“ผ้าปาเต๊ะ” ศิลปะลวดลายบนผืนผ้าของชาวใต้

ผ้าปาเต๊ะลวดลายเป็นรูปดอกไม้ซึ่งจะเน้น 4 สี คือ แดง น้ำเงิน เขียว และขาว

“ผ้าถุง” คือคำที่ชาวภาคใต้ใช้สำหรับเรียก “ผ้าปาเต๊ะ หรือผ้าบาติก” จะนิยมสวมโดยเพศหญิง โดยวัยอายุกลางคนและวัยสูงอายุจะนิยมสวมมากที่สุด และถ้าครอบครัวไหนมีลูกสาวก็จะมีการสอนสวม “ผ้าถุง” กัน เปรียบเสมือนเป็นประเพณีการแต่งกายไปโดยปริยาย ซึ่งสรุปความเป็นมาและเนื้อหาที่เกี่ยวข้องได้พอสังเขปดังนี้

ผ้าปาเต๊ะ หรือบาเต๊ะ(Batek) บาติก(Batik) เดิมทีแล้วเป็นภาษาชวา (เป็นภาษาของชาวชวาในภาคกลางและภาคตะวันออกของเกาะชวา ประเทศอินโดนีเซีย) ที่ใช้เรียกผ้าย้อมสีชนิดหนึ่งที่รวมเอาศิลปหัตถกรรมและเทคนิคการย้อมสีเข้าด้วยกัน

ผู้ที่ริเริ่มการทำผ้าปาเต๊ะคือผู้หญิงในตระกูลสูงของชวา ในคริสต์ศตวรรษที่ 16-17 จากนั้นชาวดัทซ์ได้นำผ้าปาเต๊ะไปเผยแพร่ทั่วทั้งทวีปยุโรปและมีผลตอบรับดีมากเพราะลวดลายของผ้ามีความแปลกใหม่ โดยภายในลวดลายของผ้าปาเต๊ะแต่ละท้องถิ่นจะมีลวดลายและรูปแบบที่อยู่บนผ้าไม่เหมือนกัน ซึ่งลวดลายแต่ละพื้นที่จะมีความแตกต่างบ่งบอกถึงวิถีการใช้ชีวิต ความเป็นอยู่หรือวัฒนธรรมในแต่ละพื้นที่

บนลวดลายของผ้าปาเต๊ะมีรูปแบบมาจากธรรมชาติ เช่น ต้นไม้ ดอกไม้ หรือรูปเลขาคณิตต่างๆ นอกจากนี้ยังมีลวดลายรูปสัญลักษณ์มงคลตามคติจีนที่นิยมใช้ในวัฒนธรรมเปอรานากัน (เป็นกลุ่มชาวจีนที่มีเชื้อสายมลาย) เช่น รูปดอกท้อ ดอกโบตั๋น พัด ลายหงส์ หรือ นกฟินิกส์ ซึ่งเป็นการผสมผสานวัฒนธรรมมลายูและจีน

ผ้าปาเต๊ะลวดลายตามสัญลักษณ์มงคลจีน ได้แก่ รูปดอกท้อ ดอกโบตั๋น และลายหงส์

ในประเทศไทย พ.ศ. 2483 ได้มีการทำผ้าบาติกลายพิมพ์เทียน ที่อำเภออำเภอสุไหงโก-ลก จังหวัดนราธิวาส โดยสองสามี-ภรรยาชาวไทยเชื้อสายมลายูชื่อ นายแวมะ แวอาลี และ นางแวเย๊าะ แวอาแด ซึ่งเริ่มต้นด้วยการทำผ้าเป็นผ้าคลุมหัวสไบไหล่ (Kain lepas) ใช้วิธีแกะสลักบนมันสำปะหลังมาทำแม่พิมพ์ ต่อมามีการผลิตในรูปแบบของผ้าโสร่งปาเต๊ะ (Batik Sarong)โดยใช้แม่พิมพ์โลหะที่ผลิตจากรัฐกลันตัน ประเทศมาเลเซีย และต่อมาใน พ.ศ. 2523 นายเอกสรรค์ อังคารวัลย์ เป็นคนแรกที่ริเริ่มทำผ้า “ผ้าบาติกลายเขียนระบายสี” (Painting Batik) ซึ่งเป็นผ้าติกที่เขียนลายเทียนด้วยจันติ้ง (Cantimg) ระบายสีลวดลายบนผืนผ้าทั้งผืนด้วยพู่กัน และนำวิธิการทำผ้าบาติกแบบระบายมาเผยแพร่วิธีการทำผ้าบาติก โดยศึกษามาจากประเทศมาเลเซีย โดยเผยแพร่เพื่อเป็นการศึกษาครั้งแรกแก่คณาจารย์ภาควิชาศิลปะ คณะวิชามนุษย์ศาสตร์และสังคมศาสตร์ วิทยาลัยครูยะลา (ผศ.นันทา โรจนอุดมศาสตร์ เป็นหัวหน้าภาควิชาในขณะนั้น)

สำหรับกรรมวิธีการทำลวดลายลงบนผ้าปาเต๊ะนั้นมีขั้นตอนวิธีการทำคือการใช้จันติ้ง (Canting หรือ Tjanting) จุ่มน้ำเทียน และลงลวดลายอย่างประณีตลงบนผืนผ้า ผ้าปาเต๊ะจะมีวิธีการทำ 2 วิธีด้วยกันคือขั้นตอนในการเทียนปิดส่วนที่ไม่ต้องการให้ติดสี การแต้มสี ระบายสี และย้อมสีทับกันจากนั้นนำไปตากให้แห้ง ทำซ้ำต่อเนื่องประมาณสิบรอบจนกว่าจะได้สีตามต้องการ ส่วนการทำผ้าปาเต๊ะอย่างง่ายจะใช้วิธีการเขียนเทียนหรือพิมพ์เทียนหลังจากนั้นก็นำไปย้อมสีตามที่ต้องการโดยไม่ผ่านวิธีการปิดเทียนในวิธีที่กล่าวมาข้างต้น

ส่วนวัสดุที่ใช้ประกอบในการทำผ้าปาเต๊ะจะประกอบไปด้วย ผ้า เทียน เฟรม และสี ส่วนผ้าจะนิยมใช้เป็นผ้าฝ้าย ผ้าลินินหรือผ้าป่าน หรือผ้าไหม และเนื้อผ้าต้องมีความเหนียวแน่นเนียน มีคุณสมบัติในการดูดซึมได้ดี ผ้าที่มีลักษณะเป็นผ้าสั่งเคราะห์ไม่เหมาะในการที่จะทำผ้าปาเต๊ะ ผ้าที่จะนำมาย้อมสีนั้นควรเป็นผ้าที่เป็นสีขาว เพราะสีขาวสามารถดูดสีได้ดีกว่าผ้าสี เทียนหรือขี้ผึงจะใช้เป็นจำพวก Bee Wax เพราะขี้ผึ้งจำพวกนี้จะเป็นขี้ผึ้งบริสุทธิ์และมีความหนักเบา เหมาะที่จะนำมาทำผ้าปาเต๊ะ

ผ้าปาเต๊ะที่มีลวดลายเป็นลักษณะของคลื่นน้ำที่ประกอบไปด้วยดอกโบตั๋นและใบของดอกโบตั๋น

ซึ่งในปัจจุบัน การทำผ้าปาเต๊ะโดยวิธีพิมพ์ลายผ้าจะนิยมมากกว่าวิธีเขียนลายด้วยมือ เพราะช่วยในเรื่องความรวดเร็วและสะดวกมากขึ้น โดยวิธีที่ใช้คือนำผ้าวางบนแท่นที่มีความสูงประมาณ 3 ฟุต และกว้างตามความเหมาะสม โดยบนพื้นโต๊ะจะถูกปูไปด้วยกาบกล้วยเพื่อทำให้เกิดความเย็นในขณะที่ใช้แม่พิมพ์พิมพ์ลวดลายลงบนผืนผ้า จุ่มลงในขี้ผึ้งหรือไขที่อุ่นไว้ พิมพ์ลงบนผ้าสีขาว หลังจากนั้นก็นำผ้าที่จุ่มนั้นไปย้อมและตากให้แห้ง พอผ้าแห้งแล้วก็นำผ้ามาพิมพ์กับแม่พิมพ์ครั้งที่ 2 แล้วนำไปย้อมและตากให้แห้งอีกรอบทำอย่างนี้ไปเรื่อยๆ จนกระทั่งครบจำนวนแม่พิมพ์ที่เตรียมไว้ การย้อมสีในแต่ละครั้งขึ้นอยู่กับช่างที่ออกแบบเม่พิมพ์ไว้ว่าจะเป็นในลักษณะลวดลายอย่างไร

โดยแหล่งผลิตของผ้าปาเต๊ะที่สำคัญที่สุดในภาคใต้ คือ อำเภอสุไหงโก-ลก จังหวัดนราธิวาส  จังหวัดภูเก็ตและอำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา ตามลำดับ และในปัจจุบันนี้การผลิตผ้าปาเต๊ะถือว่าเป็นแหล่งการหารายได้ของคนภาคใต้อีกด้วยอีกทั้งยังช่วยในเรื่องการอนุรักษ์วัฒนธรรมและประเพณีให้สืบต่อไปในรุ่นหลังเพื่อแสดงถึงความงดงามหรือความสวยงามของผ้าปาเต๊ะให้คงอยู่คู่กับชาวใต้รวมถึงอยู่คู่เป็นมรดกของประเทศไทย

สำหรับผู้ชื่นชอบประวัติศาสตร์ ศิลปะ และวัฒนธรรม แง่มุมต่าง ๆ ทั้งอดีตและร่วมสมัย พลาดไม่ได้กับสิทธิพิเศษ เมื่อสมัครสมาชิกนิตยสารศิลปวัฒนธรรม 12 ฉบับ (1 ปี) ส่งความรู้ถึงบ้านแล้ววันนี้!! สมัครสมาชิกคลิกที่นี่


อ้างอิง :

สถาบันทักษิณคดีศึกษา, “ผ้าปาเต๊ะ,” สารานุกรมวัฒนธรรมภาคใต้ เล่มที่ 6, (2529), หน้า 2158-2161

อติยศ สรรคบุรานุรักษ์ และ ศศิณัฎฐ์ สรรคบุรานุรักษ./(2561)./เปอรานากัน : บาบ๋า-ย่าหยามรดกทางวัฒนธรรมสายเลือดลูกผสมมลายู-จีน./ Veridian E Journal ฯ สาขามนุษยศาสตร์ สังคมศาสตร์ และศิลปะ ,13(2),/3-4. https://he02.tci-thaijo.org/index.php/Veridian-E-Journal

สำนักงานพัฒนาชุมชนอำเภอสุไหงโกลก จังหวัดนราธิวาส กรมการพัฒนาชุมชน กระทรวงมหาดไทย,ปาเต๊ะไทยแลนด์. https://district.cdd.go.th/.  2021. แหล่งที่มา : https://district.cdd.go.th/sungaikolok/services/%E0%B8%9B%E0%B8%B2%E0%B9%80%E0%B8%95%E0%B9%8A%E0%B8%B0%E0%B9%84%E0%B8%97%E0%B8%A2%E0%B9%81%E0%B8%A5%E0%B8%99%E0%B8%94%E0%B9%8C/ ค้นเมื่อ 21  ธันวาคม, 2564.


เผยแพร่ในระบบออนไลน์ครั้งแรกเมื่อ 29 ธันวาคม 2565