14 พ.ค. 1955 การลงนามองค์การสนธิสัญญาวอร์ซอ เครื่องมือรักษาอำนาจของโซเวียต

เอกสาร การลงนาม องค์การสนธิสัญญาวอร์ซอ
หน้าการลงนามในสนธิสัญญาวอร์ซอ (ภาพจาก Archiwum Akt Nowych (Public domain))

14 พฤษภาคม ค.ศ. 1955 การลงนาม “องค์การสนธิสัญญาวอร์ซอ” เครื่องมือรักษาอำนาจนำในโลกคอมมิวนิสต์ของสหภาพโซเวียต

หลังจากจบสงครามโลกครั้งที่ 2 มหาอำนาจเดิมในยุโรปทั้ง อังกฤษ ฝรั่งเศส หรือผู้แพ้สงครามอย่างเยอรมนี บทบาทมหาอำนาจของประเทศเหล่านี้ถูกลดลงไปเพราะต้องฟื้นฟูประเทศที่เสียหายอย่างหนักจากสงคราม และประเทศอื่นๆ ในยุโรป ที่เป็นสนามรบเกือบทั้งทวีปก็เสียหายไม่แพ้กัน เศรษฐกิจที่พังทลายก็เป็นอีกปัญหาหนึ่งที่ทั้งยุโรปต้องเผชิญ

จากการที่มหาอำนาจที่ถูกลดบทบาทจากปัญหาดังกล่าวก็ทำให้มหาอำนาจใหม่ได้เกิดขึ้น 2 ประเทศ คือ สหรัฐอเมริกาและสหภาพโซเวียต ซึ่งทั้งสองประเทศนี้ถือเป็นกำลังหลักที่สามารถเอาชนะเยอรมนีในสงครามโลกครั้งที่สองได้ โดยฝั่งสหรัฐฯ สามารถทำการยึดคืนพื้นที่ทางยุโรปตะวันตกได้ และโซเวียตก็ยึดคือพื้นที่ทางตะวันออกได้ และเสียหายทางเศรษฐกิจในประเทศก็ไม่ได้พังทลายเหมือนประเทศอื่นๆ

การขึ้นมาเป็นมหาอำนาจของสองประเทศนี้ก็แลกมาด้วยความขัดแย้งในรูปแบบสงครามเย็น ที่โลกถูกแบ่งเป็น 2 ฝ่าย คือ โลกทุนนิยม และโลกคอมมิวนิสต์ ซึ่งเริ่มเห็นได้ชัดในกรณีการปิดล้อมเบอร์ลิน (Berlin Blockade) ในช่วง ค.ศ. 1948-1949 นับเป็นการเผชิญหน้ากันครั้งแรกในสงครามเย็น และเป็นภาวะหมิ่นเหม่ที่อาจทำให้เกิดสงครามครั้งใหญ่ได้

จากการปิดล้อมเบอร์ลินทำให้ฝ่ายพันธมิตรตะวันตกเริ่มเห็นท่าทีเป็นปฏิปักษ์ของสหภาพโซเวียตและกลุ่มประเทศบริวารในยุโรปตะวันออก สหรัฐฯ เชิญแคนาดาและประเทศในภาคีสนธิสัญญาบรัสเซลล์อีก 7 ประเทศ ตามมาด้วย นอร์เวย์, เดนมาร์ก, ไอซ์แลนด์ อิตาลี และโปรตุเกส รวม 12 ประเทศ จัดทำองค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ หรือ นาโต (NATO Pact) ใน ค.ศ. 1949 โดยเป็นความร่วมมือทางทหาร ที่มีเป้าหมายเพื่อป้องกันการขยายตัวของภัยคอมมิวนิสต์ที่มีโซเวียตเป็นผู้นำ

สหรัฐฯ ยังให้ความช่วยเหลือประเทศในยุโรปเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาประเทศหลังสงครามภายใต้แผนการมาร์แชล (Marshall plan) เพื่อดึงดูดให้ประเทศในยุโรปเข้าหาฝ่ายทุนนิยม ทำให้โซเวียตและกลุ่มประเทศตะวันตกจำเป็นต้องกระทำการบางอย่างเพื่อไม่ให้รัฐในบริวารไปเข้ารับความช่วยเหลือจากแผนการมาร์แชล โดยการจัดตั้งความร่วมมือทางเศรษฐกิจคอมิคอน (Comecon) ซึ่งเป็นความร่วมมือทางเศรษฐกิจในกลุ่มประเทศคอมมิวนิสต์

ฝ่ายโซเวียตมีการเรียกร้องให้สหรัฐฯ ถอนกำลังออกจากตะวันตกแต่กลุ่มพันธมิตรตะวันตกให้ความสำคัญกับปัญหาเบอร์ลินมากกว่าและละเลยข้อเรียกร้องของโซเวียต ในปี ค.ศ. 1953 นิกิตา ครุสชอฟ ขึ้นมาเป็นเลขาธิการใหญ่แห่งโซเวียต ได้นโยบายสร้างความร่วมมือกันในกลุ่มประเทศบริวารของโซเวียต รวมไปถึงด้านการทหาร โดยในวันที่ 14 พฤษภาคม ค.ศ. 1955 มีการลงนามความร่วมมือทางทหารในสนธิสัญญาวอร์ซอ (Warsaw Pact) ณ กรุงวอร์ซอ ประเทศโปแลนด์ มีสมาชิก 8 ประเทศ ได้แก่ โซเวียต, บัลแกเรีย, เชโกสโลวาเกีย, เยอรมนีตะวันออก, ฮังการี, โปแลนด์, โรมาเนีย, และแอลเบเนีย (ถอนตัวออกจากสนธิสัญญาเนื่องจากเกิดความขัดแย้งกับโซเวียตใน ค.ศ. 1968)

สนธิสัญญาวอร์ซอมีวัตถุประสงค์เพื่อการสร้างดุลอำนาจทางทหารตอบโต้องค์การนาโตของฝ่ายพันธมิตรตะวันตก โดยมีใจความสำคัญคือหารประเทศใดประเทศหนึ่งในภาคีถูกรุกราน ให้ถือว่าเป็นภารกิจของทุกประเทศในภาคีที่จะต้องตอบโต้ เพื่อการสร้างดุลอำนาจทางทหาร นับว่าเป็นการตอบโต้ความหวาดกลัวด้วยการสร้างความหวาดกลัวให้อีกฝ่าย

กองทัพวอร์ซอไม่เคยเผชิญหน้ากับกองทัพนาโตโดยตรง การปฏิบัติการของกองทัพวอร์ซอที่เคยเกิดขึ้นได้แก่การเข้าปราบปรามการลุกฮือในฮังการี ซึ่งมาจากการอิมเร นอจ (Imre Nagy) นายกรัฐมนตรีฮังการีที่โซเวียตแต่งตั้งเข้ามาจากนโยบายทำลายสตาลินของครุสชอฟ ถูกจับกุมตัวจากรัฐบาลราโคซี ที่นิยมสตาลิน ทำให้เกิดเหตุการณ์ชุมนุมต่อต้านราโคซี ต่อมาโซเวียตได้ตั้งเอียร์โน เกโร ที่นิยมสตาลินเช่นเดียวกันเป็นนายกรัฐมนตรีแทนที่ราโคซี แต่ประชาชนก็ยังไม่พอใจและประท้วงกันต่อไป

เมื่ออิมเร นอจ ได้กลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีอีกครั้งเขาได้ให้เสรีภาพทางการเมืองแก่ประชาชนมาก ทั้งยังมีความต้องการจะนำฮังการีถอนตัวจากสนธิสัญญาวอร์ซอ ทำให้โซเวียตมองว่าเป็นการกบฏต่อค่ายคอมมิวนิสต์ จึงได้ปลดอิมเร นอจ ออกจากตำแหน่ง (ถูกประหารชีวิตในเวลาต่อมา) ในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 1956 และได้ส่งกองทัพวอร์ซอมาปราบปรามจลาจลในกรุงบูดาเปสต์ถึง 15 กองพล ผลคือเกิดการนองเลือดและมีผู้เสียชีวิตกว่า 2,500 คน

ภาพชาวเชโกสโลวาเกียกำลังเดินโบกธงผ่านรถถังโซเวียต (ภาพจาก The Central Intelligence Agency (Public Domain))

อีกกรณีคือเหตุการณ์ใบไม้ผลิในกรุงปราก หรือ “Prague Spring” ใน ค.ศ. 1968 ซึ่งประชาชนมีการเรียกร้องเสรีภาพและระบอบประชาธิปไตยเหมือนที่เคยเกิดขึ้นหลายครั้ง โดยเชโกสโลวาเกียเป็นประเทศที่ประชาธิปไตยแบบตะวันตกได้หยั่งรากลงมาแล้ว ประชาชนจึงมองว่าการเรียกร้องเสรีภาพจะทำให้พวกเขาได้รับประชาธิปไตยได้ แน่นอนว่าโซเวียตมองว่าการเรียกร้องประชาธิปไตยคือการท้าทายอำนาจของโซเวียต จึงได้ส่งกองทัพวอร์ซอมาราว 400,000 ราย เข้ายึดครองเชโกสโลวาเกีย มีผู้จับกุมและถูกสังหารหลายราย การเมืองเชโกสโลวาเกียที่กำลังปฏิรูปที่ให้เสรีภาพแก่ประชาชนก็หยุดชะงักลง และแทนที่ด้วยโซเวียตเข้ามาแทรงด้วยความเป็นเผด็จการ

เห็นได้ว่าสนธิสัญญาวอร์ซอนอกจากจะเป็นเครื่องมือในการแข่งขันทางการทหารกับสหรัฐฯ และพันธมิตรตะวันตกแล้ว ยังเป็นเครื่องมือในการรักษาอำนาจนำยุโรปตะวันออก กองทัพวอร์ซอไม่มีการเผชิญหน้ากับนาโตเลย แต่ในทางกลับกันกองทัพวอร์ซอกลับถูกส่งเข้ามาในกลุ่มประเทศภาคี เพื่อรักษาเสถียรภาพทางอำนาจของโซเวียต

สนธิสัญญาวอร์ซอถูกยกเลิกในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ.1991 ก่อนหน้าโซเวียตจะล่มสลาย เพราะคอมมิวนิสต์ในกลุ่มประเทศในยุโรปตะวันออกได้ทยอยล่มสลายลง จากการปฏิรูปกลาสนอสต์-เปเรสตรอยกา ของมิคาอิล กอร์บาชอฟ ผู้นำคนสุดท้ายของโซเวียต

อ่านเพิ่มเติม :

สำหรับผู้ชื่นชอบประวัติศาสตร์ ศิลปะ และวัฒนธรรม แง่มุมต่าง ๆ ทั้งอดีตและร่วมสมัย พลาดไม่ได้กับสิทธิพิเศษ เมื่อสมัครสมาชิกนิตยสารศิลปวัฒนธรรม 12 ฉบับ (1 ปี) ส่งความรู้ถึงบ้านแล้ววันนี้!! สมัครสมาชิกคลิกที่นี่


อ้างอิง :

Treaty of Friendship. Cooperation and Mutual Assistance. Warsaw. 14 May 1955. Retrieve from Treaty of Friendship, Cooperation and Mutual Assistance (Warsaw, 14 May 1955) – CVCE Website (accessed May 12, 2022)

วิมลภัทร ภัทรโรดม. ยุโรปหลังสงครามโลกครั้งที่ 2. พิมพ์ครั้งที่ 3. กรุงเทพฯ : ศูนย์ยุโรปศึกษาแห่งจุฬาลงกรณ์   มหาวิทยาลัย, 2559.

สัญญชัย สุวังบุตร และ อนันต์ชัย เลาหะพันธุ. 2562. ทรรปณะประวัติศาสตร์ยุโรปในคริสต์ศตวรรษที่ 20. พิมพ์ครั้งที่ 3. กรุงเทพฯ : แสงดาว, 2562.


เผยแพร่ในระบบออนไลน์ครั้งแรกเมื่อ 13 พฤษภาคม 2565