“พระตำหนักวาสุกรี” ตำหนักลับแห่งวัดโพธิ์ อายุเกือบ 200 ปี

พระตำหนักวาสุกรี วัดโพธิ์
พระตำหนักวาสุกรี ที่ประทับ สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรส

พระตำหนักวาสุกรี ตั้งอยู่ในเขตสังฆาวาส วัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามราชวรมหาวิหาร (วัดโพธิ์) พระตำหนักวาสุกรีมีความเป็นมายาวนานเกือบ 200 ปี แต่ความที่ตั้งอยู่ในเขตสงฆ์ ไม่ได้เปิดให้สาธารณชนเข้าชมเป็นการทั่วไป เป็นเสมือน ตำหนักลับ ที่นักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติน้อยคนนักจะรู้จัก และแทบไม่รู้ว่าวัดโพธิ์ยังมี “อันซีน” เปี่ยมคุณค่าทางประวัติศาสตร์อยู่อีกจุดหนึ่ง

พระตำหนักวาสุกรี ที่ประทับในสมเด็จพระสังฆราช

พระตำหนักวาสุกรี เป็นที่ประทับใน สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรส สมเด็จพระสังฆราช องค์ที่ 7 และหนึ่งในมหากวีแห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ทรงมีพระนามเดิมว่า “พระองค์เจ้าวาสุกรี” เป็นพระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ประสูติแด่เจ้าจอมมารดาจุ้ย เมื่อวันเสาร์ เดือนอ้าย ขึ้น 5 ค่ำ จุลศักราช 1152 ตรงกับวันที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2333 เป็นปีที่ 8 ในรัชกาลที่ 1

เมื่อพระองค์เจ้าวาสุกรีทรงเจริญพระชันษาได้ 12 พรรษา ทรงผนวชเป็นสามเณรอยู่วัดพระเชตุพน เมื่อพระชนมายุครบ 20 พรรษา ก็ทรงผนวชเป็นพระภิกษุ ผ่านไปราว 3-4 พรรษา สมเด็จพระพนรัตน์ วัดพระเชตุพน ถึงแก่มรณภาพระหว่างพรรษา

เมื่อออกพรรษาแล้ว พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรส เป็นพระราชาคณะ และเป็นอธิบดีสงฆ์ครองวัดพระเชตุพน โดยทรงเป็นอธิบดีสงฆ์สืบเนื่องมาในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว

พระองค์ทรงเป็นสมเด็จพระสังฆราช เมื่อ พ.ศ. 2394 ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และสิ้นพระชนม์เมื่อ พ.ศ. 2396 ซึ่งหลังจากพระราชทานเพลิงพระศพแล้ว พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงโปรดให้เชิญพระอัฐิสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรส ไปประดิษฐาน ณ พระตำหนักวาสุกรี วัดพระเชตุพน

ย้อนไปในรัชกาลที่ 1-2 พระองค์ยังไม่ได้ประทับอยู่ที่พระตำหนักวาสุกรี กระทั่งล่วงเข้าสมัยรัชกาลที่ 3 ที่มีพระบรมราชโองการให้พระยาศรีพิพัฒน์และพระยาเพ็ชรพิไชย เป็นแม่กองจัดการปฏิสังขรณ์วัดพระเชตุพน ซึ่งเป็นวัดเก่ามีประวัติสืบไปได้ถึงสมัยกรุงศรีอยุธยา หลังแผ่นดินสมเด็จพระเพทราชา

พระตำหนักวาสุกรี วัดโพธิ์
ด้านนอกของพระตำหนักวาสุกรี (ขวา) ตั้งอยู่ในเขตสังฆาวาส

คราวนั้นจึงมีการสร้างพระตำหนักวาสุกรีขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2375 สำหรับเป็นที่ประทับของสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรส

พระตำหนักวาสุกรี มีความยาวราว 21 เมตร และกว้างราว 18 เมตร ผนังก่ออิฐฉาบปูน มีเสาราย หลังคาพระตำหนักเป็นทรงจั่ว ประดับช่อฟ้า ใบระกา และหางหงส์ ภายในมีห้องทรงพระอักษร ห้องบรรทม ห้องสรง และห้องโถง ซึ่งสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรส ได้ประทับ ณ พระตำหนักแห่งนี้ ตราบจนสิ้นพระชนม์

สถานที่แต่งพระนิพนธ์ทรงคุณค่า

ขณะประทับ ณ พระตำหนักวาสุกรี สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรส ทรงพระนิพนธ์ผลงานวรรณคดีไว้จำนวนมาก รวมทั้ง “ปฐมสมโพธิ” ซึ่งใน พ.ศ. 2387 ทรงพระนิพนธ์ชำระเพิ่มเติมฉบับภาษาบาลี เป็น 30 ปริจเฉท โดยทรงชำระแล้วเสร็จเมื่อ พ.ศ. 2388

หลังจากทรงตรวจชำระพระปฐมสมโพธิฉบับภาษาบาลีเสร็จสิ้น ก็ทรงพระนิพนธ์แปลเป็นภาษาไทย มี 30 ปริจเฉทเช่นกัน ซึ่งฉบับแปลภาษาไทยนี้ ได้รับการยกย่องอย่างสูงในด้านการเป็นความเรียงร้อยแก้วที่มีความไพเราะ และเลือกใช้คำได้อย่างงดงาม

ภายในพระตำหนักวาสุกรี

สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรส ทรงใช้เวลาทรงพระนิพนธ์หนังสือที่ห้องทรงพระอักษร ณ พระตำหนักวาสุกรี เป็นหลัก เช่นที่ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงกล่าวถึงสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรส ไว้ในลายพระหัตถ์ ลงวันที่ 13 สิงหาคม พ.ศ. 2483 ใจความตอนหนึ่งว่า

“…หอที่ตำหนักกรมสมเด็จพระปรมานุชิตชิโนรสนั้น หม่อมฉันจำได้คลับคล้ายคลับคลาว่ามี ๒ หอต่อกัน คือ หอพระหอ ๑ กับหอทรงพระอักษรหอ ๑ เขาเล่าว่าเวลาค่ำพอเสร็จพระธุระอื่นแล้วสมเด็จพระปรมาฯ ท่านเสด็จเข้าหอทรงพระอักษรเสมอทุกคืน มหาดเล็กเอาหมากเสวย และน้ำร้อนน้ำเย็นไปตั้งถวายแล้วไปนอนได้ ด้วยท่านไม่ตรัสเรียกหาอะไรต่อไป

ส่วนพระองค์ท่านทรงพระนิพนธ์หนังสือ เขียนลงในกระดานชะนวนอย่างโบราณ มีกำหนดแน่เป็นนิจว่าต้องทรงเขียนเต็ม ๒ หน้ากระดานชะนวนแล้วจึงเสด็จเข้าบรรทม เฉพาะฉะนั้นวันไหนแต่งคล่องก็บรรทมหัวค่ำ วันไหนติดขัดก็บรรทมดึก…”

หลังจากสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรส สิ้นพระชนม์ ก็ไม่มีผู้ใดพำนักที่พระตำหนักวาสุกรีอีก ซึ่งเหตุผลอาจเป็นไปตามที่ พระเทพโสภณ อดีตผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดพระเชตุพน กล่าวไว้ว่า เพราะพระองค์มี 2 ฐานะ ฐานะหนึ่งเป็นพระสังฆราช และอีกฐานะหนึ่งเป็นเจ้า เมื่อสิ้นพระชนม์ก็ถือกันว่าเป็นตำหนักเจ้า ใครจะเข้าไปอยู่ไม่ได้ จึงต้องปิดไว้

ภายในพระตำหนักวาสุกรี

พระตำหนักวาสุกรี นับเป็นสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ ที่ไม่เพียงสะท้อนยุคทองของการอุปถัมภ์พระพุทธศาสนาของรัชกาลที่ 3 เท่านั้น แต่ยังเป็นสถานที่สำหรับคนรุ่นหลังที่จะศึกษาหาความรู้ได้ ดังที่ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช นักปราชญ์ นักคิด และนักการเมืองชื่อดังผู้ล่วงลับ กล่าวถึงความน่าสนใจของพระตำหนักนี้ไว้ว่า

ฐานะแรกของตำหนักคือกุฏิพระ ฐานะที่สองคือบ้านของกวี ซึ่งสามารถรักษาไว้ได้แห่งเดียวในประเทศไทย ขณะที่กวีเอกคนอื่น ๆ อาทิ สุนทรภู่ แม้รู้บ้านช่อง แต่ก็รู้เพียงเลา ๆ เพราะตัวบ้านสูญหายไปแล้ว และฐานะที่สามคือวังเจ้า

เพราะนอกจากจะทรงอยู่ในเพศบรรพชิต ทรงเป็นกวี ก็ทรงเป็นพระราชโอรสของสมเด็จพระเจ้าแผ่นดิน ที่ประทับจึงต้องปลูกตามแบบแผนธรรมเนียมการสร้างวังเจ้านายชั้นพระเจ้าลูกเธอในสมัยโบราณ คือต้องมีตำหนักที่ประทับ และต้องมีท้องพระโรงสำหรับเสด็จออกให้คนเฝ้า

“เพราะฉะนั้นไม่ว่าเราจะสนใจในขนบธรรมเนียม ในการกวีหรือแม้แต่อย่างอื่น ตลอดจนสนใจในพระศาสนาเกี่ยวกับสถาปัตยกรรมในทางศาสนา เราได้ครบที่ตำหนักกรมสมเด็จพระปรมาฯ นี้ เพราะฉะนั้นผมรู้สึกว่าเป็นสถานที่ที่ควรจะรักษาไว้ด้วยดี แล้วก็ควรจะได้ร่วมมือกันทั่วไปในการรักษานั้น”

ภาพ : วรวิทย์ พานิชนันท์

หมายเหตุ : บทความนี้ผู้เขียนเขียนขึ้นเผยแพร่ครั้งแรกในชื่อ “‘Happy Journey with BEM’ ชวนชม ‘พระตำหนักวาสุกรี’ วัดโพธิ์ ที่ประทับ ‘มหากวี’ กรุงรัตนโกสินทร์” 

อ่านเพิ่มเติม :

สำหรับผู้ชื่นชอบประวัติศาสตร์ ศิลปะ และวัฒนธรรม แง่มุมต่าง ๆ ทั้งอดีตและร่วมสมัย พลาดไม่ได้กับสิทธิพิเศษ เมื่อสมัครสมาชิกนิตยสารศิลปวัฒนธรรม 12 ฉบับ (1 ปี) ส่งความรู้ถึงบ้านแล้ววันนี้!! สมัครสมาชิกคลิกที่นี่


อ้างอิง :

พระปฐมสมโพธิ ๓๐ ปริจเฉท พระนิพนธ์ สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรส ฉบับปริวรรตและตรวจสอบชำระจากคัมภีร์ใบลาน จัดพิมพ์เนื่องในการพระราชทานเพลิงศพ พระธรรมรัตนากร (สีนวล ปญฺญาวชิโร ป.ธ.๙) อดีตเจ้าอาวาสวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม อดีตที่ปรึกษาเจ้าคณะภาค ๑๕ ณ เมรุหลวงหน้าพลับพลาอิศริยาภรณ์ วัดเทพศิรินทราวาส วันอาทิตย์ที่ 3 เมษายน ๒๕๖๕

รายงานพิเศษ พระตำหนักวาสุกรี “บ้านกวี” แห่งแรกของไทย. นิตยสารศิลปวัฒนธรรม ฉบับเดือนธันวาคม พ.ศ. 2533


เผยแพร่ในระบบออนไลน์ครั้งแรกเมื่อ 3 มีนาคม 2566