คลองสำโรง อดีตคลองยุทธศาสตร์ เส้นทางการเดินทัพไปกัมพูชา

คลองสำโรง
คลองสำโรง บริเวณตลาดโบราณบางพลี อำเภอบางพลี จังหวัดสมุทรปราการ (ภาพถ่ายโดยเอนก  นาวิกมูล)

คลองสำโรง เป็นคลองเก่าแก่ มีอายุ 500 กว่าปีขึ้น ด้วยปรากฏความใน พระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา ว่า ครั้งถึงรัชกาลสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 2 แห่งกรุงศรีอยุธยา (ครองราชย์ พ.ศ. 2034-2072) คลองสำโรง ตื้นเขิน จึงโปรดเกล้าฯ ให้ขุดลอก นอกจากจะเพื่อการคมนาคม คลองสำโรงยังเป็นเส้นทางเดินทัพไปกัมพูชา

จนเมื่อ พ.ศ. 2380 รัชกาลที่ 3 โปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้พระยาศรีพิพัฒน์รันราชโกษา (ทัต บุนนาค) แม่กองดำเนินการขุดคลองแห่งใหม่ (คลองแสนแสบ) จากตำบลหัวหมาก กรุงเทพมหานคร ถึงบ้านบางขนาก เมืองฉะเชิงเทรา เพื่อใช้เป็นเส้นทางส่งยุทธปัจจัยต่างๆ ในสงครามกับญวน แทน “คลองสำโรง” จึงลดบทบาทด้านนี้ลงไป

เกี่ยวกับเรื่องนี้ ผศ. ดร. ศานติ ภักดีคำ สาขาวิชาภาษาเขมร ภาควิชาภาษาไทยและภาษาตะวันออก คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ อธิบายไว้ใน “เส้นทางการเดินทัพไทย-กัมพูชา ก่อนขุดคลองแสนแสบ” (ศิลปวัฒนธรรม, ธันวาคม 2556) ดังนี้


 

ในสมัยก่อนที่จะมีการขุดคลองแสนแสบ เส้นทางการเดินทัพบกระหว่างกรุงเทพฯ-กัมพูชาใช้เส้นทางใดในการเดินทาง หลักฐานเกี่ยวกับการเดินทัพของพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชเมื่อครั้งเสด็จกลับจากเสียมราบ ใน พ.ศ. 2325 ใช้เส้นทางตัดทุ่งแสนแสบ เนื่องจากเป็นเวลาเร่งด่วน [1]  ดังปรากฏความใน พระราชพงศาวดารฉบับสมเด็จพระพนรัตน์ ฉบับตัวเขียน ว่า

“…เจ้าพญามหากระษัตรศึก ก็ทรงช้างแล้วยกช้างม้ารี้พลคนประมาณห้าพันเสศ ดำเนิรทับมาทางด่านพระจาฤกมาถึงเมืองปราจิน แล้วข้ามแม่น้ำเมืองปราจิน เมืองนครนายก ตัดทางมาลงท้องทุ่งแสนแสบ….”

ในสมัยรัชกาลที่ 2 เจ้าพระยายมราช (น้อย บุณยรัตพันธุ์) ได้ยกทัพไปเมืองบันทายเพชรครั้งหนึ่ง แต่ไม่ปรากฏหลักฐานว่าเดินทัพทางใด [2]

ต่อมาสมัยรัชกาลที่ 3 ปรากฏหลักฐานว่า ก่อนหน้าที่จะมีการขุดคลองแสนแสบนั้น เส้นทางเดินทัพไปกัมพูชา ต้องไปทางคลองสำโรง เพื่อไปยังแม่น้ำบางปะกง ก่อนที่จะยกทัพทวนน้ำขึ้นไปที่ปากน้ำโยทะกา เพื่อยกทัพไปยังเมืองปราจีนบุรี และเข้าประเทศกัมพูชาต่อไป

ดังที่ปรากฏในพระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ 3 ของเจ้าพระยาทิพากรวงศ์ (ขำ บุนนาค) ว่า กองทัพได้ยกออกจากกรุงเทพพระมหานครเมื่อวันเสาร์เดือน 1 ขึ้น 12 ค่ำ ตรงกับวันที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2376 วันเดียวกันทั้ง 3 ทัพ รุ่งขึ้นเกิดแผ่นดินไหว

เหตุการณ์ครั้งนี้ปรากฏบันทึกในเอกสารเรื่อง “อานามสยามยุทธ” ว่าเมื่อเจ้าพระยาบดินทรเดชาเดินทัพไปถึงปากคลองสำโรงกำลังจะเข้าคลองสำโรงได้เกิดแผ่นดินไหว ตรงกับที่ระบุไว้ในพระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ สงครามอานามสยามยุทธ์ครั้งนี้กินเวลานานถึง 15 ปี

คลองสำโรง เส้นทางการเชื่อมแม่น้ำเจ้าพระยา-บางปะกง ก่อนขุดคลองแสนแสบ

การเดินทัพบกของเจ้าพระยาบดินทรเดชาใช้เส้นทางเมืองปราจีนบุรี-เมืองพระตะบอง ซึ่งต้องยกทัพทางเรือจากพระนครไปยังเมืองฉะเชิงเทราเสียก่อน จากนั้นจึงเดินบกไปปราจีนบุรี ประจันตคาม กบินทร์บุรี ฯลฯ ตามลำดับ

แต่เส้นทางระหว่างกรุงเทพฯ กับเมืองฉะเชิงเทรากลับไม่สะดวกมากนัก เพราะต้องเดินทางอ้อมโดยต้องพายเรือย้อนลงไปเข้าคลองสำโรงที่เมืองสมุทรปราการ แล้วตัดไปทะลุแม่น้ำบางปะกงที่ทางใต้ของเมืองฉะเชิงเทรา จากนั้นจึงพายทวนน้ำขึ้นไปฉะเชิงเทรา ซึ่งเป็นการยากลำบากและเสียเวลาในการลำเลียงยุทโธปกรณ์สำหรับกองทัพ

“คลองสำโรง” เป็นคลองโบราณ แต่ปรากฏใน พระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา ว่า ครั้งถึงรัชกาลสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 2 คลองสำโรงตื้นเขิน สมเด็จพระรามาธิบดีที่ 2 แห่งกรุงศรีอยุธยา จึงโปรดเกล้าฯ ให้ขุดลอก ดังปรากฏในพระราชพงศาวดารฉบับสมเด็จพระพนรัตน์ วัดพระเชตุพน ฉบับตัวเขียนว่า

“…๏ ขะณะนั้นคลองสำโรงที่จะไปคลองศีศะจรเข้ คลองทับนางจะไปปากน้ำเจ้าพญาตื้นเรือใหญ่จะเดืรไปมาขัดสน จึ่งให้ชำระขุด ได้รูปเทพารักษ์ 2 องค์ หล่อด้วยทองสำฤทธิ จาฤกองค์หนึ่งชื่อพญาแสนตา องค์หนึ่งชื่อบาทสังกร ในที่ร่วมคลองสำโรงกับคลองทับนางต่อกัน จึ่งให้พลีกรรม์บวงสวงแล้วรับออกมาปลูกศาลเชืญขึ้นประดิศถานไว้ ณะ เมืองประแดง…” [3]

คลองสำโรงในปัจจุบันไหลผ่านพื้นที่อำเภอเมืองสมุทรปราการ อำเภอบางพลี อำเภอบางเสาธง อำเภอบางบ่อ จังหวัดสมุทรปราการ และบรรจบแม่น้ำบางปะกง ที่ตำบลท่าสะอ้าน อำเภอบางปะกง จังหวัดฉะเชิงเทรา มีระยะทางยาวประมาณ 55 กิโลเมตรเศษ

รายละเอียดเกี่ยวกับการเดินทางผ่านคลองสำโรงเพื่อไปยังเมืองฉะเชิงเทราและปากน้ำโยทะกา นั้นปรากฏใน โคลงนิราศฉะเชิงเทรา พระนิพนธ์กรมหลวงภูวเนตรนรินทรฤทธิ์ [4] ซึ่งเสด็จไปราชการทัพในศึกเวียงจันท์ เมื่อปี พ.ศ. 2369 แต่ใช้เส้นทางคลองสำโรง เป็นเส้นทางยกทัพไปปากน้ำโยทะกา เช่นเดียวกัน ว่า

วันที่ 1 กองทัพต้องเดินทางจากวังหลวง ผ่านบพิตรพิมุข สามปลื้ม สามเพ็ง (สำเพ็ง) คอกควาย (คอกกระบือ – ยานนาวา) ดาวคะนอง บางคอแหลม บางปะแก้ว บางขมิ้น ปากลัด นครเขื่อนขันธ์ บางยอ พระผะแดง (พระประแดง) พระขนง (พระโขนง) แล้วพักแรม 1 คืน

วันที่ 2 กองทัพผ่าน บางงัว บางกะบัว บางนา จึงจะถึงปากทางเข้าคลองสำโรง ซึ่งปัจจุบันตั้งอยู่ที่ตำบลสำโรง และตำบลสำโรงกลาง (เทศบาลเมืองสำโรงใต้) อำเภอพระประแดง จังหวัดสมุทรปราการ

(55) สำโรงเรือลุเลี้ยว   ระลึกขวัญ  เนตรเอย

โรงเล่ห์ลงโรงกัน   เกี่ยวก้อย

สองร่วมร่วมสินสรรพ์   สมรส  ระคนนา

อยู่ไปยืนเยียวคล้อย   คลาดห้องหอโรง ฯ

สำโรงในที่นี้หมายถึงคลองสำโรง ปากคลองสำโรงในปัจจุบันอยู่ในเขตจังหวัดสมุทรปราการ จากนั้นจึงผ่านบริเวณที่เรียกว่า สามสิบสองโคก ดังความใน “โคลงนิราศฉะเชิงเทรา” พระนิพนธ์กรมหลวงภูวเนตรนรินทรฤทธิ์ ว่า

(57) สามสิบสองโคกเบื้อง   เบาราณ  มานา

ยลไป่เป็นเรือนชาน   ชัฏไม้

คิดโคกคฤหาดล   แดสวาท  แม่เอย

สนุกนิแผ้วเพียงไล้   แหล่งน้อยนางสงวน ฯ

จากนั้นกระบวนเรือจึงผ่าน “ทับนาง” ซึ่งเป็นชื่อคลอง คือ คลองทับนาง ปัจจุบันบริเวณบ้านทับนางอยู่ในจังหวัดสมุทรปราการคือ บ้านทับนาง ตำบลบางพลีใหญ่ อำเภอบางพลี จังหวัดสมุทรปราการ ดังปรากฏความใน “โคลงนิราศฉะเชิงเทรา” พระนิพนธ์กรมหลวงภูวเนตรนรินทรฤทธิ์ ว่า

(60) ทับนางนิเทศบ้าน   บอกจริง  ใจนา

คิดพี่ทับอรอิง   อ่อนพลิ้ว

เดาะพวงผะผ่าวผิว   พานปรัศว์  พี่เอย

ค่อนแม่ข่วนเรียมริ้ว  อุ่ยโอ้ทับนาง ฯ

จากนั้นกระบวนเรือจึงผ่านบ้าน “บางพลี” ซึ่งปัจจุบันคืออำเภอบางพลี จังหวัดสมุทรปราการ ดังความใน “โคลงนิราศฉะเชิงเทรา” พระนิพนธ์กรมหลวงภูวเนตรนรินทรฤทธิ์ ว่า

(64) ลิ่วลิ่วลุล่วงบ้าน   บางพลี

ศาลเทพสิทธิศักดิ์มี   มดท้าว

สรวมไท้เทพอารี   อาราธน์  ราพ่อ

ตูบัดพลีบวงจ้าว   จุ่งคุ้มภัยสมร ฯ

เมื่อผ่านบางพลีแล้ว จากนั้นกระบวนเรือได้ผ่าน “บ้านเศียรจระเข้” ซึ่งปัจจุบันเรียกว่า “ศีรษะจระเข้” ปัจจุบันคือตำบลศรีษะจระเข้ใหญ่ ตำบลศรีษะจระเข้น้อย อำเภอบางเสาธง จังหวัดสมุทรปราการ ดังความใน “โคลงนิราศฉะเชิงเทรา” พระนิพนธ์กรมหลวงภูวเนตรนรินทรฤทธิ์ ว่า

(65) ลุเศียรจระเข้เขต   คามกาล  ก่อนนา

เกรียกเกียรติไกรทองชาญ   เชี่ยวแกล้ว

ตัดเศียรจระเข้ขาน   นามสืบ  ไว้รา

ตัดดั่งตัดสวาทแคล้ว   คลาดร้างแรมสมร ฯ

จากนั้นกระบวนเรือได้ผ่าน “หอมสิน” ซึ่งปัจจุบันน่าจะได้แก่ บ้านคลองหอมสิน ตำบลบางพลีน้อย อำเภอบางบ่อ จังหวัดสมุทรปราการ ดังปรากฏความใน “โคลงนิราศฉะเชิงเทรา” พระนิพนธ์กรมหลวงภูวเนตรนรินทรฤทธิ์ ว่า

(66) หอมสินศีลแม่พร้อม   เพรงปราง  มาฤๅ

ศีลสุทธิอัษฎางค์   เดชค้ำ

รังรูปสิริโสภางค์   เพ็ญลักษณ์  เลิศแฮ

หอมรูปหอมรสล้ำ   ล่วงบ้านหอมสิน ฯ

จากนั้นกระบวนเรือได้ผ่าน “ปากตะครอง” ซึ่งปัจจุบันน่าจะได้แก่ “ปากตะคลอง” ตำบลท่านสะอ้าน อำเภอบางปะกง จังหวัดฉะเชิงเทรา และบ้านพร้าว ดังปรากฏความใน “โคลงนิราศฉะเชิงเทรา” พระนิพนธ์กรมหลวงภูวเนตรนรินทรฤทธิ์ ว่า

(67) ปากตะครองครวญคิดครั้ง   คราวสม  แม่เอย

ครองพี่ครองนุชชม   ชื่นช้อย

โททาบอุทรกลม   เกลียวสวาท

เยียวพิโยคยุพคล้อย   คลาดแคล้วใครครอง ฯ

(68) บ้านพร้าวดลพร้าวเมี่ยง   ยุพมาลย์  แม่เอย

เมี่ยงแม่ปรุงประจงจาน   จัดตั้ง

อรรังรสหัตถ์ปาน   ปนทิพ  รสนา

พบชื่อพร้าวนึกครั้ง   เมี่ยงน้องนางปรุง ฯ

ใกล้ถึงปากคลองแม่น้ำบางปะกงจึงพักแรม 1 คืน รุ่งวันที่ 3 แล้วจึงเดินทางต่อ ผ่านบางผึ้ง และท่านสะอ้านซึ่งเป็นสถานที่คลองสำโรงบรรจบกับแม่น้ำบางปะกง

(72) บางผึ้งผึ้งพวกมิ้ม   ฤๅหลวง  เล่านา

เมิลไป่พานผึ้งรวง   เร่งเศร้า

หวั่นแดเด็ดสวาทดวง   เดียวบุษป์  มาลย์แม่

หวาดว่าผึ้งผ่ายเคล้า   ดอกแก้วกูสงวน ฯ

(73) ลุถึงถิ่นท่าสะอ้าน   ออกนาม

ท่ารดุกอกกะหนาม   กะหนากกล้ำ

ค่อนค่อนคิดคะนึงยาม   สรงสระ  แม่นา

ท่าสะอาดอรเลี่ยนล้ำ   เล่ห์แผ้วพูนทอง ฯ

เมื่อผ่านท่าสะอ้านแล้ว ได้เดินทางผ่าน “เขาดิน” ปัจจุบันคือ ตำบลเขาดิน อำเภอบางปะกง จังหวัดฉะเชิงเทรา จากนั้นได้ผ่าน “ทุ่งโพ” ซึ่งน่าจะอยู่ถัดจากเขาดินไปก่อนถึงบ้านสามภูดาษ ปัจจุบันน่าจะได้แก่ ตำบลบ้านโพธิ์ อำเภอบ้านโพธิ์ จังหวัดฉะเชิงเทรา

………….

บทสรุป

เมื่อพิจารณาเส้นทางการเดินทัพจากกรุงเทพฯ ไปยังเมืองฉะเชิงเทราและปากน้ำโยทะกา ในสงครามครามปราบเวียงจันท์ ดังปรากฏในโคลงนิราศฉะเชิงเทราพระนิพนธ์ของกรมหลวงภูวเนตรนรินทรฤทธิ์ จะเห็นว่ากว่าจะเดินทางถึง “บางขนาก” ต้องใช้เวลาเดินทางประมาณ 4-5 วัน ซึ่งทำให้การเดินทัพต้องล่าช้าเสียเวลามาก ทั้งยังไม่สะดวกแก่การลำเลียงเสบียงอาหารและยุทโธปกรณ์

ดังนั้นพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพิจารณาเห็นความยากลำบากต่างๆ ในการลำเลียงยุทโธปกรณ์สำหรับกองทัพ ที่เข้าไปทำสงครามยืดเยื้อในประเทศกัมพูชาเป็นเวลานาน พระองค์จึงโปรดให้ขุดคลองเชื่อมระหว่างคลองบางกะปิกับแม่น้ำบางปะกงขึ้น ให้ทะลุที่ “บางขนาก” เพื่อให้เป็นคลองลัดไปยังแม่น้ำบางปะกงและถึงบริเวณบางขนากก่อนถึงปากน้ำโยทะกาได้โดยไม่ต้องอ้อมไปเข้าทางคลองสำโรง แขวงเมืองสมุทรปราการนั่นเอง

อ่านเพิ่มเติม :

สำหรับผู้ชื่นชอบประวัติศาสตร์ ศิลปะ และวัฒนธรรม แง่มุมต่าง ๆ ทั้งอดีตและร่วมสมัย พลาดไม่ได้กับสิทธิพิเศษ เมื่อสมัครสมาชิกนิตยสารศิลปวัฒนธรรม 12 ฉบับ (1 ปี) ส่งความรู้ถึงบ้านแล้ววันนี้!! สมัครสมาชิกคลิกที่นี่


เชิงอรรถ :

[1] เจ้าพระยาทิพากรวงศ์ (ขำ บุนนาค), พระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ 1 (กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์การศาสนา, 2544), หน้า 73.

[2] เจ้าพระยาทิพากรวงศ์ (ขำ บุนนาค), พระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ 2 ฉบับตัวเขียน (กรุงเทพฯ: อมรินทร์, 2548), หน้า 28.

[3] พระราชพงศาวดารฉบับสมเด็จพระพนรัตน์ ฉบับตัวเขียน เล่ม 1 (หมู่พระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา ฉบับพระราชหัตถเลขา เล่ม 1) เลขที่ 1 ตู้ 108 มัดที่ 1 ประวัติ ได้จากกรมเลขาธิการคณะรัฐมนตรี 7/4/2482.

[4] กรมหลวงภูวเนตรนรินทรฤทธิ์, “โคลงนิราศฉะเชิงเทรา,” นิราศทัพเวียงจันท์ (กรุงเทพฯ: มติชน, 2544), หน้า 112-131.

บรรณานุกรม :

คณะกรรมการชำระประวัติศาสตร์ไทยฯ. ความยอกย้อนของประวัติศาสตร์ พิพิธนิพนธ์เชิดชูเกียรติศาสตราจารย์หม่อมเจ้าสุภัทรดิศ ดิศกุล. กรุงเทพฯ: รุ่งแสงการพิมพ์, 2539.

จุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว, พระบาทสมเด็จพระ. พระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเรื่องเสด็จประพาสคลองแสนแสบ. พระนคร: โรงพิมพ์พระจันทร์, 2476.

ตำนานเรื่องวัตถุสถานต่างๆ ซึ่งพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงสถาปนา. พระนคร: โรงพิมพ์โสภณพิพรรฒธนากร, 2472.

ทิพากรวงศ์ (ขำ บุนนาค), เจ้าพระยา. พระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ 1. กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์การศาสนา, 2545.

ทิพากรวงศ์ (ขำ บุนนาค), เจ้าพระยา., พระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ 2 ฉบับตัวเขียน กรุงเทพฯ: อมรินทร์, 2548.

ภูวเนตรนรินทรฤทธิ์, กรมหลวง. “โคลงนิราศฉะเชิงเทรา,” นิราศทัพเวียงจันท์. กรุงเทพฯ: มติชน, 2544.

ศิลปากร, กรม. พระราชพงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขา เล่ม 1. กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์ชุมนุมสหกรณ์แห่งประเทศไทย, 2534.

________. พระราชพงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขา เล่ม 2. กรุงเทพฯ: ห้างหุ้นส่วนจำกัด ไอเดียร์สแควร์, 2535.

________. ราชพงษาวดารกรุงกัมพูชา. พระนคร: แพร่พิทยา, 2513.

สมมตอมรพันธุ์, พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระ. เรื่องตั้งเจ้าพระยาในกรุงรัตนโกสินทร์. กรุงเทพฯ: บริษัทรุ่งศิลป์การพิมพ์ (1977) จำกัด, 2545.

อานามสยามยุทธ. พระนคร: แพร่พิทยา, 2514.


เผยแพร่ในระบบออนไลน์ครั้งแรกเมื่อ 4 กรกฎาคม 2565