
ที่มา | ศิลปวัฒนธรรม ฉบับสิงหาคม 2543 |
---|---|
ผู้เขียน | กิตติ วัฒนะมหาตม์ |
เผยแพร่ |
ปกรณัมนอร์ส กำเนิดเทพเจ้า-ยักษ์-มนุษย์ สู่การสร้างดินแดน มิดกวร์ด-อัสกวร์ด
ในดินแดนอันเยียบเย็นของภูมิภาคยุโรปเหนือ หรือสแกนดิเนเวีย (Scandinavia) ที่ซึ่งกลางวันสั้นกว่ากลางคืน แสงสว่างสุกใสของพระอาทิตย์มองเห็นได้เฉพาะเวลาเช้าเพียงไม่กี่ชั่วโมง
ขณะที่กลางคืนนั้นเหน็บหนาวทารุณ ทุกหนทุกแห่งเต็มไปด้วยพลังที่โหดร้าย ซึ่งเหล่าบรรพชนชาวไวกิ้ง (Viking) ผู้ซึ่งได้เข้าไปตั้งรกรากอยู่ในดินแดนนี้ครั้งแรกต้องเผชิญอย่างไม่มีทางเลียง พวกเขาต้องต่อสู้กับฝูงหมาป่าที่ดุร้ายกระหายเลือด และคนป่าเถื่อนที่มาจากเทือกเขาอันมืดมิดเข้ามาปล้นทั้งทรัพย์สมบัติและอาหาร ฆ่าผู้ชายและข่มขืนผู้หญิง คนพวกนี้จุดไฟเผาทำลายบ้านเรือนที่ทำจากไม้ ทำให้ไฟเป็นทั้งความอบอุ่น และสัญลักษณ์แห่งการทำลายล้างทุกสิ่ง
ยามใดที่ปลอดจากหมาป่าและศัตรู ธรรมชาติก็บดขยี่ผู้คนที่เหลือด้วยสายลม เกล็ดน้ำแข็ง และพายุหิมะ สิ่งเหล่านี้เองคือพลังอำนาจของความมืด หรือฝ่ายอธรรมในดินแดนยุโรปเหนือ คือหมาป่า อสุรกาย งูพิษ ไฟ และยักษ์ ที่ผู้กล้าหาญในยุคบรรพกาลต้องต่อสู้เอาชนะ ผู้กล้าคนใดที่ล้มตายลงในระหว่างสงคราม จะถูกบันทึกเรื่องราวไว้ในบทกวีและเพลงสรรเสริญ
และเหล่าผู้กล้าที่กำเนิดขึ้นในโลกครั้งแรก คือ คณะเทพเอเซียร์ (Aesir) ที่ปกครองโดยจอมเทพโอดิน (Odin) พระเป็นเจ้าสูงสุดแห่งเทวปกรณ์สแกนดิเนเวีย กล่าวกันว่า ก่อนที่โลกของเราจะเกิดขึ้นมามีแต่ความว่างเปล่า ต่อมาในท่ามกลางความว่างเปล่านี้เกิดมีดินแดนขึ้นสองแห่ง ดินแดนทางเหนือเรียกว่า แดนหมอก หรือนิเฟลเฮม (Nifelheim) ดินแดนทางใต้คือ แดนอัคคี หรือมุสเพลเฮม (Muspelheim)
มุสเพลเฮม ดินแดนแห่งไฟ คือที่สถิตของจอมอสูรผู้เป็นศัตรูคนแรกของโลก นั่นคือ เซิร์ท (Surt) อาวุธของมันคือดาบอัคคี เชื่อกันว่าเมื่อถึงวันสิ้นโลก หรือรักนาร็อก (Ragnarok) เซิร์ทจะเข้ามาทำลายโลกพร้อมกับกองทัพยักษ์

เมื่อศัตรูของโลกถือกำเนิดขึ้น เทวะผู้เป็นแสงสว่างที่เข้ามาคุ้มครองมนุษย์ และขับไล่ความมืดมิด รวมทั้งฝูงหมาป่าออกไปก็เกิดขึ้นมาเช่นกัน แต่น่าประหลาดที่เหล่าเทพเจ้ากลับมีต้นกำเนิดเดียวกับเผ่าพงศ์ยักษ์ นั่นคือ เกิดจากน้ำแข็ง
ตัวตนแรกที่เกิดขึ้นมาในระหว่างดินแดนทั้งสองนี้ คือบรรพชนของยักษ์ทั้งหมด เขามีนามว่า อีเมียร์ (Ymir) ร่างของยักษ์นี้ประกอบด้วยเกล็ดน้ำแข็ง เขายังชีพโดยอาศัยน้ำนมจากแม่วัววิเศษออดุมลา (Audumla) ต่อมาไม่นานเกล็ดน้ำแข็งบนร่างของอีเมียร์ก็แตกออกเป็นพวกยักษ์ที่ชื่อรีเม บรรพชนแห่งเหล่าผู้วิเศษทั้งหลาย นักมายาศาสตร์ รวมทั้งปีศาจในโลก
ออดุมลานั้นไม่ใช่เกิดมาเพียงเพื่อให้น้ำนมแก่อีเมียร์ นางเองก็ต้องยังชีพด้วยการเลียก้อนน้ำแข็งที่มีอยู่ทุกหนแห่ง เมื่อนางเลียก้อนน้ำแข็งเป็นเวลา 3 วัน จึงปรากฏร่างของเทพองค์แรกแห่งคณะเทพเอเซียร์ นั่นคือเทพบุรี (Buri) เทพบุรีองค์นี้ ทรงมีเทวลักษณะที่แข็งแรงและงดงามมาก เป็นสิ่งสวยงามแรกที่ปรากฏขึ้นในโลก
พระองค์ทรงมีพระโอรสคือเทพบอร์ (Bor) ได้สมรสกับนางยักษิณีเบสท์ลา (Bestla) ทั้งคู่ช่วยกันสร้างโลกของเราขึ้นมา และเป็นคู่แรกที่เพาะต้นอ่อนของพฤกษาโลกอิ๊กก์ดราซิล (Yggdrasil) ซึ่งเปรียบเสมือนแกนหลักแห่งธาตุและพลังต่าง ๆ ในโลกทั้งหมด อาศัยพฤกษาโลกนี้ ความสมดุลของโลกจึงจะยังคงอยู่ได้ หากพฤกษาโลกถูกทำลาย ทั้งโลกจะแตกสลายกลายเป็นเศษเล็กเศษน้อยไปในห้วงอวกาศ

และโอรสทั้งสามของเทพบอร์นั้นเองคือผู้ตัดสินชะตาโลก โดยเฉพาะโอรสองค์ใหญ่ จอมเทพโอดิน พระเป็นเจ้าแห่งโลกทั้งหมด พระองค์และพระอนุชา คือเทพวีลี (Vili) และเทพเว (Ve) ช่วยกันต่อสู้และสังหารยักษ์อีเมียร์ลงได้
ความตายของอีเมียร์ทำให้พวกยักษ์รีเมตายไปเกือบหมด เว้นแต่ยักษ์บางตนที่ฉลาดและรอบรู้ ซึ่งถือเป็นคุณสมบัติที่สูงส่ง จอมเทพโอดินจึงทรงละเว้นชีวิตของเขา และจากซากศพของอีเมียร์ จอมเทพโอดินและพระอนุชาช่วยกันสร้างโลกให้สมบูรณ์ขึ้น โดยให้เลือดของอีเมียร์กลายเป็นแม่น้ำและทะเล เนื้อหนังของเขากลายเป็นผืนดิน กระดูกของเขากลายเป็นภูเขา ฟันของเขานั้นกลายเป็นหิน และก้อนกรวด และกะโหลกของเขากลายเป็นท้องฟ้า
จอมเทพโอดินทรงจัดให้ทะเลอยู่รอบผืนดิน และให้ต้นอิ๊กก์ดราซิลเจริญเติบโตขึ้นกลางผืนดินนั้น ให้มันแผ่ร่มเงาปกครองโลก และช่วยค้ำยันท้องฟ้าเหนือพื้นพิภพ จากนั้นเทพทั้งสามได้ไปนำสะเก็ดไฟจากนิเฟลเฮมมาโปรยลงบนท้องฟ้าให้เป็นดวงดาว
จอมเทพโอดินยังให้แสงสว่างแก่โลกทั้งกลางวันและกลางคืน โดยนำทองจากนิเฟลเฮมเช่นกันมาสร้างเป็นราชรถสุริยัน และสร้างสุริยเทวีขึ้น ทรงพระนามว่าซอล (Sol) ให้เป็นสารถีพาราชรถนั้นข้ามขอบฟ้าในเวลาเช้าถึงเย็น ในเวลากลางคืน จันทรเทพมานี (Mani) จะเป็นผู้บังคับราชรถจันทราเพื่อให้แสงสว่างแทน
ทว่า ความโชคร้ายของชาวมนุษย์ก็บังเกิดขึ้นด้วย ทั้งราชรถของเทวีซอลและราชรถจันทรา ต้องเร่งข้ามขอบฟ้าด้วยความเร็วโดยไม่มีการหยุดพัก เพราะเหล่าหมาป่าที่เกิดจากแม่มดชั่วร้ายตนหนึ่ง ต่างพากันไล่ล่าพระองค์อย่างดุร้ายกระหายเลือด เมื่อราชรถทั้งสองต้องผลัดกันถูกหมาป่าไล่ข้ามขอบฟ้าของโลกอยู่อย่างนี้ ทำให้วันและคืนบนโลกผ่านพ้นไปอย่างรวดเร็ว และเมื่อใดก็ตามที่วันสิ้นโลกได้มาถึง ฝูงหมาป่าก็จะสามารถไล่ทันราชรถทั้งสองและทำลายแสงสว่างของโลกเสีย
ส่วนจอมเทพโอดินนั้น พระองค์ยังคงสร้างสรรพสิ่งแก่โลกต่อไปอีก ขณะเดียวกันพวกยักษ์และอสุรกายต่าง ๆ ที่เกิดต่อมาภายหลังการตายของอีเมียร์ ต่างก็เตรียมที่จะเข้าทำลายโลกใหม่ที่พระองค์ทรงสร้างขึ้นมานี้ พระเป็นเจ้าจึงทรงนำกระดูกของอีเมียร์มากั้นเป็นกำแพงกันพวกยักษ์ให้ออกไปอาศัยอยู่ในอีกดินแดนหนึ่งต่างหาก เรียกว่าโยทุนเฮม (Jotunheim) หรืออู๊ทกวร์ด (Utgård)
จากนั้นพระองค์ทรงสร้างดินแดนสำหรับมนุษย์ขึ้น เรียกว่าดินแดนที่อยู่ส่วนกลาง หรือมิดกวร์ด (Midgård) โดยตั้งพระทัยให้เป็นดินแดนที่อุดมสมบูรณ์ ดังนั้นจึงทรงถักทอพฤกษานานาพรรณจากเส้นผมของอีเมียร์ และทอผืนหญ้ากว้างใหญ่จากคิ้วของเขา จากนั้นทรงสร้างหมู่เมฆทั่วท้องฟ้า เพื่อให้แดนมนุษย์สดชื่นด้วยสายฝนตามฤดูกาล
และพระองค์ได้ทรงสร้างมนุษย์ชายหญิงคู่แรกขึ้นจากต้นมะกอก (Ash) และต้นเอล์ม (Elm) โดยประทานชื่อให้ว่า อัซก์ (Ask) และเอมบลา (Embla) พระองค์ประทานจิตวิญญาณแก่พวกเขา เทพวีลีได้ประทานความรู้สึก ส่วนเทพเวประทานการพูดและสัมผัสต่าง ๆ

ทั้งสองได้เป็นบรรพชนแห่งเหล่ามนุษย์ แต่สายเลือดที่บริสุทธิ์จากการสร้างสรรค์ของพระเป็นเจ้านี้กลับต้องเจือความชั่วร้าย และความบาปในเวลาต่อมา เพราะเหล่ายักษ์และปีศาจชนิดต่าง ๆ ได้แปลงร่างมาสมสู่กับลูกหลานของพวกเขา
จอมเทพโอดินไม่อาจจะทรงทำสิ่งใดได้กับปรากฏการณ์นี้ พระองค์จึงทรงสร้างเทวโลกสำหรับเป็นที่อยู่ของเหล่าทวยเทพ ซึ่งจะเป็นกำลังสำคัญที่จะเข้ามาคุ้มครองและปกป้องมนุษย์เหล่านี้ เทวโลกหรือแดนสวรรค์นั้นคือ อัสกวร์ด (Asgård)
***ชื่อเฉพาะต่าง ๆ ในคอลัมภ์นี้ออกเสียงตามแบบของชาวสแกนดิเนเวีย โดยคำแนะนำของ Mr. Magnus Odin เจ้าหน้าที่จาก SWECO โดยเฉพาะชื่อดินแดนต่าง ๆ ที่ลงท้ายว่า -gård จะมีเครื่องหมายบังคับเสียงเหนือสระ å ทำให้ออกเสียงกวร์ด ไม่ใช่การ์ด ดังที่อ่านกันอยู่ทั่วไป***
อ่านเพิ่มเติม :
- ท่องดินแดน “วัลฮัลลา” (Valhalla) อาณาจักรนักรบหลังความตาย ท้องพระโรงของโอดิน
- ต้นตอตำนาน “โลกิ” เทพนอร์สผู้แปลงได้ทั้งเพศและรูปโฉม ไฉนถึงขั้นเคย “คลอดลูก” ?
หมายเหตุ : คัดเนื้อหาจากบทความ “ปฐมกาล : กำเนิดแห่งเทพและยักษ์” เขียนโดย กิตติ วัฒนะมหาตม์ ในศิลปวัฒนธรรม ฉบับสิงหาคม 2543
เผยแพร่ในระบบออนไลน์ครั้งแรกเมื่อ 19 มกราคม 2565