เลือกตั้งสกปรก 2500 แล้วหลักฐานโกงการเลือกตั้งที่นักข่าวได้มา “หาย” ?

กล้องถ่ายทีวีสมัยช่อง 4 บางขุนพรหม

บทความที่นำมาเสนอนี้ มาจากเนื้อหาที่มีชื่อตอนว่า “อุดมการณ์ สังหารคนข่าวทีวี” คัดมาจากส่วนหนึ่งของหนังสือ “ผมชื่อ…สรรพสิริ วิรยศิริ” พิมพ์ในงานพระราชทานเพลิงศพ สรรพสิริ วิรยศิริ ณ เมรุวัดมกุฏกัตริยาราม วันที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2555  (โดยมีการจัดวรรคย่อหน้าใหม่ เพื่อสะดวกในการอ่านและการสั่งเน้นตัวเข้มบางตำแหน่ง)

สรรพสิริ วิรยศิริ (10 ก.พ. 2463 – 15 ต.ค. 2555) เป็นบุตรชายของพระยามหาอำมาตยาธิบดี (เสง วิรยศิริ) โดยเริ่มทำงานเป็นเจ้าหน้าที่ข่าวต่างประเทศ ของกรมโฆษณาการ (ปัจจุบันคือ กรมประชาสัมพันธ์) มีงานอดิเรกคือสร้างสรรค์ภาพยนตร์โฆษณา และสรรพสิริเป็นคนแรกที่สร้างแอนิเมชั่นในประเทศไทย 

เมื่อมีการจัดตั้งบริษัท ไทยโทรทัศน์ จำกัด สรรพสิริก็มาเป็นช่างภาพ และผู้ประกาศข่าวคนแรกของไทย จนขึ้นสู่ระดับผู้บริหารได้เป็นกรรมการผู้จัดการบริษัท ไทยโทรทัศน์ จำกัด [ปัจจุบันคือ บริษัท อสมท จำกัด (มหาชน)] ผู้อำนวยการ สถานีโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 9 (ปัจจุบันคือ สถานีโทรทัศน์ช่อง 9 เอ็มคอตเอชดี) และผู้อำนวยการ สถานีวิทยุกระจายเสียง ท.ท.ท. (ปัจจุบันคือ สถานีวิทยุ อสมท โมเดิร์นเรดิโอ) เป็นบุคคลผู้บุกเบิกวงการโทรทัศน์ ข่าวโทรทัศน์ และโฆษณาโทรทัศน์ของไทย

เนื้อหาส่วนหนึ่งมีดังนี้


 

สรรพสิริ วิริยศิริ

ชีวิตของคนข่าวก็เหมือนกับข่าวมั้งที่สนุกสนาน เฮฮา ทั้งที่เศร้าน้ำตาหยดติ๋งๆ ยิ่งคนข่าวของทีวีที่สื่อทั้งด้วยภาพและด้วยเสียงยิ่งต้องให้มันโลดโผนโจนทะยานหน่อยถึงจะเข้าท่า ชีวิตคนข่าวทีวีของผมก็มันไม่หยอก หัวร่อคลอน้ำตาว่างั้นเถอะ

ที่ต้องหัวร่อกันจนฟันหลุดก็ตอนที่ในปี 2498 ตอนเปิดทีวีช่อง 4 ใหม่ๆ เกิดไฟไหม้ใหญ่ที่พิษณุโลก ผมได้ข่าวตั้งแต่ตอนดึก พอรุ่งเช้าก็ไปบินปร๋ออยู่เหนือเมืองสองแควโดยเครื่องดาโกต้าของ บ.ด.ท. ได้ความเอื้ออารีของกัปตันใหญ่ชื่อเสียงเรียงไรวันหลังต้องค้นให้เจอ กรุณาพาบินวนอยู่เหนือเมืองที่ควันไฟยังลุกไหม้ทะมึนขึ้นสูงกว่าเครื่องบินตั้งหลายรอบ จนกระทั่งผมกับ “เจน จํารัสศิลป์” เพื่อนนักหนังสือพิมพ์ที่บินไปทําข่าวด้วยกันบอกว่าฟิล์มจะหมดแล้วครับ แล้วนั้นแหละจึงยอมแหมะเครื่องลงจอด

ด้วยความอารีเป็นพิเศษของรถยนต์ บ.ด.ท. อีก นั่นแหละที่ในไม่ช้าพ่อเจนกับผมก็วิ่งพล่านอยู่รอบๆ กองไฟใหญ่ ที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นครึ่งหนึ่งของตัวเมืองพิษณุโลกที่ผมมีความรู้สึกผูกพันเป็นอันมากในฐานะของเมืองแรกในเมืองไทยที่ให้ผมเอาทีวีไปอวดต่อจากกรุงเทพฯ เมื่อสองปีก่อนนั้น

เหตุการณ์ระทึกใจเกิดขึ้นแต่กลายเป็นขาลง พอได้ภาพไฟไหม้มุมสูงสวยงามเรียบร้อยสมใจ ผมก็ไต่เดียะลงมาก่อนพ่อจนอารามดีใจจะได้มาเหยียบพื้นรีบร้อนก้าวลงตั้งแต่ยังเหลืออีกตั้งสองขั้นบันได ผลก็คือคะมำไปข้างหน้า มือคว้าขั้นบันไดไว้ได้ กล้องถ่ายภาพหนังไม่ตก ตัวก็ไม่ตก แต่ส่วนหนึ่งของใบหน้าดันไปโขกเข้ากับขั้นบันได

โชคไม่ดีที่อวัยวะของใบหน้าส่วนที่ไปโขกเบาๆ กับขึ้นบันไดนั้นเป็นฟันข้างบน แถมโชคร้ายยิ่งขึ้นไปอีก เป็นฟันปลอมสองซี่ที่ติดซีเมนต์แน่น แต่ไม่แน่นเหมือนธรรมชาติแน่นอน ฟันปลอมติดแน่นก็หลุดออกมา พอเสียบติดเข้าไว้ชั่วคราวได้ ไม่แน่นอย่างเดิมไม่เป็นไร พรุ่งนี้ค่อยไปหาหมอฟัน แต่เหตุอุกฉกรรจ์ชิงเกิดเสียก่อนตอนเสนอข่าวไฟไหม้ใหญ่ทางทีวีช่อง 4 ในคืนนั้น

ถ้าเป็นสมัยนี้ที่มีวิดีโอถ่ายปุ๊บเปิดดูได้ปั๊บ หรือบางที่ถ่ายปุ๊ปดูได้ปั๊บโดยไม่ต้องเอามาเปิดใหม่ก็ยังได้ไม่มีปัญหา แต่ที่มีปัญหาเพราะว่ามันเป็นหนังที่ต้องล้าง ต้องตัดต่อ แถมยังต้องเขียนบทอีกด้วย ใช้วิธีข่าวของใครของมัน ข่าวไฟไหม้วันนั้นผมเป็นคนถ่าย แม้ “ไอ้ปู่” จะเป็นคนล้างฟิล์ม แต่ผมก็ยังต้องตัดต่อเองอยู่ดี และยังไม่มีเวลาจะเขียนบทก็ถึงเวลาเสนอข่าวเสียก่อน

เมื่อเขียนบทไม่ทัน คนที่ถ่ายข่าวมาก็ต้องโดดลงไปพากย์เองสดๆ ผมสับเปลี่ยนหน้าที่ขอให้โฆษณาสมชายไปทําหน้าที่ผู้กํากับรายการ แล้วให้ผมลงไปนั่งอ่านข่าวแทน ก็ทําท่าว่าจะเป็นไปได้สวยตอนเริ่มอ่าน แต่พออ่านๆ ตอนท้ายๆ ข่าวไฟไหม้ใหญ่เมืองสองแคว คงจะตื่นเต้น เล่นลิ้นมากไปนิดหรือไงไม่รู้ อยู่ๆ รู้สึกมีอะไรหลุดในปาก เอาลิ้นดุนๆ ตายละวาฟันปลอมสองซี่ข้างหน้าที่จิ้มใส่ไว้ชั่วคราวน่ะเอง พยายามเอาลิ้นดุนๆ ให้เข้าที่ไม่สําเร็จ มิหนํายังทําท่าว่าจะหลุดเข้าคอถ้าขืนจ้อต่อไป

เห็นท่าไม่ได้การ กลัวจะตกเป็นข่าวคนข่าวทีวีที่ฟันปลอมติดคอตายรายแรกของโลก ผมเอาลิ้นดุนฟันปลอมแล้วกล้อมแกล้มพูดได้แค่สองคําว่า “จบข่าว” พร้อมกับโค้งอย่างสวยงามเพื่ออําพราง แต่ก็เสียดายข่าวอุตส่าห์ถ่ายมาดี๊ดี ควรที่จะฮิตกลับพังไม่เป็นท่าเพราะฟันปลอมทําพิษแท้ๆ ถึงยังไงยังไงผมก็ภูมิใจที่มีส่วนทําให้คนไทยได้ ดีมี “ตาทิพย์” เป็นครั้งแรก “หูทิพย์” นะเรามีมานานแล้ว ตั้งแต่วันที่ 25 กุมภาพันธ์ ปี 2473 นับอย่างเดี๋ยวนี้ก็ 2474 ที่วันนั้นเมืองไทยได้มี “วิทยุกระจายเสียง” ส่งเป็นครั้งแรก

รายการวิทยุวันนั้นประเดิมด้วยความเป็นมงคล คือ การถ่ายทอดสดกระแสพระราชดํารัสของในหลวง รัชกาลที่ 7 ในพระราชพิธีฉัตรมงคลจากพระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัยไปออกอากาศที่สถานีวิทยุกรุงเทพฯ วังพญาไท เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ชาติไทยที่พสกนิกรทั้งหลาย ได้ยินพระสุรเสียงของเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดิน เป็นการรวมใจให้เกิดความจงรักภักดียิ่งขึ้นด้วยความรู้สึกที่ใกล้ชิดมิได้ห่าง ไกลจากเบื้องพระยุคลบาทเช่นกาลก่อน สมตามความหมายของยุคแห่งประชาธิปไตยอย่างแท้จริง

และแล้ว 24 ปีหลังจากนั้น “ตาทิพย์” ซึ่งทีวีหยิบยื่นให้แก่ชาวไทยก็ได้ทําให้เกิดความรู้สึกใกล้ชิดเบื้องพระยุคลบาทยิ่งขึ้นด้วยการที่มหาชนทั้งหลายในแผ่นดินได้มีโอกาสประทับใจในรูปโฉมพระวรกายอันสง่างามและพระพักตร์อันเปี่ยมด้วยพระเมตตาของล้นเกล้าฯ เจ้าแผ่นดินของเราเป็นคำรบแรก

ความมี “ตาทิพย์” จึงเป็นวิวัฒนาการอันยิ่งใหญ่ ในประวัติศาสตร์ของชาติไทยยุคปัจจุบันอย่างแน่นอน เป็นวิวัฒนาการซึ่งเราท่านมีหน้าที่ต้องอนุรักษ์และพัฒนา ให้ก้าวหน้าต่อไปเพื่อประโยชน์แก่ส่วนรวม มิใช่เฉพาะเพื่อใครคนใดคนเดียวหรือกลุ่มเดียว

ตอนที่มะงุมมะงาหราเข้ารับหน้าที่เตรียมการ ให้มี “ตาทิพย์” ขึ้นในเมืองไทยจนถึงเริ่มงานทีวีเป็นกิจจะลักษณะแล้วนั้น อันที่จริงผมยังไม่ค่อยรู้เสียด้วยซ้ำ ว่า “สื่อสารมวลชน” นั้นมีความหมายแค่ไหน เอาอะไรเป็นมาตรวัดความถูกต้องสมควร แต่เมื่อทําไปทําไปและเพิ่มความสํานึกในหน้าที่ ความมีเกียรติที่เป็นผู้ให้ความมี “ตาทิพย์” แก่ประชาชนยิ่งขึ้น การทํางานด้วยความซื่อตรงต่ออุดมการณ์จึงชักจะเป็นการหักหาญน้ำใจผู้หลักผู้ใหญ่ผู้มีโอกาสชี้ต้นสายปลายเป็นแก่คนในบ้านเมืองนี้เพิ่มทวียิ่งขึ้น

ตอนต้นปี 2500 ไม่ถึงสองปีดีที่เริ่มงานไทยทีวีช่อง 4 ผู้ที่เป็นใหญ่หรืออยากเป็นใหญ่ในบ้านเมืองเริ่มรู้ได้ว่าไอ้ “ตาทิพย์” นี่มันจะมีประโยชน์อะไรกับการรักษาอํานาจหรือว่าแสวงหาอํานาจของเราได้บ้าง ใครเป็นก้างขวางคอก็ควรจะดึงทิ้งเสียให้พ้นทาง

วันที่ 26 กุมภาพันธ์ ปีนั้น มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรประเภทที่หนึ่งตามรัฐธรรมนูญปี 2495 พรรคเสรีมนังคศิลาของจอมพล ป. พิบูลสงครามที่เป็นหัวหน้ารัฐบาลอยู่ต้องทําทุกอย่างที่จะให้ได้ชัยชนะเพื่อได้บริหารบ้านเมืองต่อไปก็ถูกแล้ว

แต่ผมเห็นว่าทุกอย่างที่ทํานั้นควรจะเป็นไปตามครรลองของระบอบประชาธิปไตย ที่ควรต้องให้ประชาชนร่วมรู้เห็นเป็นพยาน ดังนั้นฝ่ายข่าวของไทยทีวีช่อง 4 จะต้องใช้ความมี “ตาทิพย์” สอดส่องความเป็นไปในระหว่างการเลือกตั้งเอามาเสนอให้คนทั่วไปได้รู้ด้วยอย่างละเอียดที่สุดเท่าที่จะทําได้โดยตรงไปตรงมาตามหน้าที่ของสื่อสารมวลชน

ตอนปิดหีบบัตรเลือกตั้งที่อําเภอหนึ่งของกรุงเทพฯ ที่ขึ้นชื่อลือชาว่ามีพลร่มไฟไฟซุกชุม ตากล้องของผมหรือผมเองก็จําไม่ได้ดันใช้ “ตาทิพย์” ยี่ห้อ “โบแล็กซ์” ล่องไปเห็นว่าทั้งๆ ที่มีจํานวนผู้มีสิทธิออกเสียงไม่มากมายแต่หีบบัตรนั้นจึงแออัดด้วยบัตรมากมายไหงขนาดนั้น จึงถ่ายเอาภาพเหตุการณ์ไว้อย่างละเอียดลออ “ไอ้ปู่” ล้างหนังม้วนนั้นเสร็จที่บางขุนพรหมเอามาวางไว้ที่โต๊ะตัดต่อหน่อยพอผมจะลงมือตัด อ้าว ! อันตรธานไปไหนไม่มีใครรู้เสีย

ได้ข่าวภายหลังว่าท่านผู้ใหญ่ไม่พอใจมากที่ทีวีแทนที่จะช่วยฝ่ายรัฐบาล ดันไปคอยจับผิดเสียนี่ มันน่านัก


เผยแพร่เนื้อหาในระบบออนไลน์ครั้งแรกเมื่อ กุมภาพันธ์ 2562