื่อตามที่ประชาชนใส่เสื้อสีเหลืองออกมาประท้วง
การประท้วงในครั้งนั้นมีประชาชนนับหมื่นรวมทั้งทหารที่แปรพักตร์มาเข้าร่วมการชุมนุมกับประชาชนที่ถนนเอ็ดซา ในกรุงมะนิลา แม้จะมีความพยายามสลายการชุมนุมหลายครั้งแต่ก็ไม่เป็นผล วันที่ 25 กุมภาพันธ์ ปี ค.ศ. 1986 เกิดการปะทะกันระหว่างทหารของรัฐบาลและทหารที่แปรพักตร์ทำให้มีผู้เสียชีวิต ในวันเดียวกันประชาชนนับล้านสวมเสื้อสีเหลืองออกมาเดินประท้วงขับไล่ประธานาธิบดี ซึ่งการชุมนุมในครั้งนี้ถูกจารึกไว้ว่าเป็น People Power หรือ The Philippine Revolution of 1986 ทำให้นายมาร์กอสจึงต้องลี้ภัยทางการเมืองไปยังสหรัฐฯ
ต่อมา รัฐบาลฟิลิปปินส์ดำเนินการสอบสวนและอายัดทรัพย์สินจำนวนมหาศาลของนายมาร์กอส พร้อมทั้งดำเนินคดีการทุจริตของนายมาร์กอสระหว่างการดำรงตำแหน่งผู้นำของประเทศ หลังจากนั้นรัฐบาลได้กำหนดให้วันที่ 25 กุมภาพันธ์ของทุกปีเป็นวันหยุดราชการ และได้สร้างอนุสาวรีย์ไว้ที่ถนนเอ็ดซา เพื่อรำลึกถึงพลังการต่อสู้ของมวลชน และนี่คือบทสรุปของเผด็จการในฟิลิปปินส์ที่ครองอำนาจมานานกว่า 20 ปี
อ้างอิง
ศิรินภา นรินทร์. 2563. “ประวัติศาสตร์การต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยในต่างแดนที่มวลชนได้รับชัยชนะ”. ประชาชาติธุรกิจ. สืบค้นวันที่ 28 มิถุนายน 2564, https://www.prachachat.net/d-life/news-559498.
“30 ธันวาคม 1965-เฟอร์ดินานด์ มาร์กอส ขึ้นเป็นประธานาธิบดีคนที่ 10 ของฟิลิปปินส์ ก่อนถูกปฏิวัติโดยประชาชน”. 2563. The Standard. สืบวันวันที่ 29 มิถุนายน 2564, https://thestandard.co/onthisday30121965/.
Mark John Sanchez. “The People Power Revolution, Philippines 1986”. Origins Current Events in Historical Perspective. Retrieved June 29, 2021, https://origins.osu.edu/milestones/people-power-revolution-philippines-1986
“How Filipino People Power toppled dictator Marcos”. 2016. BBC NEWS. Retrieved June 29, 2021, https://www.bbc.com/news/av/magazine-35526200
เผยแพร่เนื้อหาในระบบออนไลน์ครั้งแรกเมื่อ 29 มิถุนายน 2564