มีวันนี้เพราะแมวให้! “ซ่งเซี่ยวจง” รัชทายาทผู้ได้บัลลังก์เพราะน้องเหมียว!

ซ่งเซี่ยวจง ได้ บัลลังก์ เพราะ แมว
รูปแมว

ปกติแล้วกษัตริย์จะเป็นผู้คัดเลือกรัชทายาทหรือผู้สืบบัลลังก์ แต่ “ซ่งเซี่ยวจง” กลับแตกต่าง เพราะเขาเป็นจักรพรรดิที่ได้รับการคัดเลือกจากแมว!

หลังจากราชวงศ์ซ่งปกครองแผ่นดินจีนอย่างสงบสุขมานาน เมื่อเข้าสู่ปลายรัชสมัยของ “พระเจ้าซ่งฮุ่ยจง” (ค.ศ. 1100-1126) ความระส่ำระสายก็เกิดขึ้น เมื่อ “ชนเผ่าหนี่ว์เจิน” หรืออาณาจักรจินเข้ามารุกราน 

ชนเผ่าหนี่ว์เจิน เป็นชนเผ่าที่เคยอยู่ภายใต้อำนาจของแคว้นเหลียว ซึ่งมีอิทธิพลเหมือนกับราชวงศ์ซ่งขณะนั้น แต่เนื่องจากการถูกกดขี่ ไม่ว่าจะเป็นถูกแย่งพื้นที่ทำกิน หรือการต้องส่งเครื่องราชบรรณาการ ทำให้ชนเผ่าหนี่ว์เจินไม่พอใจและคิดก่อกบฏ 

พวกเขาไปขอความช่วยเหลือจากราชวงศ์ซ่ง จนชนเผ่าหนี่ว์เจินสามารถเอาชนะแคว้นเหลียว และก่อตั้งเป็นอาณาจักรจิน แต่แล้วการช่วยเหลือดังกล่าวก็เหมือนยื่นหอกให้ศัตรู เพราะต่อมาอาณาจักรจินเริ่มเหิมเกริมขึ้นเรื่อย ๆ ทั้งยังพยายามรุกรานดินแดนของราชวงศ์ซ่ง ก่อนจะไล่ยึดอาณาบริเวณทางเหนือของราชวงศ์ซ่งได้

เมื่ออาณาจักรจินมีชัยเหนือกว่า ก็จับกุมจักรพรรดิซ่งฮุ่ยจง รวมถึงเจ้านาย ขุนนาง ที่มีความสำคัญไปเป็นเชลยศึก เหลือเพียง “จ้าวโก้ว” (ต่อมาเป็น “จักรพรรดิซ่งเกาจง”) เนื่องจากขณะที่จ้าวโก้วกลายเป็นตัวประกันเพื่อต่อรองที่ค่ายทหารอาณาจักรจิน พวกทหารกลับคิดว่านี่คือตัวปลอม ทำให้จ้าวโก้วถูกทิ้งไว้ข้างทาง

ความโชคดีนี้เอง ทำให้จ้าวโก้วกลายมาเป็น “ซ่งเกาจง” ฮ่องเต้ของราชวงศ์ซ่งใต้ ในเวลาต่อมา

ทว่าความโชคดีกลับแฝงด้วยโชคร้าย แม้ว่าพระองค์จะทรงรอดชีวิตจากเหตุการณ์เลวร้ายต่าง ๆ นานา แต่ก็ส่งผลให้ร่างกายและจิตใจของพระองค์ไม่แข็งแรงนัก ทำให้เมื่อเถลิงอำนาจขึ้นมาเป็นระยะเวลาหนึ่ง กลับไม่มีวี่แววว่าจะมีบุตร 

เมื่อเป็นเช่นนี้ ซ่งเกาจงจึงต้องหาสายเลือดในราชวงศ์เดียวกันมาสืบทอด เคราะห์ดีที่ยังหลงเหลือสายเลือดเชื้อพระวงศ์ของ “ไท่จูฮ่องเต้” สายเลือดรองของราชวงศ์ซ่งที่ยังมีชีวิตอยู่ 

พระองค์มีพระราชดำริคัดเลือกเด็กอายุ 2-3 ขวบเหล่านั้นเข้ามายังพระราชวัง แต่คุณสมบัติ รูปลักษณ์ และหน้าตายังไม่สามารถทำให้จักรพรรดิซ่งเกาจงพอพระทัยได้ ท้ายสุดจึงมีพระบรมราชโองการส่งเด็กเหล่านั้นกลับบ้าน

ผ่านไปหนึ่งปี จักรพรรดิซ่งเกาจงก็ยังไม่ละความพยายามในการหารัชทายาท พระองค์มีพระบรมราชโองการออกไปอีกครั้งว่าให้ตามหาเด็กที่มีเชื้อพระวงศ์ โดยเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขการคัดเลือกเล็กน้อย ได้แก่ คัดเลือกลูกหลานราชวงศ์ที่อายุไม่เกิน 7 ขวบ และอยู่ในรุ่นอักษร “โป๋” 

และแล้วก็ได้เด็กชายตรงคุณสมบัติมา 2 คน คือ “โป๋เฮ่า” และ “โป๋ฉง”

เมื่อทั้งสองปรากฏตัวต่อหน้าพระพักตร์ จักรพรรดิซ่งเกาจงทรงชื่นชอบ “โป๋ฉง” มากกว่า เนื่องจากรูปร่างอ้วนท้วนสมบูรณ์ แต่ขณะที่กำลังจะมีรับสั่งให้ “โป๋เฮ่า” กลับบ้าน พระองค์ก็วาบความคิดบางอย่างขึ้นมา ทรงพิจารณาเด็กน้อยทั้งสองเพิ่มเติมอีกหน่อย โดยให้ทั้งคู่ไปยืนกอดอก เพื่อจะได้ทรงสังเกตอย่างละเอียด

ทันใดนั้นก็มีเจ้าแมวตัวหนึ่งเดินผ่านมา และเพราะเหตุผลใดไม่ทราบ “โป๋ฉง” ผู้ได้รับความชื่นชอบจากจักรพรรดิ ก็ยกเท้าเตะแมวไป 1 ที เมื่อจักรพรรดิซ่งเกาจงเห็นเช่นนั้น ก็ตรัสออกมาอย่างไม่พอพระทัยว่า

“แมวตัวนี้เดินมาของมันอยู่ดี ๆ ทำไมต้องไปเตะมันด้วย? พฤติกรรมหยาบกระด้างเช่นนี้ ต่อไปจะแบกรับหน้าที่สำคัญของแผ่นดินได้อย่างไร?”

ความไม่พอพระทัยจากเหตุการณ์ดังกล่าว ทำให้ “โป๋ฉง” ผู้มีแววจะได้เลื่อนขั้นเป็นรัชทายาท ต้องหิ้วกระเป๋ากลับบ้านคอตก พร้อมกับเงิน 300 ตำลึงทอง

ท้ายที่สุด “โป๋เฮ่า” จึงได้รับเลือกเป็นรัชทายาทองค์ต่อไปของราชวงศ์ซ่งใต้ ก่อนขึ้นครองราชย์ในค.ศ. 1162 และได้ชื่อพระราชทานว่าจักรพรรดิ “ซ่งเซี่ยวจง”

อ่านเพิ่มเติม :

สำหรับผู้ชื่นชอบประวัติศาสตร์ ศิลปะ และวัฒนธรรม แง่มุมต่าง ๆ ทั้งอดีตและร่วมสมัย พลาดไม่ได้กับสิทธิพิเศษ เมื่อสมัครสมาชิกนิตยสารศิลปวัฒนธรรม 12 ฉบับ (1 ปี) ส่งความรู้ถึงบ้านแล้ววันนี้!! สมัครสมาชิกคลิกที่นี่ 


อ้างอิง :

หู ชวน อัน. ย้อนรอยโฮ่ง ตามรอยเหมียว. แปลโดย อารยา เทพสถิตย์ศิลป์. กรุงเทพ: มติชน, 2565.


เผยแพร่ในระบบออนไลน์ครั้งแรกเมื่อ 10 มีนาคม 2566