ท่อง วัลฮัลลา (Valhalla) หอวีรชนแห่งโอดิน ปราสาทที่พักกองทัพสวรรค์แห่งอัสกวร์ด (แอสการ์ด)

ภายในหอวัลลาฮัลลา

เทวสถานอัสกวร์ด ดินแดนแห่งความสวยสดงดงาม อยู่สูงขึ้นไปบนกิ่งก้านสาขาของพฤกษาโลก ณ ที่นี้ ตำนานแห่งคณะเทพเอเซียร์ได้อุบัติขึ้น

สิ่งก่อสร้างแรกในแดนสวรรค์อัสกวร์ด เป็นปราสาทที่งดงามที่สุด มีชื่อว่า กลัดส์เฮม (Gladsheim) มีอุทยานอันงดงามขนาดใหญ่เบื้องหน้า เรียกว่า อิดา (Ida) จากอาณาบริเวณนี้ซึ่งเป็นพื้นที่ใจกลางแดนสวรรค์ทั้งหมด ต่อมาจะเกิดเป็นปราสาทหลังอื่น ๆ รวมทั้งศาลา หอคอย และกำแพงรายล้อมอย่างมั่นคง

ภายในปราสาท จอมเทพโอดินทรงเนรมิตเทวบัลลังก์ทำด้วยทองคำ ทุกวันพระองค์จะเสด็จประทับ ณ เทวบัลลังก์นี้ โดยมีอีกาสีดำสนิทสองตัวเกาะอยู่บนพระอังสา อีกาสองตัวนี้ชื่อ ฮูกินน์ (Huginn) และมูนิน (Munin) ซึ่งแต่ละวันจะบินไปทั่วโลก และนำทุกสิ่งที่พวกมันได้รู้เห็นกลับมาทูลถวายพระเป็นเจ้า พระ องค์จึงทรงครอบครองความรู้อันหลากหลายยิ่งกว่าเทวะใด ๆ

เคียงข้างพระองค์ คือเทวีผู้งดงามผู้ดำรงตำแหน่งราชินีแห่งสวรรค์ พระเทวีฟริกกา (Frigga) ผู้ทรงมีพระเกศาสีทองและพระเนตรสีฟ้า เป็นพระมเหสีเอก และชายาเพียงองค์เดียวในหลาย ๆ องค์ของพระเป็นเจ้าที่ทรงมีเทวฐานะในเทวสภาอัสกวร์ด อีกทั้งทรงเป็นเทวีแห่งความรักและการแต่งงาน [เรื่องราวของพระเทวีฟริกกานี้ ผู้ศึกษาเทวปกรณ์ยุโรปเหนือมักเข้าใจสับสนกับเรื่องของเทวีเฟรยา (Freya)] โอรสของทั้งสองคือ เทพบัลเดอร์ (Baldur) เทพบุตรผู้งดงามและอ่อนโยนที่สุด ซึ่งเรื่องราวของเทวะองค์นี้จะเป็นตัวจักรสำคัญที่ทําให้เกิดวันโลกาวินาศ

และจากเทวบัลลังก์อันเลอค่า ทุกวันพระเป็นเจ้าจะทอดพระเนตรไปยังโลกทั้งหมดที่ทรงสร้างขึ้นด้วยความอาทร… โลกที่อยู่ภายใต้ร่มเงาแห่งอิ๊กก์ดราซิล มีสะพานสายรุ้งหรือบีฟรอสต์ (Bifrost) [สื่อสมัยใหม่บางแห่งออกเสียง “ไบฟรอสต์” – กองบรรณาธิการ] เชื่อมระหว่างอัสกวร์ดและมิดกวร์ด แดนมนุษย์ที่พระองค์สร้างขึ้น บัดนี้ บรรพชนรุ่นแรกของชาวโลกที่เป็นลูกหลาน ของพระองค์นั้น ต่างเริ่มสั่งสมอารยธรรม ทุกคนทำงานหนักและเป็นสุขกับพืชผลทางการเกษตรที่ได้รับ ไม่มีใครคิดถึงสงครามหรือการต่อสู้แก่งแย่งกัน

พระเป็นเจ้าทรงพอพระทัยกับความสงบสุขนี้ แต่ไม่อาจจะปล่อยให้เป็นอย่างนั้นต่อไปได้

มนุษย์ผู้รู้จักศานติเป็นสิ่งที่ดีที่สุด แต่เผ่าพงศ์ยักษ์และปิศาจที่เตรียมพร้อมจะเข้าทำลายโลกเมื่อถึงวันโลกาวินาศนั้น มีกำลังและความแข็งแกร่งมากมาย ขณะที่วงศ์เทพเอเซียร์มีจำนวนน้อยจนไม่พอจะปกป้องโลก จอมเทพโอดินจำต้องทรงมีกองทัพนักรบที่แข็งแกร่งที่สุดเพื่อปกป้องโลกทั้งหมดจากการทำลายล้างครั้งยิ่งใหญ่นั้น

นี่คือคำบอกเล่าที่พระเป็นเจ้าทรงได้สดับจากคณะเทวีแห่งชะตากรรม หรือนอร์น (Norn)

นอร์น คือเทวีทั้งสามที่ล่วงรู้ทุกอย่าง คือผู้ดูแลคอยรดน้ำ ให้พฤกษาโลก คือผู้ปั่นทอเส้นใยชะตาชีวิตของมนุษย์ทุกคนเมื่อเขาถือกำเนิด นอร์นประกอบด้วย อูร์ด (Urd) ผู้รู้แจ้งในอดีต, แวร์ดันดี (Verdandi) ผู้รู้แจ้งในสิ่งที่จะเกิดในปัจจุบัน และสกูลด์ (Skuld) ผู้มองเห็นอนาคต ความรู้ของคณะเทวีแห่งชะตากรรมนี้ แม้แต่โอดินซึ่งเป็นผู้ครอบครองความรู้ทั้งหมดก็ยังไม่สามารถมีได้

ดังนั้น พระองค์จึงทรงมีรับสั่งให้พระโอรสองค์หนึ่ง ซึ่งถือกำเนิดจากมารดาถึงเก้าคนและดำรงตำแหน่งเทพผู้พิทักษ์สวรรค์ คือ เทพเฮมดอลล์ (Heimdal) เข้าเฝ้า และทรงมีเทวโองการว่า

“เฮมดอลล์ เธอจงไปยังมิดกวร์ด ปลอมตัวปะปนอยู่ในสังคมมนุษย์ที่นั่น เพื่อให้พวกเขาได้ดำเนินไปสู่วิถีทางที่สูงส่งยิ่งขึ้น วันนี้ ประชาชนเหล่านี้เป็นคนดี เรียบง่ายและสัตย์ซื่อ แต่เขาทำงานหนักโดยไม่มีชีวิตที่เจริญรุ่งเรือง ไม่มีอนาคตที่ผิดแผกกัน ด้วยเทวอำนาจของเธอ จงมอบอนาคตให้เขา โดยให้ลูกหลานของคนเหล่านี้เกิดมาพร้อมกับพรสวรรค์และความชำนาญในประพฤติเหตุต่างๆ ให้พวกเขาเป็นผู้สร้างผู้นำหรือผู้ตามในจำนวนที่เหมาะสม ให้แต่ละคนมีบทบาทและชะตากรรมของพวกเขาเอง เพื่อเผ่าพันธุ์ที่ยิ่งใหญ่จะได้เกิดขึ้น และผู้กล้าหาญและสูงส่งในหมู่คนเหล่านั้น ซึ่งพวกเขาจะเรียกว่า “วีรชน” จะได้มายังอัสกวร์ด เพื่อร่วมรบกับบิดาของเธอในวันสิ้นโลก”

เทพเฮมดอลล์ รับเทวบัญชาและจึงลงมาสู่โลกของเราโดยสะพานบีฟรอสต์ พระองค์มาพร้อมกับแตรเขาสัตว์ที่มีชื่อว่า กีอัลล์ (Giall) ซึ่งเสียงของมันจะดังกึกก้องไปทั่วทุกมุมโลก ในเวลาไม่นานนัก พระองค์จำแลงกายเข้าปะปนกับเหล่ามนุษย์ และทำให้เกิดนักรบคนแรกขึ้น มีชื่อว่า แฮร์เร (Herre) พระองค์ได้ ประทานความรู้ในการศึกแก่มนุษย์ผู้นี้

บุตรของแฮร์เรได้เป็นกษัตริย์องค์แรกแห่งมิดกวร์ด หรือพระราชาแห่งเดนมาร์ก

พระราชาได้รวบรวมเหล่าผู้นำและนักรบที่กล้าหาญ เพื่อขยายอำนาจและรวบรวมเมืองต่าง ๆ ดังนั้น ในเวลาต่อมามนุษย์จึงรู้จักสงคราม และชาวไวกิ้งนิยมชมชอบการสงครามด้วยถือว่ามีเกียรติ ถือว่าเป็นวิถีแห่งสวรรค์ เพราะเป็นไปตามพระประสงค์ของพระเป็นเจ้า

และเมื่อเทพเฮมดอลล์เสด็จกลับสู่แดนสวรรค์ พระองค์ได้ทอดพระเนตรมหาปราสาทหลังใหญ่ที่เพิ่งสร้างเสร็จอยู่กลางทุ่งแห่งแสงสว่าง มันมีชื่อว่า วัลฮัลลา (Valhalla) หรือหอวีรชนแห่งโอดิน นี่คืออัครสถานที่ประกอบด้วยประตูถึง 540 แห่ง

แต่ละประตูนั้นกว้างใหญ่เพียงพอที่นักรบจำนวน 800 คน สามารถเดินผ่านได้ในเวลาเดียวกัน…!

วัลฮัลลา (Valhalla)

วัลฮัลลาสร้างเสร็จแล้ว เพื่อรอดวงวิญญาณของนักรบที่ตายในสงครามอย่างกล้าหาญมาเป็นสมาชิก ไม่ว่า ณ ที่ใดที่เหล่ามนุษย์กำลังต่อสู้กันอย่างนองเลือด จอมเทพโอดินและคณะเทวีแห่งสงครามหรือวัลเคียร์ส (Valkyrs) [สื่อสมัยใหม่บางแห่งออกเสียง “วัลคีรีส์” – กองบรรณาธิการ] ซึ่งเป็นบริวารของพระองค์จะปรากฏเหนือท้องฟ้าเบื้องบนในลักษณะของกลุ่มเมฆหมอกดำทะมึนพร้อมกับเสียงหวีดหวิวของพายุอันน่าสะพรึงกลัว พระเป็นเจ้าและเหล่าเทพนารีของพระองค์จะทรงคัดเลือกเหล่าดวงวิญญาณของผู้กล้าที่ทอดร่างลงบนพื้นดิน ดวงวิญญาณของวีรชนนี้จะได้ โดยสารม้าศึกของนางฟ้าวัลเคียร์สผู้งดงามไปยังหอวัลฮัลลา

และที่นั่น พวกเขาจะได้ใช้ชีวิตหลังความตายอย่างมีความสุข โดยดื่มกินอย่างเมามายในงานเลี้ยงที่เต็มไปด้วยสุราอาหารที่ไม่มีวันหมดสิ้นทุกค่ำคืน ส่วนในตอนกลางวัน พวกเขาจะนำอาวุธคู่ชีพไปต่อสู้กันในทุ่งหญ้า พวกเขาจะสู้กันจนตายไปข้างหนึ่ง แต่พอถึงตอนเย็นผู้ตายจะกลับฟื้นคืนชีพ และไม่ว่าจะต่อสู้กันมาทั้งวันอย่างโหดร้ายเพียงใด ถึงตอนพลบค่ำพวกเขาจะกอดคอกันกลับสู่วัลฮัลลาเพื่อดื่มกินและฟังดนตรีอย่างสนุกสนาน

นี่คือกองทัพสวรรค์ในอนาคตของจอมเทพโอดิน ที่จะเพียงพอต่อการสัประยุทธ์ครั้งสุดท้ายในวันสิ้นโลก ตามคำแนะนำที่ทรงได้รับจากคณะเทวีแห่งชะตากรรมนั่นเอง

อ่านเพิ่มเติม :


หมายเหตุ : คัดเนื้อหาจากบทความ “กองทัพปิศาจแห่งวัลฮัลลา” เขียนโดย กิตติ วัฒนะมหาตม์ ในศิลปวัฒนธรรม ฉบับกันยายน 2543


เผยแพร่ในระบบออนไลน์ครั้งแรกเมื่อ 25 สิงหาคม 2563