ที่มา | ศิลปวัฒนธรรม ฉบับธันวาคม 2565 |
---|---|
ผู้เขียน | ธนโชติ เกียรติณภัทร |
เผยแพร่ |
เปิดตำนาน “พระร่วง” ลูกนางนาค ใน พระราชพงศาวดารเหนือ สะท้อนสัมพันธ์ร่วม เมืองน่าน และ กลุ่มชนลุ่มน้ำโขง
ตํานาน “พระร่วง” ลูกนางนาค
หลักฐานประเภทตำนานหลายฉบับระบุว่า พระร่วง เป็นลูกนางนาค เอกสารเก่าสุดที่พบขณะนี้คือ “พระราชพงศาวดารเหนือ” พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย เมื่อครั้งยังดำรงพระยศเป็นกรมพระราชวังบวรสถานมงคล รับสั่งให้พระวิเชียรปรีชา (น้อย) รวบรวมหนังสือหลายเรื่องที่มีมาแต่ครั้งกรุงเก่ามาเรียบเรียงไว้ในที่เดียวกัน
ตํานานเรื่องนี้กล่าวถึงพระร่วง ใน 2 ตอน คือ “พระร่วงอรุณราชกุมารเมือง สวรรคโลก” ซึ่งเป็นลูกนางนาค และ “พระร่วง เมืองสุโขทัย” บุตรนายคงเครานายกองส่วยน้ำเมืองละโว้
เรื่องพระร่วงอรุณราชกุมาร มีใจความโดยสังเขปว่า พระยาอภัยคามินีเสวยราชย์อยู่ในเมืองหริภุญชัย ต่อมาไปจำศีลที่เขาใหญ่ ทันใดนั้น “จึงร้อนถึงอาสน์นางนาคอยู่มิได้ ก็ขึ้นมาในภูเขาใหญ่นั้น ก็มาพบพระยาอยู่จำศีล เธอก็มาเสพเมถุน ด้วยนางนาค” [1] ทั้งสองอยู่กินด้วยกัน 7 วัน นางนาคจะลากลับบาดาล พระยาอภัยคามินีจึงมอบผ้ารัตนกัมพลและพระธำมรงค์ไว้ให้นางนาค ต่อมาพระยาอภัยคามินีเสด็จกลับเมือง ส่วนนางนาคคลอดบุตรทิ้งไว้ที่ภูเขานั้น พร้อมกับทิ้งผ้ารัตนกัมพลและพระธำมรงค์เอาไว้ ขณะนั้นนายพรานออกมาหาเนื้อในป่า มาพบกุมารจึงเก็บไปเลี้ยง
วันหนึ่งพระยาอภัยคามินีเกณฑ์ชาวบ้านมาสร้างพระมหาปราสาท นายพรานถูกเกณฑ์จึงพากุมารนั้นมาด้วย และให้กุมารนั่งใต้เงาพระมหาปราสาท ปรากฏว่าพระมหาปราสาท “ก็โอนไปเป็นหลายที” พระยาอภัยคามินีสงสัยจึงซักถามนายพราน และเห็นผ้ากับพระธำมรงค์ ก็จำได้ว่าเป็นโอรสของตน จึงรับกุมารมาเลี้ยงดูและให้ชื่อว่า “เจ้าอรุณราชกุมาร” และตั้งให้เป็นพระยาร่วงครองเมืองสัชนาไลย
พระราชพงศาวดารเหนือกล่าวถึง “วีรกรรม” ของพระร่วงอรุณราชกุมารไว้ว่า เป็นผู้ลบศักราช ชุมนุมพระสงฆ์ทําตัวหนังสือ ยกกองทัพเรือไปเมืองจีน และเป็นผู้มีวาจาสิทธิ์
“พระยาร่วงขณะนั้นคะนองนัก มักเล่นเบี้ยเล่นว่าว ไม่ถือตัว ว่าเป็นท้าวเป็นพระยาเสด็จไปไหนก็ไปคนหนึ่ง คนเดียว แลพระองค์เจ้าก็รู้ทั้งบังเหลื่อม รู้จักไตรเพททุกประการ ว่าให้ตายก็ตายเอง ว่าให้เป็นก็เป็นเอง อันหนึ่งขอมผุดขึ้นมาแล้วก็กลายเป็นหินแลง แลขอมก็ขึ้นไม่ได้ด้วยวาจาสัจแห่งพระองค์ ๆ ได้ทำบุญแต่ชาติก่อนมา แลเดชะแก้วอุทกประสาทพระยากรุงจีนหากมาให้แก่พระองค์ ๆ จะ ไปได้ 7 วัน น้ำก็มีเสวยก็ได้” [2]
ต่อมาพระยาร่วงองค์นี้เสด็จไปยังเมืองสัชนาไลย ลงไปอาบน้ำที่แก่งหลวง แล้วอันตรธานหายไปไม่ปรากฏ
เรื่องราวของพระร่วงลูกนางนาค ปรากฏในเอกสารหลายแห่ง ส่วนใหญ่มีโครงเรื่องอย่างเดียวกัน แตกต่างเพียงรายละเอียดบางประการ ได้แก่ เรื่องพระร่วงวาจาสิทธิ์ ในจุลยุทธการวงศ์ ความเรียง (ตอนต้น) ระบุว่าบิดาของพระร่วงมีพระนามว่า “พระเจ้าศรีธรรมโศกราช” และหลังจากสมพาสกับนางนาคแล้ว สัญญาว่าจะมารับแต่กลับลืมสัญญา นางนาคจึงสำรอกต่อมโลหิตไว้ก่อนลงไปเมืองบาดาล คางคกตัวหนึ่งมากินต่อมโลหิต ทนพิษนาคไม่ไหวก็ถึงแก่ความตาย แต่กุมารไม่ตายจึงอาศัยอยู่ในร่างคางคก
ต่อมาตายายเก็บไปเลี้ยง เมื่อจับใส่ข้องปรากฏว่า คางคกร่วง ๆ หล่น ๆ ออกมาโดยตลอด จึงให้ชื่อว่า “ออร่วง” กุมารนี้ออกมาจากร่างแล้วก็หาอาหารมาปรนนิบัติตายาย ตายายได้โอกาสก็เผาร่างคางคกนั้น (สังเกตได้ว่าพระร่วงลูกนางนาคฉบับนี้คล้ายคลึงกับนิทานไท-ลาวเรื่องนางอุทัยเทวี) ในท้ายเรื่องระบุว่าพระร่วงองค์นี้ลาขุนนางจะไปอาบน้ำที่แก่งหลวงเมืองสวรรคโลก ถ้าไม่เห็นพระองค์แล้วให้ขุนนางทั้งปวงยกเจ้ารามราชบุตรขึ้นครองราชสมบัติ
ในจุลยุทธการวงศ์ระบุว่าพระร่วงเสด็จไปเยี่ยมมารดาในนาคพิภพ ความว่า “ชะรอยพระองค์ระลึกถึงพระชนนีมารดาพระญาติพระวงศาอันอยู่ในนาคพิภพ พระจะลงไปเยี่ยมเยือนแล้วจะกลับมาหรือไม่กลับมาประการใดก็ไม่แจ้ง” [3] เป็นการเน้นย้ำว่าพระร่วงมีเชื้อสายของนาค
นอกจากนี้ในคำให้การชาวกรุงเก่า ยังระบุถึงตำนานพระร่วงลูกนางนาค โดยกล่าวว่าพระจันทรกุมาร โอรสพระเจ้าสุริยราชา แห่งเมืองสุโขทัย เสด็จออกประพาสป่าแล้วเจอนางนาค จึง “อภิรมย์ด้วยนางนั้น” ต่อมานางนาคตั้งท้องสิบเดือน ก็ไปตกฟองไข่ไว้ในไร่อ้อยของตายายคู่หนึ่ง ตายายนั้นจึงเก็บมาไว้และตั้งชื่อกุมารว่าพระร่วง [4]
อนึ่ง ในราชพงษาวดารกรุงกัมพูชา ฉบับพระองค์นพรัตน์ (เรียบเรียงเมื่อ พ.ศ. 2420 ในสมัยสมเด็จพระนโรดมบรมรามเทวาวตาร ตรงกับสมัยรัชกาลที่ 4) ยังกล่าวถึงเรื่องพระร่วงลูกนางนาคไว้ว่า พระบาทสมเด็จพระอุไทยราชยกนางนาคเป็นพระอัครมเหสี ต่อมาประสูติพระราชโอรสออกมาเป็นฟองไข่ แต่โบราณถือว่า “เป็นเสนียดจัญไร” จึงนำไปฝังยังหาดทราย นายคงเคราซึ่งเป็นนายกองส่วยน้ำเมืองละโว้ เจอฟองไข่นั้นฟักออกมาเป็นคนจึงเก็บมาเลี้ยง ให้ชื่อเด็กนั้นว่านายร่วง
ภายหลังนางนาค มเหสีพระบาทสมเด็จพระอุไทยราช ประสูติพระราชกุมารออกมาเป็นมนุษย์ มีนามว่าพระปทุมกุมาร ต่อมาคือพระเจ้าปทุมสุริยวงษ์ [5] การนําเรื่องพระร่วงมาเชื่อมโยงกับวงศ์กษัตริย์กัมพูชาจึงเป็นภาพสะท้อนอย่างหนึ่งว่าสุโขทัยมีความสัมพันธ์ทางเครือญาติกับราชสำนักเมืองพระนคร
นาคที่ปรากฏในตำนานโดยมากมักจะสื่อถึงชนพื้นเมืองดั้งเดิม ดังจะเห็นได้จากตำนานพระเจ้าเลียบโลก ที่มักจะกล่าวถึงความขัดแย้งระหว่างศาสนาพุทธกับความเชื่อดั้งเดิมผ่านพระพุทธเจ้าที่เสด็จมายังท้องถิ่นนั้น ๆ และมีการประลองฤทธิ์กับพญานาคซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของชนพื้นเมืองดั้งเดิม ในขณะเดียวกัน นาคยังหมายถึงสัญลักษณ์สัตว์ศักดิ์สิทธิ์ประจำกลุ่มชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มชนลุ่มแม่น้ำโขงที่มีเรื่องนาคอยู่ในตำนานและเป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ ดังเช่น เรื่องนาคทั้งเจ็ดมาฟังธรรมจากพระฤาษีสองพี่น้องตอนตั้งเมืองเชียงดงเชียงทอง (หลวงพระบาง) เป็นเหตุให้เมืองนี้มีนามว่า “ศรีสัตนาค” หรือเรื่องนาคสร้างเมืองเวียงจันทน์ เป็นต้น [6]
เรื่อง “พระร่วง” ลูกนางนาคนี้ อาจเชื่อมโยงได้กับความสัมพันธ์ระหว่าง สุโขทัย และ เมืองน่าน ซึ่งในตำนานของบรรพกษัตริย์ทั้ง 2 ฝ่ายนั้นมีการอธิบายว่าโคตรวงศ์สืบเชื้อสายมาจากนาค ตำนานพื้นเมืองน่าน กล่าวว่า “ขุนนุ่น ขุนฟอง” โอรสบุญธรรมของ พญาภูคา มีกำเนิดมาจากฟองไข่นาค ดังนี้
ยังมีพรานป่าผู้ 1 อยู่ยังเมืองพูคา ยังมีใน วัน 1 พรานป่าจระเดินไปล่าป่าขึ้นเมื่อคอยพูคา มันไปตามรอยเนื้อขึ้นไป มันหลงป่า ขึ้นเมื่อถึงจอมดอยพูคามันหันร่มไม้ต้น 1 งามจึงเข้าไปสู่ร่มไม้ต้นนั้น ใหญ่ประหมานเท่าลูกหมากพร้าว พรานป่าก็เอาเมื่อถวายพระญาภูคา ซื้อรักษาไว้ บ่นานเท่าใดไข่ 2 ลูกนั้น ก็ออกมาเป็นผู้ชายทั้ง 2 พระญาก็เลี้ยงไว้เอาเป็นลูกตน พระญาก็รักสองเจ้าพี่น้องเสมอลูกคนแล เจ้าพี่น้องใหญ่ขึ้นมาพระญาจึงใส่ชื่อเจ้าทั้ง 2 พี่น้อง พี่ชื่อว่าขุนนุ่น น้องนั้นชื่อว่า ขุนฟองนั้นแล [7]
เมื่อขุนทั้งสองเจริญวัย พญาภูคาให้ขุนนุ่นไปปกครองเมืองจันทบุรี เพื่อปกครองพวกลาว ส่วนขุนฟองให้ไปครองเมืองปัว เพื่อปกครองพวกกาว สําหรับเมืองจันทบุรีที่กล่าวถึงนั้น หมายถึงเมืองเวียงจันทน์ แต่ สรัสวดี อ๋องสกุล ตรวจสอบจากข้อมูลเมืองจันทบุรีที่ระบุไว้ในตํานานนางเกลือพบว่า น่าจะหมายถึงเมืองหลวงพระบางมากกว่าเวียงจันทน์ [8]
จารึกปู่ขุนจิตขุนจอดกล่าวถึงบรรพบุรุษเมืองน่านที่เชิญมาเป็นพยานในการสาบานระหว่างสุโขทัยกับน่านเมื่อ พ.ศ. 1935 ไว้ว่า
“…ปู่พระยา ปู่เริง ปู่มุง ปูพอง ปู่ฟ้าฟื้น…..(ผ) กอง ปู่พระยาคําฟู…. (พระยา) ผากองเท่านี้ พงศ์ กาว(ผี)สิทธิแล….”
ประเสริฐ ณ นคร สันนิษฐานว่า ปู่มุง ปู่พอง น่าจะตรงกับขุนนุ่นขุนฟองในตำนานพื้นเมืองน่าน [9] และเมืองน่านอ้างตัวว่ามีเชื้อสาย “กาว” ส่วนฝ่ายสุโขทัยอ้างว่าสืบเชื้อสายมาจาก ผีปู่ผาดํา ปู่ขุนจิตขุนจอด และมีเชื้อสายชาวเลือง ดังนี้
“แต่นี้พงศ์ ผีปู่ผาคำ (ฝูงผู้หวาน (หลาน) ปู่ขุนจิตขุนจอด ปู่พระยาศรีอินทราทิตย์ พระ ยาบาน ปู่พระยารามราช ปู่ไส…(ส)งคราม ปู่พระยา เลอไทย ปู่พระยาตัวนำถม ปู่…. (พระ)ยามหา ธรรมราชา พ่อเมือง พ่อเลอไทย แลไทยผู้ดี ผีชาวเลือง…” [10]
ข้อสังเกตประการหนึ่งคือบรรพบุรุษของน่านและสุโขทัยเป็นคู่วีรบุรุษในตํานาน เมืองน่าน มีขุนนุ่นขุนฟอง ส่วนสุโขทัยมีปู่ขุนจิตขุนจอดตามที่อ้างถึงในจารึก ลักษณะดังกล่าวคล้ายคลึงกับ เรื่อง “ขุนเด็กขุนคาน” ในวัฒนธรรมลาว ลักษณะบรรพบุรุษที่เป็นคู่ดังกล่าวน่าจะสืบทอดมาถึงความเชื่อเรื่องการนับถือรูปเคารพพระร่วงพระลือ ซึ่งเป็นรูปเคารพที่สื่อถึงพ่อขุนรามคําแหงและสมเด็จพระมหาธรรมราชาลิไทย
และข้อความที่สุโขทัยอ้างว่าเป็น “ไทยผู้ดีผีชาวเลือง” นั้น สะท้อนให้เห็นถึงเชื้อสายที่สัมพันธ์กับกลุ่มชน ทางลุ่มแม่น้ำโขง เนื่องจากชาวเลือง หรือเลิงนั้น พงศาวดารล้านช้างระบุไว้ว่า เป็นกลุ่มชนเผ่าหนึ่งที่เกิดจากน้ำเต้าปุง ซึ่งงอกออกมาจากรูจมูกควาย ที่พระยาแถนมอบให้มนุษย์ใช้งาน เมื่อน้ำเต้าเกิด เสียงดังขึ้น ผู้นําคนไทขณะนั้นจึงเจาะรูน้ำเต้าให้คนไหลออกมา ดังนี้
ยามนั้นปูลางเชิงจึงเผาเหล็กชีแดงชี หมาก คนทั้งหลายจึงเบียดกันออกมาทางฮูที่ชีนั้น ออกมาทางฮูที่นั้นก็บ่เบิ่งคับคั่งกัน ขุนคานจึงเอาสิ่วไปสิ่วฮู ให้เป็นฮูแควนใหญ่ แควนกว้าง คนทั้งหลายก็ลุไหลออกมานานประมาณ 3 วัน 3 คืน จึงหมดนั้นแล คนทั้งหลายฝูงก็ออกมาทางฮูซีนั้นแบ่งเป็น 2 หมู่ ๆ หนึ่งเรียกชื่อไทยลี ผู้ออกทางฮูสิ่วนั้นแบ่งเป็น 3 หมู่ หมู่หนึ่งเรียกชื่อไทยเลิง หมู่หนึ่งเรียกชื่อไทยลอ หมู่หนึ่งเรียก ชื่อไทยควางแล [11]
ข้อความข้างต้นกล่าวถึงการกำเนิดคนไท จากน้ำเต้าปุง โดยปู่ลางเซิงเอาเหล็กมาเผาแล้วชี (หมายถึง ไช เจาะ) น้ำเต้าปุง ก็บังเกิดมีคนเดิน ออกมาจากน้ำเต้า ขุนคานเห็นว่ามีคนจำนวนมากจึงนำสิ่วมาเจาะให้รูกว้างมากขึ้น ปรากฏว่ามีคนเดินออกมามากถึง 3 วัน 3 คืนจึงจะหมด คน ที่ออกทางรูเหล็กแหลม เป็นพวกไทยลม ไทยลี จัดเป็นพวกข่า (ข้า) และผู้ที่ออกมาจากรูจิ๋วเป็น ไทยเลิง ไทยลอ ไทยควาง พวกนี้จัดเป็นกลุ่มไท
เรื่องตำนานบรรพชนที่เกิดจากนาค สามารถเชื่อมโยงกับหลักฐานอื่นที่สะท้อนให้เห็นว่าโคตรวงศ์ของ “พระร่วง” มีความสัมพันธ์อยู่ในวัฒนธรรมเดียวกับ เมืองน่าน และ กลุ่มชนลุ่มแม่น้ำโขง อย่างเห็นได้ชัด
อ่านเพิ่มเติม :
- แกะเปลือกของตำนานว่าด้วย “พระร่วง” เป็นชายชู้ โดย พิเศษ เจียจันทร์พงษ์
- (นาง) นาคแม่น้ำโขง เชื่อมโยงเครือญาติ “ไทย-ลาว” กับ “มอญ-เขมร”
- เมืองพะเยา “รัฐอิสระ” พันธมิตร “พระร่วง” แคว้นสุโขทัย
เชิงอรรถ :
[1] “พระราชพงศาวดารเหนือ,” ประชุมพงศาวดารฉบับกาญจนาภิเษก เล่ม 1, (กรุงเทพฯ : กองวรรณกรรมและประวัติศาสตร์ กรมศิลปากร, 2542) น. 88.
[2] เรื่องเดียวกัน, น. 91
[3] “จุลการวงศ์ ความเรียง (ตอนต้น),” ประชุมพงศาวดารฉบับกาญจนาภิเษก เล่ม 1, น. 167.
[4] ประชุมคำให้การ กรุงศรีอยุธยา รวม 3 เรื่อง, กรุงเทพฯ : แสงดาว, 2553), น. 254-255.
[5] “พระราชพงศาวดารกรุงกัมพูชา ฉบับองค์นพรัตน์.” ประชุมพงศาวดารฉบับกาญจนาภิเษก เล่ม 12, (กรุงเทพฯ : กองวรรณกรรมและประวัติศาสตร์ กรมศิลปากร, 2549). น. 254-255.
[6] ดูเพิ่มเติมใน สุจิตต์ วงษ์เทศ. นาค มาจากไหน?. (กรุงเทพฯ : โพสต์บุ๊กส์, 2554)
[7] สรัสดี อ๋องสกุล ปริวรรต. พื้นเมืองน่าน ฉบับ วัดพระเกิด. นิธิ เอียวศรีวงศ์ บรรณาธิการ. (กรุงเทพฯ : อมรินทร์, 2539) น. 52.
[8] สรัสดี อ๋องสกุล. ประวัติศาสตร์ล้านนา. พิมพ์ครั้งที่ 7. (กรุงเทพฯ : อมรินทร์, 2553) น. 107. และดูเพิ่มเติมใน สรัสวดี ปริวรรต. พื้นเมืองน่าน ฉบับ วัดพระเกิด. น.65.
[9] ประเสริฐ ณ นคร. ประวัติศาสตร์เบ็ดเตล็ด รวมบทนิพนธ์ “เสาทางวิชาการ” ของศาสตราจารย์ ดร. ประเสริฐ ณ นคร. (กรุงเทพฯ : มติชน, 2549), น. 173.
[10] กรมศิลปากร. ประชุมจารึก ภาคที่ 8 จารึกสุโขทัย. (กรุงเทพฯ : คณะอนุกรรมการพิจารณาจารึกเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ไทย ในคณะกรรมการการชำระประัวติศาสตรืไทย, 2548) น. 154.
[11] “พงศาวดารล้านช้าง ตามถ้อยคำในฉบับเดิม,” ประชุมพงศาวดารฉบับกาญจนาภิเษก เล่ม 9, (กรุงเทพฯ : กองวรรณกรรมและประวัติศาสตร์ กรมศิลปากร, 2545). น. 17-18.
หมายเหตุ : คัดเนื้อหาส่วนหนึ่งจากบทความ “โคตรวงศ์พงศา ‘พระยาร่วง’ ” เขียนโดย ธนโชติ เกียรติณภัทร ในศิลปวัฒนธรรม ฉบับธันวาคม 2565 [เว้นวรรคคำ ปรับย่อหน้าใหม่ และเน้นคำเพิ่มเติมโดยกองบรรณาธิการศิลปวัฒนธรรม]
เผยแพร่ในระบบออนไลน์ครั้งแรกเมื่อ 5 เมษายน 2566