
ผู้เขียน | กองบรรณาธิการศิลปวัฒนธรรม |
---|---|
เผยแพร่ |
สัตยาเคราะห์เกลือ (Salt Satyagraha) หรือ Salt March เป็นการแสดงออกทางการเมืองในการประท้วงรัฐบาลอังกฤษในอินเดีย นำโดย มหาตมะ คานธี (Mohandas Gandhi) ระหว่างเดือนมีนาคม-เมษายน ค.ศ. 1930 นับเป็นการเดินขบวนครั้งแรกในการรณรงค์การ “ดื้อแพ่ง” ซึ่งได้รับความสนใจไปทั่วโลก
การผลิตและจำหน่ายเกลือในอินเดียนั้นเป็นสิ่งต้องห้ามสำหรับชาวอินเดีย เพราะเกลือถูกสงวนให้กับกิจการของอังกฤษ เนื่องจากอังกฤษต้องการผูกขาดเกลือไว้ซึ่งได้ทำกำไรให้อังกฤษมายาวนาน โดยได้ผ่านกฎหมายหลายฉบับตั้งแต่พระราชบัญญัติเกลือ ค.ศ. 1882 ที่ห้ามชาวอินเดียผลิตหรือจำหน่ายเกลือด้วยตนเอง นั่นทำให้ชาวอินเดียต้องซื้อเกลือราคาแพงกว่าปกติเพราะต้องบวกภาษีเพิ่มเข้าไปอีกทำให้เกลือมีราคาสูง
เรื่องเกลือนี้ส่งผลกระทบต่อชาวอินเดียส่วนใหญ่ที่ยากจนและไม่สามารถซื้อเกลือได้ด้วยเงินของตนเอง การประท้วงต่อต้านภาษีเกลือของอินเดียเริ่มต้นในศตวรรษที่ 19 ซึ่งยังคงเป็นประเด็นถกเถียงที่สำคัญมาตลอดระยะเวลาหลายปีของการปกครองอินเดียของอังกฤษหรือบริติชราช
ในช่วงต้นปี 1930 คานธีตัดสินใจที่จะเดินขบวนประท้วงเพราะเป็นที่ชัดเจนว่าภาษีเกลือนั้นได้กดขี่ชาวอินเดียมากยิ่งขึ้น โดยการเดินขบวนจะเดินทางผ่านรัฐอินเดียทางตะวันตก จากซาบาร์มาติอาศรมใกล้กับเมืองอาห์มาดาบัด (Ahmadabad) รัฐคุชราตไปยังเมืองดานดิ (Dandi) บริเวณชายฝั่งทะเลอาหรับในมหาสมุทรอินเดีย
คานธีเริ่มออกเดินทางด้วยการเดินเท้าในวันที่ 12 มีนาคม 1930 พร้อมกับผู้ติดตามหลายสิบคน ระหว่างทางชาวอินเดียได้รวมตัวกันเพื่อเข้าพบคานธีและต่างก็มารอฟังคานธีกล่าวโจมตีถึงความไม่เป็นธรรมของภาษีที่มุ่งเก็บจากคนยากคนจน
ชาวอินเดียอีกหลายร้อยคนเข้าร่วมกับคานธี และแล้วก็เดินทางมาถึงเมืองแดนดิ ในวันที่ 5 เมษายน 1930 รวมระยะการเดินทางราว 240 ไมล์ หรือ 385 กิโลเมตร และในเช้าวันที่ 6 เมษายน 1930 คานธีและผู้ติดตามของเขาหยิบเกลือกำมือหนึ่งจากชายฝั่งขึ้นมา ซึ่งในทางเทคนิคแล้วนี่คือการ “ผลิต” เกลือและถือว่าเป็นการทำผิดกฎหมาย

รัฐบาลไม่ได้ดำเนินการจับกุมในวันนั้น คานธียังคงกระทำสัตยาเคระห์เกลือต่อในอีก 2 เดือนข้างหน้า หมายจะย้ำเตือนสติให้ชาวอินเดียร่วมกันฝ่าฝืนกฎหมายที่สั่งห้ามทำเกลือด้วยตนเอง ชาวอินเดียหลายพันคนถูกจับกุมและถูกคุมขังรวมถึง ชวาหะร์ลาล เนห์รู (Jawaharlal Nehru) ในเดือนเมษายนและคานธีก็โดนจับกุมในช่วงต้นเดือนพฤษภาคม หลังจากที่เขาแจ้งให้ลอร์ดเออร์วินอุปราชแห่งอินเดีย (Lord Irwin, the viceroy of India) ทราบถึงความตั้งใจของเขาที่จะเดินขบวนประท้วงไปยังโรงงานเกลือในเมือง Dharasana
ข่าวการกักขังคานธีนั้นได้ก่อให้เกิดแรงกระตุ้นในหมู่ชาวอินเดียอีกนับหมื่นคนให้เข้าร่วมสัตยาเคราะห์ โดยการเดินขบวนไปโรงผลิตเกลือตามกำหนดเดิมที่วางไว้ในวันที่ 21 พฤษภาคม 1930 โดยมีผู้ร่วมประท้วงอย่างสันติกว่า 2,500 คน หลายคนถูกจับและถูกตำรวจทำร้ายอย่างรุนแรง และภายในสิ้นปีก็มีคนกว่า 60,000 คนถูกจำขังอยู่ในคุก
คานธีได้รับการปล่อยตัวจากการควบคุมตัวในเดือนมกราคม ค.ศ. 1931 และเริ่มเจรจากับลอร์ดเออร์วินเพื่อยุติการรณรงค์สัตยาเคราะห์ ในเวลาต่อมาได้มีการประกาศอย่างเป็นทางการในสนธิสัญญาคานธี-เออร์วินที่ลงนามเมื่อวันที่ 5 มีนาคม โดยคานธียกเลิกการรณรงค์ประท้วงสัตยาเคราะห์ ลอร์ดเออร์วินตกลงที่จะปล่อยตัวผู้ที่ถูกคุมขัง และอนุญาตให้ชาวอินเดียทำเกลือเพื่อใช้ในครัวเรือนได้ชั่วคราว
การทำสัตยาเคราะห์เกลือของคานธีทำให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลอังกฤษไปทั่วโลกซึ่งนับเป็นแรงกดดันมหาศาลที่ทำให้อังกฤษมั่นใจได้ว่าไม่สามารถรักษาบริติชราชไว้ใต้ปกครองได้อีกนานเท่าใดแล้ว และอีกไม่นานจากการกระทำของคานธีก็จำสำเร็จผลที่ช่วยให้อินเดียได้รับเอกราชในวันที่ 15 สิงหาคม ค.ศ. 1947
อ่านเพิ่มเติม :
- จดหมายคานธีจากบริติชอินเดียสู่นาซีเยอรมัน: ขอท่านผู้นำโปรดยุติสงครามด้วยสันติวิธี
- คานธีเริ่มต้น “สัตยาเคราะห์” เพราะคนงานอินเดียในแอฟริกาที่ถูกใช้เยี่ยงทาส
- ชาวกานาต้านอนุสาวรีย์ “คานธี” ชี้เป็นพวก “เหยียดผิว” โดยเฉพาะกับคนดำ
อ้างอิง :
Kenneth Pletcher. (2019). Salt March, from www.britannica.com
Salt March. (2018), from www.history.com
เผยแพร่ครั้งแรกในระบบออนไลน์ เมื่อ 12 มีนาคม พ.ศ.2562