ผู้เขียน | กองบรรณาธิการศิลปวัฒนธรรม |
---|---|
เผยแพร่ |
“ฟ้อนผีมด” เป็นพิธีกรรมบวงสรวงผีบรรพบุรุษในภาคเหนือ เรียกอย่างย่อว่า “ฟ้อนผี” และมีฟ้อนผีอีกชนิดหนึ่งว่า “ฟ้อนผีเม็ง”
ฟ้อนผีมดผีเม็ง สันนิษฐานว่าไม่ได้เป็นพิธีกรรมดั้งเดิมของ “คนเมือง” มาแต่แรก อาจได้รับอิทธิพลมาจากชาติพันธุ์อื่น เนื่องด้วยผีมดหมายถึงผีของคนธรรมดาสามัญของพวกลั๊วะ (ละว้า) หรือแจ๊ะ ส่วนผีเม็งหมายถึงผีของแม่ทัพนายกองเชื้อสายมอญ เพราะคำว่าเม็งในภาษาล้านนาหมายถึงพวกมอญ ภายหลังคนเมืองคงรับเอาคตินี้มาปรับและถือปฏิบัติจนนิยมฟ้อนผีมดผีเม็งอย่างแพร่หลาย กลายเป็นประเพณีในท้องถิ่นภาคเหนือ
ในบทความนี้จะขอกล่าวเฉพาะการฟ้อนผีมด
คำว่า “มด” อาจแปลได้ว่าระวังรักษา ดังเช่นคำว่ามดลูก ซึ่งหมายถึงส่วนที่คุ้มครองทารกในครรภ์ ในภาษาเขมรมีคำว่า “มต” (ต สะกด) แปลว่า “หมอ” ได้ ถ้า “มด” (ด สะกด) มาจาก “มต” (ต สะกด) ซึ่งเป็น ภาษาบาลี อ่านว่า “มะ-ตะ” แปลว่า “ตายแล้ว” ตรงข้ามกับ “อมตะ” ที่แปลว่า “ไม่ตาย”
ฟ้อนผีมด เป็นพิธีกรรมบวงสรวงผีบรรพบุรุษ โดยปกติมักฟ้อนกันเป็นประจำทุกปี ทุกสองปี หรือทุกสามปี ตามแต่กำลังทรัพย์ ตามแต่โอกาส ส่วนใหญ่มักจัดขึ้นราวเดือนมีนาคมเป็นต้นไป อันเป็นช่วงเวลาการว่างเว้นการทำไร่ทำนา มีการตระเตรียมงานอย่างยิ่งใหญ่ ก่อนวันงานจะมีการตั้งปะรำพิธีสำหรับฟ้อนผีเรียกว่า ผาม จะถูกสร้างขึ้นเป็นเพิงอย่างง่าย ๆ อาจเป็นเสาไม้ไผ่ปักเป็นหลัก หลังคามุงด้วยหญ้าคา หรือทางมะพร้าว ยุคใหม่ก็ปรับเป็นเต๊นท์เพื่อความสะดวกรวดเร็ว และมีการสร้างหอผีไว้เพื่อเป็นที่สำหรับผีบรรพบุรุษมาอยู่ร่วมกันในระหว่างการฟ้อนผี ส่วนของเซ่นไหว้ผีก็มีหลากหลายและแตกต่างกันไปในแต่ละท้องถิ่น ส่วนใหญ่จะมี หัวหมู ไก่ต้ม เหล้า น้ำหวาน ขนมหวาน มะพร้าว กล้วย อ้อย ข้าวตอก ดอกไม้ ธูป เทียน ฯลฯ
ในวันฟ้อนผีก็จะมีการเชิญผีบรรพบุรุษมาสู่หอผี แล้วเชิญเครื่องเซ่นไหว้ให้ผีบรรพบุรุษมารับ จากนั้นก็จะเริ่มการฟ้อนผี โดยเชิญผีเข้าสู่ “ม้าขี่” หรือคนทรง ผู้เป็นเสมือนตัวแทนติดต่อกับผีบรรพบุรุษซึ่งพอใจให้เป็นสื่อกลางติดต่อกับลูกหลาน โดยม้าขี่จะเข้าไปร่วมฟ้อนอยู่เสมอ หากม้าขี่ชราภาพแล้วไม่สามารถฟ้อนได้ ก็ต้องเข้าร่วมงานพอเป็นพิธี ในอดีตแต่ละตระกูลจะมีม้าขี่และสืบทอดจากรุ่นสู่รุ่น แต่ภายหลังพิธีกรรมความเชื่อนี้เริ่มจางหาย ม้าขี่ก็มีจำนวนลดน้อยลง
เมื่อผีบรรพบุรุษเข้าร่างม้าขี่แล้ว จะมีการแต่งองค์ทรงเครื่องม้าขี่อย่างดงามด้วยเครื่องประดับต่าง ๆ สวมโสร่ง หรือเสื้อและผ้าหลายสีหลายขนาด นำมาคลุมบ้าง นำมาโพกศีรษะบ้าง ฯลฯ จากนั้นจะเชิญผีบรรพบุรุษมาเสกคาถาปัดเป่าเคราะห์และให้ความสิริมงคลแก่ลูกหลาน แล้วการฟ้อนผีในปะรำพิธีก็ดำเนินต่อไป บ้างร่ายรำ บ้างฟ้อนดาบ
เมื่อใกล้ถึงเวลาพักเที่ยง ก็จะนำขันโตกที่ใส่สำรับอาหารมีทั้ง ลาบ แกงอ่อม ไส้อั่ว ข้าวเหนียว หมาก พลู เหล้า บุหรี่ ฯลฯ มาวางไว้กลางปะรำพิธี จากนั้นม้าขี่ก็จะร่ายรำไปพร้อมกับนำดาบที่มีเทียนไขจุดไฟติดที่ปลายดาบ เดินวนไปรอบ ๆ พร้อมกับกวัดแกว่งดาบเหนือขันโตก เป็นสัญลักษณ์ว่าผีได้รับของเซ่นไหว้แล้ว เสร็จขั้นตอนนี้ผีบรรพบุรุษก็ออกจากร่างม้าขี่ แล้วจึงพักรับประทานอาหารกลางวัน
ช่วงบ่ายพิธีกรรมจะแตกต่างออกไป โดยจะมีการละเล่นตามฮีต (จารีต) เพิ่มเข้ามานอกเหนือจากการฟ้อนร่ายรำอย่างพิธีในช่วงเช้า โดยเริ่มจากพิธีปัดต่อปัดแตน จะใช้ข้าวเกรียบแทนต่อ ข้าวตอกแทนแตน เอาแขวนไว้ตรงที่ขื่อ ก่อนจะปัดต่อปัดแตนต้องตีฆ้องร้องป่าวร้องให้รู้ จากนั้นก็นำทางมะพร้าวมาฟาดไปที่ข้าวเกรียบและข้าวตอกจนร่วงลงมาทั้งหมด ก็เป็นอันเสร็จสิ้นไม่มีต่อและแตนแล้ว

พิธีต่อมาก็จะเป็นการละเล่นอื่น ๆ อีก เช่น ยิงนก ยิงกระรอกกระแต คล้องช้างคล้องม้า ชนไก่ ทำไร่ทำสวน จับหนู ตีผึ้ง ยิงเสือ ทอดแหหาปลา ก่อนจะทำพิธีเหล่านี้ก็ต้องมีการตีฆ้องร้องป่าวร้องให้รู้เช่นกัน แต่การละเล่นเหล่านี้ไม่ได้ทำจริง ๆ หนูและปลาเป็นของแกะสลัก ไม่ได้ออกไปจับหนูจับปลาตัวเป็น ๆ พิธีกรรมในช่วงบ่ายจะแสดงออกมาอย่างรวบรัดไม่เยิ่นเย้อ เป็นที่สนุกสนานครื้นเครงของคนที่มาร่วมฟ้อนผี
พิธีกรรมหรือการละเล่นเหล่านี้อาจถ่ายแบบมาจากวิถีชีวิตประจำวัน ไล่เรียงตั้งแต่การทำความสะอาดบ้านเรือน (ปัดต่อปัดแตน) การประกอบอาชีพไปไร่ทำนาทำสวน การทำกิจกรรมต่าง ๆ เรื่อยไปจนถึงการเก็บผลผลิต เช่น ข้าว ผลไม้ ผัก ปลา ฯลฯ
การละเล่นสุดท้ายคือพิธีถ่อเรือถ่อแพ โดยนำเงินทองหรือข้าวของผลผลิตใส่เรือจำลอง ทำท่าทางถ่อเรือ แล้วแห่เข้าสู่ปะรำพิธี เพื่อถวายของให้กับผีไปใช้เพื่อไม่ให้อดอยาก จบการถ่อเรือถ่อแพส่งข้าวของให้ผีผ่านไปแล้วก็แสดงว่าการฟ้อนผีสิ้นสุด จากนั้นก็จะเชิญผีออกจากร่างม้าขี่ แล้วกล่าวเชิญผีบรรพบุรุษแยกย้ายกลับไปสู่เรือนของตระกูลตนเอง
ทั้งนี้ การฟ้อนผีมดมีรูปแบบและรายละเอียดที่แตกต่างกันไปในแต่ละท้องที่

การฟ้อนผีมดจึงไม่ใช่พิธีกรรมที่แสดงออกมาเหมือนกับการบูชายัญเจ้าพ่อ เจ้าแม่ เจ้าป่า เจ้าเขา ภูตผีต่าง ๆ การฟ้อนผีนี้ก็ไม่ใช่ลัทธิที่มีการบวงสรวงเทพเจ้า การฟ้อนผีมดเจาะจงที่จะบูชาผีของบรรพบุรุษของตนที่มีสายเลือดเดียวกันเป็นส่วนใหญ่ ไม่ไหว้ผีสะเปะสะปะ ซึ่งหากจะกล่าวแล้วก็ไม่ต่างไปจากการไหว้เจ้าในเทศกาลต่าง ๆ หรือไหว้บรรพบุรุษของคนจีนมากนัก เพียงแต่พิธีของคนจีนไม่ได้แสดงออกมาในรูปฟ้อนรำเท่านั้น
ปัจจุบันการฟ้อนผีมดมีกระทำบ้างในบางตระกูล บางหมู่บ้าน บางพื้นที่ในกลุ่มชนที่ยังศรัทธายึดมั่นอยู่ก็คงกระทำกัน แต่ก็มีแนวโน้มลดน้อยลงเรื่อย ๆ เนื่องจากปัจจัยทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม การงาน การศึกษา ความเชื่อ ฯลฯ ที่แปรเปลี่ยนไปตามยุคสมัย ประเพณีนี้ก็จะค่อยคลายความเข้มข้นลง และอาจจางหายไปในท้ายที่สุด
อ่านเพิ่มเติม :
- “คลิตอริส” จุดกระตุ้นรักสะเทือนคริสต์ศาสนา สู่การล่าแม่มด
- “แม่มด” : การจำกัดสิทธิเสรีภาพของสตรี โดยเอกเทวนิยมและสังคมชายเป็นใหญ่
อ้างอิง :
นัย บำรุงเวช. “ฟ้อนผีมดผีเม็ง” ใน, ศิลปวัฒนธรรม. ปีที่ 5 : ฉบับที่ 10.
“ฟ้อนผีมด” ใน, สารานุกรมไทย ภาคเหนือ เล่ม 9. จัดพิมพ์เนื่องในพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 5 ธันวาคม 2542.
จำนงค์ ทองประเสริฐ. “มดหมอ”, จาก http://legacy.orst.go.th/?knowledges=%E0%B8%A1%E0%B8%94%E0%B8%AB%E0%B8%A1%E0%B8%AD-%E0%B9%82%E0%B8%94%E0%B8%A2-%E0%B8%A8-%E0%B8%88%E0%B8%B3%E0%B8%99%E0%B8%87%E0%B8%84%E0%B9%8C-%E0%B8%97%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0
เผยแพร่ในระบบออนไลน์ครั้งแรกเมื่อ 2 มีนาคม 2566