“แม่มด” : การจำกัดสิทธิเสรีภาพของสตรี โดยเอกเทวนิยมและสังคมชายเป็นใหญ่

ภาพ "Witches in a Hay Loft" เผยให้เห็นแม่มด ปีศาจ สัตว์ประหลาด และก็อบลิน ภาพวาดโดย Thomas Rowlandson ราว ค.ศ. 1807–1813

คำว่า Witch ที่แปลว่า แม่มด มีรากมาจากคำว่า Wicca/Wicce ในศัพท์เก่าแก่ อันสัมพันธ์กับการบูชาเทพเจ้าทั้งชายและหญิงในสังคมโบราณที่มีความเชื่อแบบพหุเทวนิยม นั่นคือการนับถือหรือบูชาเทพเจ้าหลายองค์

ในสังคมโบราณหรือสังคมแบบเกษตรกรรม เวทมนตร์หรือ Magic เป็นเรื่องที่ยอมรับนับถือกันทั่วไป แม่มดที่ดีหรือหมอผีที่ทรงปัญญาไม่ว่าชายหรือหญิงไม่เคยสร้างความหวาดกลัวให้กับสังคม กลับกันคนกลุ่มนี้กลับเป็นผู้ใช้พลังอำนาจที่เหนือธรรมชาติช่วยเกื้อกูลสังคม ไม่ว่าจะเป็นการรักษาอาการเจ็บไข้ อำนวยอวยพรความอุดมสมบูรณ์เรื่องฝนฟ้า การเพาะปลูก หรือการต่อสู้กับภัยพิบัติของชุมชน

แต่เมื่อเกิดศาสนาแบบใหม่ที่เป็นศาสนาของผู้ชาย เป็นศาสนาแบบเอกเทวนิยม โดยเฉพาะศาสนาคริสต์ ซึ่งต้องการความจงรักภักดีต่อผู้ศรัทธาที่ควรมอบให้พระผู้เป็นเจ้ามากกว่าสิ่งอื่นใดแม้กระทั่งครอบครัวของตนก็จัดอยู่ในลำดับความสำคัญที่เป็นรอง เมื่อนั้น ผู้หญิงในศาสนาในลักษณะแบบนี้จึงตกอยู่ในฐานะศัตรูสำคัญของศาสนาในรูปแบบต่าง ๆ และแม่มดก็เป็นหนึ่งในนั้น (แม้แม่มดส่วนใหญ่จะเป็นผู้หญิง แต่ที่เป็นผู้ชายก็มีบ้างแต่น้อยมาก)

ไม่เฉพาะแม่มดที่เป็นพวกใช้เวทมนตร์ ช่วงปลายศตวรรษที่ 13 ก็พบว่าพระคาทอลิกใช้อำนาจเวทมนตร์ และศาสนจักรก็ยอมรับเรื่องเหล่านี้ได้ด้วย พระคาทอลิกระดับล่างยอมรับเรื่องเหล่านี้เป็นวิถีปฏิบัติของสังคม แต่พระคาทอลิกระดับสูงก็ลำบากใจกับการกำจัดสิ่งที่ขัดแย้งกับตัวอักษรในพระคัมภีร์ อย่างไรก็ตาม การมีอยู่ของแม่มดและการใช้เวทมนตร์เพื่อแก้ไขชีวิตประจำวันหมายความว่าศาสนาคริสต์มีคู่แข่ง เมื่อนานวันเข้า “ตลาดศาสนา” ถูกแม่มดแบ่งไป ศาสนจักรจึงเลี่ยงไม่ได้ที่จำต้องกลับมาผูกขาดตลาดนี้ เพื่อให้สอดคล้องกับความเชื่อแบบเอกเทวนิยมที่อำนาจของศาสนจักรได้รับมาจากพระผู้เป็นเจ้าพระองค์เดียวเท่านั้น

พลังอำนาจของแม่มดมาจากไหน? แน่นอนว่าพระผู้เป็นเจ้าไม่ใช่ผู้มอบให้ เพราะพระองค์มอบให้ศาสนจักรไปแล้ว พลังอำนาจของแม่มดจึงถูกมองว่าได้มาจากปีศาจหรือซาตาน ซึ่งต้องทำสัญญากับซาตานเพื่อให้ได้พลังอำนาจมา และจะต้องพิธีกรรมบางอย่างเพื่อเซ่นสังเวย เช่น การฆ่าสัตว์ รวมไปถึงการมีเพศสัมพันธ์กับซาตาน ทั้งนี้ การหลงใหลในซาตานถูกมองย้อนไปสู่จุดเริ่มต้นของศาสนาคริสต์ เรื่องการล่อลวงของปีศาจร้ายที่ทำให้ Adam และ Eve กินผลไม้ต้องห้าม

เมื่อ Adam และ Eve ถูกขับออกจากสวนอีเดน มนุษย์จึงไร้ความบริสุทธิ์และไม่เป็นอมตะ เมื่อนั้นมนุษย์จำต้องสืบพันธ์ุซึ่งก็ต้องมีการร่วมเพศ ดังนั้น การร่วมเพศจึงเป็นสัญลักษณ์ของการกบฏหรือไม่เชื่อฟังพระผู้เป็นเจ้า การร่วมเพศจึงสัมพันธ์กับซาตานในกรอบความคิดของศาสนาคริสต์ ในอีกมุมหนึ่ง Eve ผู้หลงใหลในปีศาจร้ายชักชวนหรือยั่วยวนให้ผู้ชายอย่าง Adam กินผลไม้ต้องห้าม ผู้หญิงจึงถูกทำให้เป็นศัตรูกับศาสนา

อดัมกับอีฟ ขณะอีฟรับผลไม้จากงูที่ถูกวาดในคราบของอมนุษย์ครึ่งคนครึ่งงู (ภาพโดย Peter Paul Rubens ศิลปินมีชื่อในยุคศตวรรษที่ 17)

ช่วงศตวรรษที่ 13 ปัญหาเรื่องแม่มดเริ่มปรากฏ ซึ่งได้ถูกนำไปเชื่อมโยงเกี่ยวกับความเชื่อเรื่องซาตาน เนื่องจากซาตานเกี่ยวข้องกับเรื่องของกิเลสและการยั่วยวน ซาตานซึ่งถือว่าเป็นกลไกของพระผู้เป็นเจ้า ในประเด็นการพิสูจน์ศรัทธาและความจงรักภักดีที่มีต่อพระองค์ ดังนั้น การสร้างภาพซาตานว่าเป็นคู่ปรับที่แข็งแรงของพระเจ้าโดยปราศจากคำถาม ทำให้การทำร้ายและทำลายแม่มดเป็นไปอย่างปราศจากคำถามเช่นเดียวกัน นัยยะหนึ่งของการล่าแม่มดก็คือการล่าซาตาน ซึ่งเป็นการเพิ่มพูนศรัทธาที่มีต่อศาสนานั่นเอง

การล่าแม่มดเกิดขึ้นในช่วงยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาการ (Renaissance) เมื่อการที่มนุษย์ได้กลับมาเป็นศูนย์กลางขององค์ความรู้ มีความตื่นรู้ ทำให้ผู้หญิงสามารถแสวงหาความรู้ได้ด้วยตนเอง สภาวการณ์ไต่เต้าสู่ความเท่าเทียมเช่นนี้เองทำให้สังคมที่ชายเป็นใหญ่หรือ Patriarchal Society สั่นสะเทือนอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน

นั่นจึงทำให้เกิดความพยายามกดทับ ปราม หรือจำกัดพื้นที่ของผู้หญิง หากผู้หญิงคนใดที่มีการศึกษา สะสมองค์ความรู้ เป็นที่พึ่งด้านสติปัญญาให้กับผู้คน ก็อาจถูกกล่าวหาว่าเป็นแม่มดได้ ก็เพื่อลดทอนภาวะความเป็นผู้นำของเธอ อาจเป็นเพราะความสามารถที่โดดเด่นนั้น ไปบดบังรัศมีของผู้ชายบางคนก็เป็นได้ แต่ถึงแม้ผู้หญิงจะไม่ทำตัวโดดเด่น เลือกที่จะอยู่อย่างสันโดด ไม่สุงสิงกับใคร ก็อาจถูกกล่าวหาว่าเป็นแม่มดได้เช่นกัน เช่น กรณีของ Walpurga Hausmanin

กรณีนี้เกิดขึ้นในดินแดนเยอรมนีช่วงศตวรรษที่ 16 Walpurga Hausmanin เป็นหญิงหม้ายอาศัยอยู่ตามลำพัง เธอถูกสงสัยว่าเป็นแม่มดเพราะไม่สุงสิงกับผู้ใด ก่อนที่เธอจะถูกนำตัวมาตัดสินโทษฐานที่ทำให้เกิดการตายอย่างผิดปกติของทารกหญิงสาวหลายคนในชุมชน รวมถึงในวัว ม้า ห่าน และสุกร เพื่อนบ้าน (ที่เกลียดชังเธอเป็นทุนเดิม) เป็นพยานในเหตุการณ์เหล่านี้ และในที่สุดเธอถูกเผาทั้งเป็น

Walpurga Hausmanin สารภาพว่าเธอพบปะกับซาตานและร่วมเพศกัน และยอมตกเป็นทาส ทำไมเธอจึงสารภาพเรื่องที่ยากจะพิสูจน์? คำตอบนั้นง่ายมาก นั่นเพราะการทรมานระหว่างที่ถูกคุมขัง คำสารภาพจึงกล่าวออกไปเพื่อสร้างความพึงพอใจให้คณะลูกขุนที่หวังไว้แต่แรกแล้วเท่านั้น แล้วทรัพย์สินของเธอตกเป็นของใคร? คาดเดาได้ไม่ยาก ที่ดินของเธอถูกยึดเป็นของพระคาทอลิกประจำชุมชน ซึ่งเป็นหนึ่งในคณะลูกขุน

หากผู้หญิงคนใดที่มีที่ดินหรือทรัพย์สมบัติมหาศาล หากไร้ทายาท ไม่มีผู้สืบสกุล ก็อาจถูกกล่าวหาว่าเป็นแม่มด เมื่อตัดสินประหารเธอไม่ว่าจะด้วยการแควนคอหรือเผาทั้งเป็น คณะลูกขุนจะแบ่งที่ดินของเธอเป็นหลายส่วนเพื่อนำไปแจกจ่ายให้กับพวกเดียวกัน หรือให้กับญาติผู้ชายที่ได้ติดสินบนหรือตกลงกันไว้ล่วงหน้าแล้ว แม้แต่ผู้หญิงที่พลาดพลั้งร่วมเพศกับผู้ชายจนตั้งครรภ์และทำแท้งจะถูกกล่าวหาว่าเป็นแม่มด จนกลายเป็นผู้หญิงที่ถูกสังคมหรือชุมชนกีดกัน

ภาพประกอบเนื้อหา – การจัดแสดงซีนจากตำนานแม่มด Slavic ที่รู้จักกันในนาม Baba-Yaga ในพิพิธภัณฑ์ แม่มด ใน Blancafort ใกล้กับ VIERZON ประเทศฝรั่งเศส เมื่อ 22 สิงหาคม ค.ศ. 2002 ภาพจาก ALAIN JOCARD / AFP

อีกด้านหนึ่ง คดีแม่มดจำนวนมากในอังกฤษสะท้อนภาพถึงการจำกัดสิทธิเสรีภาพของผู้หญิงในยุคนี้ โดยโจทก์ที่เป็นผู้ชายมักอ้างว่าตนถูกคำสาปชั่วร้ายของแม่มด ทั้งที่อาจเป็นเพียงการพูด ติติง หรือการวิจารณ์อย่างตรงไปตรงมาของผู้หญิงที่ตกเป็นจำเลยเท่านั้น ผู้หญิงที่เป็นภรรยาของชาวนาหรือกรรมกรมักได้รับการปรนนิบัติอย่างไม่เป็นธรรม เมื่อพวกเธอเลือกที่จะลุกขึ้นสู้ หรือออกมาเปิดเผยความไม่เป็นธรรมเหล่านั้นอาจทำให้ผู้เป็นสามีอับอายขายหน้า หนทางในการปิดปากพวกเธอก็คือการทำให้คนอื่นเห็นว่าคำพูดเหล่านั้นล้วนมาจากปีศาจร้าย

การล่าแม่มดจากถ้อยคำในยุคนั้น อีกด้านหนึ่งคือการกำจัดการพูดอย่างเสรี หรือ Free Speech ของผู้หญิงจากสังคมที่ชายเป็นใหญ่นั่นเอง หญิงใดที่ต้องกลายเป็นหม้าย หญิงใดที่ปราศจากคู่ครอง หญิงใดที่เกิดมาพิกลพิการ หรือหญิงใดที่ไม่อาจมีบุตรสืบสกุล เธอเหล่านี้ล้วนมีความรู้สึกลึก ๆ ในใจว่าถูกลงโทษจากพระผู้เป็นเจ้า ทำให้เธอถูกผลักให้เชื่อว่ามีแต่ซาตานที่อยู่ฝ่ายตรงข้ามกับพระผู้เป็นเจ้าเท่านั้นที่พร้อมจะโอบอ้อมและดูแลเธอ

การเกิดขึ้นของยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาการทำให้สิ่งที่หาเหตุผลไม่ได้จำนวนมากกลายเป็นความชั่วร้าย ซึ่งพลังอำนาจหรือความเชื่อที่ไร้เหตุผลนั้นจะมีและได้มาก็จากซาตานเท่านั้น จริงอยู่ที่ว่ายุคฟื้นฟูศิลปวิทยาการเป็นช่วงเวลาแห่งการค้นพบสิ่งใหม่ ๆ มากมาย แต่ช่วงเวลานั้นก็เป็นช่วงที่ก่อให้เกิดความรุนแรงมากมายตามมาด้วย เมื่อศาสนจักรต้องการอำนาจที่สูญเสียไปกลับคืนมา การกำจัดผู้คนที่ทำให้มันแปดเปื้อนก็เป็นสิ่งจำเป็น เมื่อบุรุษเพศต้องการอำนาจของพวกเขาคืน การจำกัดสตรีเพศก็เป็นสิ่งจำเป็นเช่นกัน

กระทั่งเมื่อเกิดการปฏิรูปศาสนา (Reformation) ความขัดแย้งระหว่างคาทอลิกและโปรเตสแตนต์ทวีคูณ ความหวาดกลัวจึงเริ่มแพร่กระจายไปทุ่งหย่อมหญ้า ความหวาดกลัวนั้นก็คือปีศาจร้าย ทั้งที่เป็นเทพเจ้านอกระบบ ซาตาน แม่มด รวมไปถึงพวกนอกรีต การกำหนดกรอบความคิดว่าแม่มดมีฐานะเป็นตัวแทรกซึมบ่อนทำลายจากฝ่ายตรงข้ามจึงนำไปสู่การต่อต้านและการล่าแม่มด

การปฏิรูปศาสนาบีบให้พวกคาทอลิกลงโทษพวกโปรเตสแตนต์อย่างหนักหน่วง ต่างฝ่ายต่างก็เห็นอีกฝ่ายเป็นปีศาจร้ายหรือพวกนอกรีต จึงจำต้องถูกกำจัดให้หมดไป ในแง่หนึ่งการล่าแม่มดจึงเป็นกลไกกำจัดศัตรูทางศาสนาที่ไม่สามารถแยกการเมืองออกไปได้ สงครามศาสนาจึงเป็นตัวเร่งการล่าแม่มด แต่หากพิจารณาลงไปในแต่ละพื้นที่จะพบว่า ในสเปนพบการล่าแม่มดไม่รุนแรงนัก เพราะดินแดนนี้ต้องต่อสู้กับพวกยิวและอิสลามมากกว่าพวกโปรเตสแตนต์

ในขณะที่ทางยุโรปเหนือหรือเยอรมนี การล่าแม่มดเป็นไปอย่างหนักหน่วง เพราะได้อิทธิพลมาจาก “ทฤษฎีเรื่องแม่มด” ผลงานของนักล่าแม่มดนาม Heinrich Kramer ผลงาน Alleus Maleficarum ที่ตีพิมพ์ใน ค.ศ. 1486 เป็นคู่มือแม่มดที่ทรงอิทธิพลจนถือได้ว่าเป็นคู่มือที่นำไปสู่การล่าแม่มด อย่างไรก็ตาม ความหวาดกลัวเรื่องแม่มดปรากฏอยู่ในดินแดนแถบนี้มาก่อนที่หนังสือเล่มนี้จะปรากฏแล้ว

การล่าแม่มดดำเนินไปตลอดช่วงศตวรรษที่ 15-16 ตั้งแต่ในทวีปยุโรปลามไปถึงดินแดนอาณานิคมในทวีปอเมริกา เช่น กรณีแมสซาชูเซตส์ใน ค.ศ. 1692-1693 และกรณีสเปนก็ใช้การล่าแม่มดเป็นกลไกในการจัดการทาสผิวดำและชนพื้นเมืองละตินอเมริกามาตลอดหลายทศวรรษ

ภาพวาดการล่าแม่มดในศตวรรษที่ 19 ด้วยการเผาทั้งเป็น

ดังที่กล่าวไปแล้วว่า แม่มดกับซาตานมักถูกกล่าวหาว่ามีความเชื่อมโยงระหว่างกันในเรื่องทางเพศ และความเชื่อนี้ถูกย้ำชัดเมื่อมีการค้นพบ “คลิตอริส” ในศตวรรษที่ 16 การเปิดเผยว่าผู้หญิงสามารถถูกกระตุ้น และทำให้หลงใหลในเรื่องเพศได้ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางความเชื่อว่าผู้หญิงมีหน้าที่เพียงการคลอด และดำรงเผ่าพันธุ์มนุษย์อันเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ให้กลายเป็นความเพลิดเพลินส่วนตัว แล้วใครเล่าที่จะให้ความเพลิดเพลินนี้ได้ดีเท่าซาตาน

ยกตัวอย่างกรณี Margaret Jones เมื่อ ค.ศ. 1648 ที่ตั้งตนเป็นคนทรง ถูกจับและตั้งข้อหาว่าเป็นแม่มด มีการตรวจพบว่าอวัยวะเพศและโดยเฉพาะคลิตอริสมีความบอบช้ำ แม้เพื่อนบ้านจะให้การว่าเกิดจากการคลอดบุตรแบบผิดวิธีของเธอ แต่นักล่าแม่มด (ผู้ชาย) ไม่ฟังข้อแก้ตัว แน่นอนว่าเขามีความเชื่อว่าความบอบช้ำเหล่านั้นคือการถูกรุกรานจากซาตาน ทั้งที่ความรู้ด้านกายวิภาคของเขามีอย่างจำกัด ไม่นับว่าผู้ชายเป็นเพศที่ไม่อาจเข้าใจกระบวนการคลอดบุตรได้เลย

การค้นพบคลิตอริสเป็นการประกาศชัยชนะของผู้ชายว่าพวกเขาได้ประจักษ์แล้วในสิ่งที่เป็นดั่งกุญแจที่ใช้ไขสู่ความลับของอีกเพศหนึ่งว่า พวกเขาเข้าใจแจ่มแจ้งแล้วในเครื่องมือที่เชื่อว่าจะใช้ควบคุมผู้หญิงได้ คำถามที่ตามมาจากนี้ คือจะปกป้องไม่ให้จุดเล็ก ๆ ของผู้หญิงนี้ตกอยู่ในมือของซาตาน จะทำอย่างไรไม่ให้พวกเธอถูกซาตานล่อลวงจนเสียคน?

ขณะเดียวกัน การล่าแม่มดในมุมมองของรัฐนั้น คือการจัดการพลเมือง โดยการตั้งข้อหาว่าเขาหรือเธอเป็นศัตรู ซึ่งนี่เป็นสิ่งที่ดำเนินมาอย่างต่อเนื่องในประวัติศาสตร์ยุโรป ศตวรรษก่อน ๆ คนป่วยด้วยโรคเรื้อน พวกนอกรีต คนยิว คนรักร่วมเพศ ถือว่าเป็นบุคคลที่ไม่พึงปรารถนาของสังคมส่วนใหญ่ ก่อนที่แม่มดจะกลายเป็นเหยื่อสำคัญในศตวรรษที่ 15-17 ประวัติศาสตร์ความเป็นเหยื่อของคนในยุโรปจะอยู่คู่กับประวัติศาสตร์การจัดระเบียบอำนาจของผู้ปกครอง ฉะนั้น การสร้างศัตรูให้มีขึ้นในรัฐนั้นจะช่วยเสริมสร้างความแข็งแกร่งในการปกครอง ไม่ว่าจะต้องสิ้นเปลืองกำลังคนมากมายเพียงใด สำหรับผู้ปกครองมักถือว่าเป็นสิ่งที่ควรค่าอยู่

ดูเหมือนว่าพื้นที่ของผู้หญิงจะถูกรุกล้ำเข้าไปในแทบทุกมิติ ไม่เว้นแม้แต่อาชีพหมอตำแย มักมีความพยายามกล่าวหาผู้ทำอาชีพหมอตำแยว่าเป็นแม่มด กล่าวหาว่าการทำคลอดเกี่ยวข้องกับซาตาน ใช้เป็นพิธีกรรมด้านมืด หรืออะไรทำนองนั้น ซึ่งเป้าหมายคือการลบความน่าเชื่อถือของศาสตร์ว่าด้วยการทำคลอดที่ตกทอดมานับพันปีผ่านหมอตำแย แม้จะเข้าใจได้ว่าการแพทย์สมัยใหม่ที่ถูกพัฒนาอย่างก้าวหน้า มีความน่าเชื่อถือ และปลอดภัยกว่าการคลอดโดยหมอตำแย แต่กระนั้น แพทยศาสตร์ในมหาวิทยาลัยกลับไม่อนุญาตให้ผู้หญิงเข้าไปศึกษาด้านนี้ ไม่อนุญาตให้เข้าไปในพื้นที่ของศาสตร์ใหม่ที่ผู้ชายสงวนพื้นที่ให้แก่ตนเอง

สังคมแพทย์ในยุคกลางและสังคมการล่าแม่มดนั้นมีจุดร่วมที่คล้ายคลึงกันตรงที่มีความพยายามในการควบคุมร่างกายของผู้หญิง ไปพร้อม ๆ กับการที่เห็นว่าผู้ชายควรเข้าไปมีบทบาทสำคัญกว่าในการตัดสินถึงกระบวนการเกิดและการตาย ซึ่งน่าสนใจว่าการเสื่อมถอยของหมดตำแย การงดและห้ามไม่ให้ผู้หญิงเข้าเรียนในด้านแพทยศาสตร์ และการอุบัติของช่วงเวลาการล่าแม่มดนั้นมาบรรจบในเวลาไล่เลี่ยกันเมื่อปลายศตวรรษที่ 15

ไม่ว่าผู้หญิงจะประกอบอาชีพหมอตำแย หรืออาชีพอื่นใดซึ่งอาจท้าทายต่ออำนาจทางการเมือง ต่ออำนาจรัฐ ต่ออำนาจศาสนจักร ต่ออำนาจศาสนา หรือต่ออำนาจของผู้ชายไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง เมื่อนั้นพวกเธอจึงถูกกล่าวหาว่าเป็นแม่มด การล่าแม่มดจึงตอบสนองความต้องการที่จะกดขี่ผู้หญิงให้กลับมาอยู่ในกรอบเยี่ยงในยุคกลางหรือยุคก่อนหน้า หรือกรอบของสังคมที่ชายเป็นใหญ่นั่นเอง

 


อ้างอิง :

อนุสรณ์ ติปยานนท์. (2558). ล่าแม่มด. กรุงเทพฯ : มติชน.


เผยแพร่เนื้อหาในระบบออนไลน์ครั้งแรกเมื่อ 5 มีนาคม 2564