ผู้เขียน | กันตพงศ์ ก้อนนาค |
---|---|
เผยแพร่ |
ดิสนีย์ เปิดตัววิดีทัศน์โฉมแรกของ “The Little Mermaid” ฉบับคนแสดง พลันก็มีผลตอบรับกลับอย่างล้นหลามทางอินเทอร์เน็ต เต็มไปด้วยกระแสวิพากษ์วิจารณ์ถึง ฮันลี่ เบลีย์ ผู้รับบทเจ้าหญิงแอเรียล ที่แลดูไม่สวยสดใส และประเด็นเรื่องการเหยียดสีผิว ที่ชาวเน็ตมองว่า เจ้าหญิงแอเรียลไม่ควรเป็นคนผิวดำ ทำให้เกิดแฮชแท็ก #notmyariel ผุดขึ้นมาจำนวนมากผ่านสังคมทวิตเตอร์ ส่วนในยูทูบมีผู้ชมวิดีทัศน์ตัวอย่างภาพยนตร์เรื่องนี้ที่กดดิสไลก์หรือไม่ชอบมากกว่า 1.5 ล้านครั้ง และมีการแสดงความคิดเห็นเชิงเหยียดสีผิวรูปลักษณ์ของเบลีย์อีกจำนวนมาก [1]
ก่อนหน้านี้ ค.ศ. 2009 ดิสนีย์เคยผลิตภาพยนตร์การ์ตูน “The Princess and the frog” ที่มีตัวละครเอกอย่าง เจ้าหญิงเทียน่า ซึ่งเป็นเจ้าหญิงผิวสีคนแรกของดิสนีย์ หลังจากตลอด 7 ทศวรรษ ดิสนีย์ผลิตภาพยนตร์การ์ตูนที่ตัวละครเอกเป็นคนผิวขาวมาโดยตลอด หรือแม้แต่ ค.ศ. 1997 ได้นำนักร้องผิวดำ แบรนดี้ นอร์วู้ด มารับบทซินเดอร์เรลล่า [2] แต่กลับไม่มีเสียงวิจารณ์ในทางลบมากเท่าเจ้าหญิงแอเรียล
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้นักวิชาการหลายคนออกมาแสดงความคิดเห็นเชิงวิชาการ มีทั้งนักวิชาการอนุรักษนิยม และนักวิชาการเสรีนิยม ที่พยายามอธิบายความรู้สึกนึกคิดของชาวอเมริกันที่มีต่อปรากฏการณ์ของแอเรียล
บรู๊ก นิวแมน นักวิชาการด้านประวัติศาสตร์ แห่ง Center at Virginia Commonwealth University สหรัฐอเมริกา แสดงความเห็นว่า ทั้งหมดนี้เป็นผลพวงจากการนำเสนอของสื่อต่าง ๆ ภายในประเทศ ที่นิยมนำเสนอภาพลักษณ์ตัวละครเอกเป็นคนผิวขาวเป็นหลัก โดยมิได้คำนึงถึงประชากรกลุ่มที่มีความหลากหลายทางเชื้อชาติอื่น ๆ
แล้วยกตัวอย่างว่า ย้อนไปเมื่อ ค.ศ. 1989 ภาพยนตร์เด็กที่ทำรายได้สูงสุด ได้แก่ “The Little Mermaid”, “Honey, I Shrunk the Kids” และ “All Dogs Go To Heaven” ภาพยนตร์เหล่านี้ก็ไม่มีตัวละครสีผิวอื่นเลยแม้แต่เรื่องเดียว (ยกเว้น เอลซูล่า วายร้ายผิวสีม่วงในเจ้าหญิงเงือกน้อย) จะเห็นได้ว่า นอกจากนี้ ตัวละครสีผิวอื่นแทบไม่ปรากฏในสื่อสำหรับเด็กต่าง ๆ ทั่วโลก หรือแม้แต่ภาพยนตร์การ์ตูนของดิสนีย์
นิวแมนยังอธิบายเพิ่มเติมถึงความรู้สึกนึกคิดของเด็ก ๆ ชาติพันธุ์อื่นที่อาศัยอยู่ในสหรัฐด้วยว่า ช่วงทศวรรษ 1940 Kenneth และ Mamie Clark ทำการทดลองด้านจิตวิทยาที่เรียกว่า Doll Test เพื่อประเมินถึงผลกระทบการเลือกปฏิบัติ และการแบ่งแยกต่อการรับรู้ทางเชื้อชาติของเด็กเชื้อสายอเมริกา–แอฟริกา โดยนำตุ๊กตาที่มีสีผิวต่างกันมาให้เด็ก ๆ เลือกว่าชอบตุ๊กตาตัวใด ผลปรากฏว่า เด็กส่วนใหญ่ชอบตุ๊กตาผิวขาว และเด็ก ๆ ก็มีลักษณะเชิงบวกต่อคนผิวขาว [3]
หลายทศวรรษหลังการทดลอง สังคมอเมริกาได้เปลี่ยนแปลงไปมาก แต่จากการศึกษาในปัจจุบันบ่งชี้ว่าเด็ก ๆ โดยรวมยังมีทัศนคติเชิงบวกต่อคนผิวขาวสูงกว่าคนสีผิวอื่น เป็นผลมาจากเหตุที่เด็ก ๆ อาจไม่เคยพบเห็นตัวละครที่มีหน้าตาละม้ายคล้ายตัวเด็กที่รับชมสื่อหรือคนในครอบครัวเลย เพราะตัวละครผิวขาวยังคงปรากฏตามสื่อต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นหนังสือสำหรับเด็ก รายการโทรทัศน์ และภาพยนตร์ ทำให้เด็กจดจำได้มากกว่า
กลับมาที่แฟนคลับดิสนีย์ ที่ความไม่พอใจก่อตัวมากขึ้นเรื่อย ๆ ตั้งแต่ดิสนีย์ประกาศอย่างเป็นทางการว่าให้ฮันลี่ เบลีย์ มารับบทแอเรียล
“พวกเรารับทราบ และเคารพการตัดสินใจของดิสนีย์ แต่ถ้าทางดิสนีย์ต้องการให้มีตัวละครผิวดำอยู่ในภาพยนตร์ ก็ควรสร้างตัวละครใหม่ลงไป และควรเคารพบทประพันธ์ดั้งเดิม เช่น เจ้าหญิงควรมีผิวขาวสวยเช่นเดียวกับคนยุโรป” [4]
ข้อกังวลนี้เป็นเพียงเรื่องเล็กน้อยเท่านั้น เพราะความจริงแล้ววรรณกรรมเรื่องดังกล่าวที่ประพันธ์โดย ฮันส์ คริสเตียน แอนเดอร์เซน ชาวเดนมาร์ก และได้รับการตีพิมพ์เมื่อ ค.ศ. 1837 ตามต้นฉบับได้บรรยายถึงเจ้าหญิงเงือกน้อยเอาไว้แต่เพียงว่า เจ้าหญิงและเผ่าพงศ์ชาวเงือกของเธออยู่ในมหาสมุทรอันไกลโพ้น และอาศัยอยู่ในห้วงทะเลลึก วรรณกรรมมิได้เจาะจงลงไป ณ จุดใดจุดหนึ่ง ฉะนั้น จะเจาะจงให้เจ้าหญิงเงือกมีผิวขาวนั้นก็แล้วแต่จะมีคนตีความ
หรือเจ้าหญิงเงือกน้อยเป็นธิดาของเจ้ามหาสมุทรลำดับที่ 6 สวยที่สุดในบรรดาเจ้าหญิงทั้งหมด ผิวของเธอสดใสบอบบางราวกลีบกุหลาบ ดวงตาสีสวยดุจสีน้ำทะเลลึก แต่ดิสนีย์ก็ได้ดัดแปลงรูปลักษณ์แอเรียลทั้งสีผมดวงตาออกไปอีกนั้นไม่ใช่เรื่องผิด เพราะไม่มีกฎบัญญัติใด ๆ ที่จะต้องตามบทประพันธ์
หรือตอนจบของเรื่อง เจ้าหญิงเงือกน้อยต้องสังหารเจ้าชายเอริค พระเอกของเรื่องตามบัญชา แต่เธอโยนมีดทิ้งไปด้วยความสิ้นหวัง และสลายตัวเป็นฟองอากาศในทะเล ยังไม่รวมบุคลิกของเจ้าชายเอริค ที่ดิสนีย์ก็ปรับเปลี่ยนให้มีดวงตาสีฟ้าสดใส ขณะที่วรรณกรรมระบุว่า มีดวงตาสีดำเหมือนถ่านหิน และมีเส้นผมดำขลับ [5] แม้กระทั่งเจ้าหญิงเงือกก็ไม่ได้มีชื่อว่าแอเรียล โดยชื่อนี้ดิสนีย์ตั้งให้เมื่อผลิตเป็นการ์ตูนแล้ว
ดังที่กล่าวข้างต้น เมื่อ ค.ศ. 1989 ดิสนีย์ได้ดัดแปลงวรรณกรรมเรื่องนี้เสียใหม่หมด ให้ออกมาในรูปแบบรักโรแมนติกหวานซึ้ง ไร้ความมืดมนตามวรรณกรรมต้นฉบับ ทำให้ความลุ่มลึกทางปรัชญาที่ซ่อนไว้ในเนื้อหาวรรณกรรมเจือจางไป โดยถูกทดแทนด้วยบทเพลงประกอบที่ได้รับความนิยมอย่างน่าเหลือเชื่อ และมีตอนจบแบบสุขสมหวังของเจ้าชายเอริคและเจ้าหญิงแอเรียล การดัดแปลงเนื้อเรื่องเช่นนี้ถือเป็นการทำลายวรรณกรรมหรือไม่ นิวแมน ตั้งคำถามถึงผู้วิจารณ์ หลังจากการประกาศผู้แสดงเป็นแอเรียลอย่างเป็นทางการของดิสนีย์
นอกจากนักวิชาการเสรีนิยมแล้ว ยังมี แมตต์ วอลช์ นักวิชาการฝ่ายขวา ที่วิจารณ์การคัดเลือกตัวนักแสดงเป็นแอเรียลที่ไม่สมเหตุสมผล โดยกล่าวไว้ว่า “ในมุมของวิทยาศาสตร์ มันไม่สมเหตุสมผลเลยที่จะมีคนผิวคล้ำลงไปอยู่ในทะเลลึกได้” และกล่าวอีกว่า “ไม่เพียงตัวเงือกน้อยเท่านั้นที่ไม่ควรมีผิวสีซีด เธอควรจะมีผิวโปร่งแสงด้วยซ้ำ” [6]
การกล่าวเช่นนี้สร้างความไม่พอใจให้ เอเจ เวลลิ่งแฮม ผู้สื่อข่าวของ CNN ที่ออกมาตอบโต้และวิจารณ์ทันที ทั้งเรื่องเอเรียลเป็นผิวดำมิใช่เรื่องแปลกอย่างที่วอลช์กล่าวอ้าง เพราะสัตว์น้ำใต้ทะเลลึกมีสีผิวที่ต่างกันได้ ไม่ใช่ว่าสัตว์ทะเลทุกตัวจะมีสีซีด หลายศตวรรษก่อน นักเดินเรือทะเลยังเข้าใจผิดคิดว่าพะยูนเป็นนางเงือกได้ ทั้งที่พะยูนก็ไม่ได้มีสีผิวที่ซีด [7]
การเหยียดสีผิวและรูปลักษณ์ที่เบลีย์เผชิญนั้นไม่ใช่กรณีแรก ย้อนไปเมื่อ ค.ศ. 2017 ดิสนีย์เคยสร้างตัวละครนำใหม่ขึ้นมาใน Star War : The Last Jedi ที่ เคลลี มารี ทราน นักแสดงเชื้อสายเอเชีย–อเมริกา มารับบทแสดงนำ ก็ได้รับเสียงวิพากษ์วิจารณ์เรื่องสีผิว เชื้อชาติ มาแล้ว จนเธอต้องปิดช่องทางการสื่อสารออนไลน์ทุกช่องทาง เพราะมีชาวเน็ตเข้าไปตำหนิเธอเรื่องการรับบทนำเป็นจำนวนมาก
ส่วนเรื่องเงือกน้อย ยิ่งมีแรงต้านเบลีย์มากก็ไม่ได้กระทบกระเทือนต่อทีมผู้ผลิตภาพยนตร์ โดย ร็อบ มาร์แชล ผู้กำกับภาพยนตร์เรื่องนี้ และเป็นผู้ที่เลือกเบลีย์มารับบทเป็นแอเรียล ซึ่งเป็นผลมาจาก “การค้นหาอย่างหนักหน่วง” กล่าวในรายการทางโทรทัศน์เอ็นบีซีนิวส์ว่า
“ชัดเจนมากว่า ฮัลลี่มีการผสมผสานที่หาได้ยากของจิตวิญญาณ หัวใจ ความเยาว์วัย ความไร้เดียงสา และแก่นแท้ บวกกับเสียงร้องเพลงอันไพเราะ คุณสมบัติภายในทั้งหมดที่กล่าวมา จำเป็นสำหรับการแสดงบทที่โด่งดังนี้” [8]
มาจนถึงวันนี้บรรดาผู้คลั่งไคล้ดิสนีย์ต้องการภาพจำในโลกภาพยนตร์ให้เป็นเหมือนกับที่พวกเขาเคยรับชมมาในวัยเด็ก แต่ประเพณีวัฒนธรรมคติชนวิทยาและค่านิยมทางสังคมต่าง ๆ ได้ปรับเปลี่ยนไปตามยุคสมัยอยู่เสมอ เพราะการเห็นภาพจำจากสื่อในวัยเด็กมีความสำคัญสำหรับเด็กมาก เด็กเห็นหน้าจอหรือพบเห็นจากหนังสือจะจินตนาการจากความเป็นไปได้ ดังนั้น คนที่ตั้งแฮชแท็ก #notmyariel ควรจะถามกลับตัวเองไปด้วยว่า ความทรงจำในวัยเด็ก และประสบการณ์การรับชมของใครสำคัญที่สุด ระหว่างผู้ตั้งแฮชแท็กเองหรือเด็ก ๆ ในยุคปัจจุบันที่ต้องเผชิญทางชาติพันธุ์และความคิดต่างที่หลากหลาย ?
“สองคนยลตามช่อง คนหนึ่งมองเห็นโคลนตม อีกคนตาแหลมคม เห็นดวงดาวอยู่พราวพราย“ ของ อาจารย์ ฟ.ฮีแลร์ คงไม่ผิดนักถ้านำมาเปรียบเทียบการมอง เบลีย์ เธอโดนโจมตีอย่างหนัก แต่อย่าลืมว่า การวิจารณ์ต้องอยู่บนขอบเขตของสิทธิอันชอบธรรม และไม่กล่าวละเมิดด้อยค่าความเป็นคน แบบที่เบลีย์ต้องเผชิญอยู่
ถ้าจะวิจารณ์ควรดูที่ผลงานความสามารถทางการแสดงของเธอเป็นสำคัญ อีกหนึ่งประการที่ต้องทราบ คือ ดิสนีย์มีความเชี่ยวชาญมากพอที่จะผลิตภาพยนตร์ออกมาให้โดนใจคนดูระดับหนึ่ง ไม่อย่างนั้นคงไม่กล้าทำ ถึงพังดิสนีย์ก็ไม่ขาดทุน ทุกอย่างถูกคิดมาแล้วเป็นอย่างดี เพียงแค่เราเปิดใจรับชมเราอาจเห็นความสามารถทางการแสดงของ เบลีย์ มากกว่าที่เราคิดก็เป็นได้
อ่านเพิ่มเติม :
- “คลีโอพัตรา” ภาพยนตร์ในตำนาน ต้นแบบ “ราชินีไอยคุปต์” ผู้เลอโฉม ติดตาคนทั่วโลก
- รู้จักคนไทยคนแรกในกองถ่ายหนัง Anna and the King of Siam และความขัดแย้งเรื่องบท
- หลังฉากเส้นทางรักอมตะ “เกรซ แพทริเซีย เคลลี” จากดาราโฉมงามสู่เจ้าหญิงแห่งโมนาโก
เชิงอรรถ :
[1], [4], [6] และ [7] AJ Willingham. (2023, 10 April). Analysis: A definitive rebuttal to every racist ‘Little Mermaid’ argument. สืบค้นจาก https://edition.cnn.com/2022/09/17/entertainment/little-mermaid-racist-backlash-halle-bailey-disney-cec/index.html. (ออนไลน์).
[2] Brooke Newman. (2023, 10 April). The white nostalgia fueling the ‘Little Mermaid’ backlash. สืบค้นจาก https://www.washingtonpost.com/lifestyle/2022/09/15/little-mermaid-halle-bailey-black-girls/. (ออนไลน์).
[3] อ่านเพิ่มเติมได้ที่ Kenneth and Mamie Clark Doll เว็บไซต์ https://www.nps.gov/brvb/learn/historyculture/clarkdoll.htm
[5] vanat putnark. (2023, 11 April). ปลิดลิ้นและเต้นรำบนคมมีด ความเจ็บปวดไร้เสียงใน The Little Mermaid ของแอนเดอร์เซน. สืบค้นจาก https://thematter.co/social/andersen-the-little-mermaid/185542. (ออนไลน์).
[8] Allyson Chiu. (2023, 10 April). After Protests Over Black Ariel, Disney Defends Casting Halle Bailey In And As The Little Mermaid. สืบค้นจาก https://www.ndtv.com/entertainment/after-protests-over-black-ariel-disney-defends-casting-halle-bailey-in-and-as-the-little-mermaid-2067201. (ออนไลน์).
อ้างอิง :
AJ Willingham. (2023, 10 April). Analysis: A definitive rebuttal to every racist ‘Little Mermaid’ argument. สืบค้นจาก https://edition.cnn.com/2022/09/17/entertainment/little-mermaid-racist-backlash-halle-bailey-disney-cec/index.html. (ออนไลน์).
Allyson Chiu. (2023, 10 April). After Protests Over Black Ariel, Disney Defends Casting Halle Bailey In And As The Little Mermaid. สืบค้นจาก https://www.ndtv.com/entertainment/after-protests-over-black-ariel-disney-defends-casting-halle-bailey-in-and-as-the-little-mermaid-2067201. (ออนไลน์).
Brooke Newman. (2023, 10 April). The white nostalgia fueling the ‘Little Mermaid’ backlash. สืบค้นจาก https://www.washingtonpost.com/lifestyle/2022/09/15/little-mermaid-halle-bailey-black-girls/. (ออนไลน์).
Brown v. Board of Education National Historical Park Kansas. (2023, 12 April). Kenneth and Mamie Clark Doll. สืบค้นจาก https://www.nps.gov/brvb/learn/historyculture/clarkdoll.htm. (ออนไลน์).
vanat putnark. (2023, 11 April). ปลิดลิ้นและเต้นรำบนคมมีด ความเจ็บปวดไร้เสียงใน The Little Mermaid ของแอนเดอร์เซน. สืบค้นจาก https://thematter.co/social/andersen-the-little-mermaid/185542. (ออนไลน์).
เผยแพร่ในระบบออนไลน์ครั้งแรกเมื่อ 22 พฤษภาคม 2566