ผู้เขียน | ปดิวลดา บวรศักดิ์ |
---|---|
เผยแพร่ |
ยามจะลั่นระฆังวิวาห์ สิ่งหนึ่งที่มักขาดไม่ได้ นอกจากความรักและบ่าวสาว คือ “แหวนแต่งงาน” หลายคนเชื่อว่าการสวมแหวนเปรียบเสมือนเครื่องเตือนใจระหว่างกัน ทั้งยังแสดงให้สังคมทราบว่ามีคู่ครองแล้ว โดยปกติรูปแบบของแหวนแต่งงานจะขึ้นอยู่กับผู้สวมใส่ว่าชอบอย่างไร อาจมีส่วนประกอบเป็นเพชร ทับทิม หรืออัญมณีอื่น ๆ ในบางคู่ยังสลักประโยคหรือคำสั้น ๆ ไว้ด้านใน
เช่นเดียวกับฮ่องเต้องค์สุดท้ายแห่งราชวงศ์ชิงอย่าง “ผู่อี๋” และจักรพรรดินีอย่าง “หว่านหรง” เพราะในแหวนของทั้งคู่ก็สลักอะไรบางอย่างลงไปเช่นกัน ว่าแต่เป็นอะไรกัน?
แต่ก่อนจะเฉลย ขอพูดถึง “แหวน” ในหน้าประวัติศาสตร์จีนก่อนว่าเป็นอย่างไร
ว่ากันว่า แหวนที่ทำขึ้นมาเพื่อเฉลิมฉลองและระลึกถึงความรัก เกิดขึ้นมาในสมัยราชวงศ์ซ่ง หลังจากราชวงศ์ก่อนหน้ามักจะมองการสวมแหวนเป็นตัวแทนเรื่องอื่น ๆ เช่น ราชวงศ์ชางมักใส่แหวนเพื่อสื่อถึงเรื่องการทหาร, ราชวงศ์ฉินและฮั่นสะท้อนถึงเกราะป้องกันภูติผีปีศาจ
ราชวงศ์ซ่งได้แนวคิดนี้มาจากราชวงศ์ถังอีกทีหนึ่ง แม้ว่าในช่วงต้นราชวงศ์ถัง แหวนจะเป็นสัญลักษณ์ที่สื่อถึงเรื่องภูติผีหรือวิญญาณ เนื่องจากมีตำนาน “จี๋หลิงจี้” (集灵记) ที่กล่าวถึงชายคนหนึ่งซึ่งล่วงลับไปแล้วได้มอบแหวนให้ภรรยาและลูกสาว เพราะเห็นว่าทั้งคู่ทุกข์ยาก หลังเขาตายไป
ทว่าต่อมา แหวนที่ถูกมองว่าเป็นเรื่องของวิญญาณก็แปรเปลี่ยน ใกล้เคียงกับคำว่าความรักมากยิ่งขึ้น เนื่องจากนิยายที่ชื่อว่า “Biography of Li Zhang Wu” เขียนโดย Li Jingliang ได้บรรยายเรื่องราวความรักระหว่าง Li Zhang Wu และ Zi Fu ที่ต้องพลัดพรากจากกัน จน Zi Fu ได้มอบแหวนหยกขาววงหนึ่งให้ เสมือนของต่างหน้าที่ไม่ว่าเมื่อใด เพียงมองมายังเครื่องประดับชิ้นนี้ก็จะเห็นถึงความรักที่อีกฝ่ายมีต่อกัน
“แหวน” จึงเริ่มกลายมาเป็นตัวแทนเรื่องความรักที่ไม่มีวันสิ้นสุด และมอบให้แก่คนรัก ต่อมาเมื่อเข้าสู่ยุคราชวงศ์ซ่ง เครื่องประดับชนิดนี้ก็กลายมาเป็นสิ่งของสำคัญยามแต่งงานตราบจนปัจจุบัน
“แหวนแต่งงาน” ของ “ผู่อี๋” จักรพรรดิองค์สุดท้ายแห่งราชวงศ์ชิงและพระนาง “หว่านหรง”
หลังจากที่จักรพรรดิผู่อี๋และพระนางหว่านหรงเข้าพิธีอภิเษกสมรสเมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน ค.ศ. 1922 ได้มีการเปิดเผยว่า แหวนที่ทั้งสองมอบให้กันและกัน เป็นแหวนแต่งงานทองคำขาว สลักด้วยภาษาจีน เขียนว่า “มีเพียงใจเดียว” และ “ตั้งอยู่ในสายกลาง”
คำว่า ตั้งอยู่ในสายกลาง ผู่อี๋ได้แรงบันดาลใจมาจากตัวอักษรที่ขีดเขียนด้วยลายพระหัตถ์ของ “จักรพรรดิเฉียนหลง” บนแผ่นป้ายซึ่งแขวนไว้ในจงเหอเตี้ยน (พระตำหนักหนึ่งในพระราชวังต้องห้าม) เป็นประโยคย้ำเตือนให้กษัตริย์ปกครองอยู่ในทำนองคลองธรรม แต่ในที่นี้คงหมายถึง การครองคู่ที่ต้องช่วยกันประคับประคอง หากอีกฝ่ายเป็นไฟ อีกคนจะต้องเป็นน้ำ จนชีวิตจะหาไม่
ส่วนอีกวงนั้นสลักด้วยภาษาอังกฤษว่า “I LOVE YOU” และ “FORGET ME NOT” หมายถึง ฉันรักคุณ และ โปรดอย่าลืมฉัน
อ่านเพิ่มเติม :
- ทำไม “ปูยี” สละบัลลังก์ไป 12 ปี ถึงเพิ่งออกจากพระราชวังต้องห้าม
- เกือบ 300 ปีที่ราชวงศ์ชิงปกครองจีน มีมรดกวัฒนธรรมอะไรเหลือไว้บ้าง
- พินัยกรรมลับ วิธีแต่งตั้ง “รัชทายาท” ราชวงศ์ชิงของจักรพรรดิยงเจิ้ง
สำหรับผู้ชื่นชอบประวัติศาสตร์ ศิลปะ และวัฒนธรรม แง่มุมต่าง ๆ ทั้งอดีตและร่วมสมัย พลาดไม่ได้กับสิทธิพิเศษ เมื่อสมัครสมาชิกนิตยสารศิลปวัฒนธรรม 12 ฉบับ (1 ปี) ส่งความรู้ถึงบ้านแล้ววันนี้!! สมัครสมาชิกคลิกที่นี่
อ้างอิง :
จ้าวกว่างเชา. แปลโดย อชิรัชญ์ ไชยพจน์พานิช และชาญ ธนประกอบ. ร้อยเรื่องราว วังต้องห้าม. กรุงเทพฯ: มติชน, 2560.
https://www.newhanfu.com/28309.html
เผยแพร่ในระบบออนไลน์ครั้งแรกเมื่อ 5 กันยายน 2566