แกมป์เฟอร์ เล่าสภาพเกาะเมืองอยุธยา คล้าย “ฝ่าเท้า” ถนน-บ้านขุนนางล้วน “สกปรก”

ภาพวาด เกาะเมือง อยุธยา โดยชาวต่างชาติ
ภาพประกอบเนื้อหา - ภาพวาดกรุงศรีอยุธยา วาดโดย Struys Jan Janszoon ค.ศ. 1681

เอนเยลเบิร์ต แกมป์เฟอร์ (Engelbert Kaempfer) นายแพทย์ นักธรรมชาติวิทยา นักสำรวจ และนักเขียนชาวเยอรมันประจำคณะทูต ของบริษัทอินเดียตะวันออกของเนเธอแลนด์ (VOC) จากปัตตาเวีย (Batavia หรือจาการ์ตาในปัจจุบัน) ที่เข้ามาเจริญพระราชไมตรีราชสำนักสยาม ในปี พ.ศ. 2233 เพื่อถวายสาส์นต่อ สมเด็จพระเพทราชา ก่อนไปยังจุดหมายปลายทางที่ประเทศญี่ปุ่น แม้เขาจะมีช่วงเวลาได้พักอาศัยอยู่ในแผ่นดินสยามเพียงระยะเวลาไม่นาน (ประมาณ 23 วัน) แต่ได้บันทึกเกี่ยวกับกรุงศรีอยุธยา ในมุมมองของชาวต่างชาติอย่างน่าสนใจ และตรงไปตรงมา

เอนเยลเบิร์ต แกมป์เฟอร์ มีความสนใจกรุงศรีอยุธยามาก เขาออกเดินเท้าสำรวจพื้นที่ต่าง ๆ เขียนบันทึกไว้อย่างละเอียด ร่วมถึงร่างแผนที่กรุงสยามไว้ด้วย บันทึกนี้จึงมีข้อมูลเกี่ยวกับสภาพกรุงศรีอยุธยา ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ จากยุคอยุธยาตอนกลาง สมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ราชวงศ์ปราสาททอง มาสู่ยุคอยุธยาตอนปลาย สมัยสมเด็จพระเพทราชา ราชวงศ์บ้านพลูหลวง 

Advertisement

หนังสือ “ไทยในจดหมายเหตุแกมเฟอร์” ตีพิมพ์โดยกรมศิลปากร โดยแปลจากบันทึกการเดินทางของ เอนเยลเบิร์ต แกมป์เฟอร์ กลายเป็นบันทึกจดหมายเหตุที่มีคุณค่าอย่างยิ่ง ทั้งด้านประวัติศาสตร์ และโบราณคดี

เอนเยลเบิร์ต แกมป์เฟอร์ บันทึกเกี่ยวกับเกาะเมืองอยุธยาในเวลานั้นได้อย่างครอบคลุม และละเอียดยิ่ง แผนที่พระนครที่เขาเขียนขึ้นใกล้เคียงความจริง และมีความคลาดเคลื่อนน้อยมาก ทั้งระยะห่างกับตำแหน่งของสถานที่ต่าง ๆ มีข้อเท็จจริงของสภาพเกาะเมืองอยุธยา เขาบรรยายว่า เกาะเมืองมีสันฐานคล้าย “ฝ่าเท้า” มีแม่น้ำล้อมรอบทุกทิศทาง สภาพเป็นเกาะ รอบเกาะเมืองมีกำแพงอิฐ และหอรบแน่นหนา แต่บางจุดขาดการทำนุบำรุง

ผังเมือง ของ เกาะเมือง อยุธยา ภาพวาด ของ แกมป์เฟอร์
แผนที่เกาะเมืองอยุธยา ในจดหมายเหตุแกมป์เฟอร์ (ภาพจาก THE NEW YORK PUBLIC LIBRARY DIGITAL COLLECTIONS)

บันทึกยังเล่าถึงความหนาแน่นของประชากรในเกาะเมืองว่า ฝั่งตะวันออกมีผู้คนหนาแน่นกว่าฝั่งตะวันตก ซึ่งมักเป็นป่ารก มีหนองบึง สภาพบ้านเมืองที่เขาบรรยาย ยังสะท้อนความเป็นสังคมนานาชาติที่หลงเหลือตกทอดมาจากยุคสมเด็จพระนารายณ์มหาราช จากการกล่าวถึงชุมชนต่างชาติ ที่กระจายตัวทั่วทั้งเกาะเมือง และดินแดนรอบนอก

ด้วยความเป็นนายแพทย์ เอนเยลเบิร์ต แกมป์เฟอร์ จึงอดไม่ได้จะติเตียนเรื่องสุขอนามัยของศูนย์กลางอาณาจักรสยาม เขาบอกว่า ถนนแทบทุกสายในพระนครล้วน “เลวและสกปรก” แม้แต่บ้านขุนนางในราชสำนักที่ใหญ่โตโอ่อ่าก็ “สกปรกมาก” ถือเป็นความตรงไปตรงมาที่เหมาะสมดี ดังปรากฏในหนังสือ “ไทยในจดหมายเหตุแกมเฟอร์” ดังนี้

“…มีคลองใหญ่ขุดจากแม่น้ำผ่านเข้าไปในเมือง จากทิศตะวันออกไปทิศตะวันตกบ้าง จากทิศเหนือไปทิศใต้บ้าง และยังมีคลองเล็ก ๆ น้อย ๆ ซอยจากคลองใหญ่อีกเป็นอันมาก เรืออาจแล่นจากแม่น้ำเข้าไปในเมืองและจอดเทียบท่าพระราชวังและตำหนักสำคัญ ๆ ได้ ถนนก็แล่นเป็นสายตรงขนานไปตามคลอง บางสายใหญ่พอดู แต่ส่วนมาทีเดียวนั้นแคบ พูดโดยทั่วไปแล้ว เลวและสกปรกทุกสาย ลางสายในเวลาหน้าน้ำ น้ำท่วมเสียอีก

…บ้านคนธรรมดานั้นเป็นทับกระท่อมเสียเป็นพื้น ปลูกด้วยไม้ไผ่ ซึ่งเป็นไม้กลวง หนาราว ๆ 2-3 ฝ่ามือ พื้นปูกระดาน หลังคามุงจากอย่างลวก ๆ พวกขุนนางหรือเสนาบดีและข้าราชบริพารในราชสำนักมีวังหรือตำหนักอยู่ต่างหาก มีลานกว้างขวาง แต่สกปรกมาก ตึกทั่ว ๆ ไปแม้สร้างด้วยหินและปูน ก็ดูไม่สง่าผ่าเผยอะไร ห้องหับไม่สู้สะอาดหรือตกแต่งกันดีนัก ร้านโรงในเมืองเตี้ย และเป็นแบบธรรมดา ๆ ดาด ๆ แต่ว่าตั้งอยู่เป็นระเบียบเป็นแถวเป็นแนวตรงอย่างแนวถนน…”

เขายังเล่าถึงพื้นที่รอบกรุงอันเป็นบ้านเรือนของผู้คน ทั้งบนบกและเรือนแพที่ลอยอยู่ในน้ำ เล่าว่า คลอง และแม่น้ำมากมายทำการสัญจรหลักของชาวสยาม คือ ทางเรือ และวิถีชีวิตผู้คน ก็ผูกพันกับแม่น้ำลำคลองพอสมควร

นอกจากสภาพถนนหนทาง และชุมชนทั่วไปแล้ว เขายังบันทึกเกี่ยวกับพระราชวัง และวัดวาอาราม มีการศึกษา และทำความเข้าใจก่อนเขียนบรรยาย เห็นได้จากเขาสามารถแบ่งพระราชวังในกรุงศรีอยุธยาเป็น 3 แห่ง ได้แก่ พระราชวังหลวง วังรัชทายาท และวังเจ้ากรมช้าง ซึ่งก็คือ วังหลวง วังหน้า และวังหลัง นั่นเอง

เอนเยลเบิร์ต แกมป์เฟอร์ ชื่นชอบความงดงามทางสถาปัตยกรรม และศิลปกรรมของวัง วัด และพระพุทธรูปที่พบเห็นในพระนครอย่างมาก โดยเฉพาะวัดภูเขาทอง ถึงขั้นที่ร่างสำเนา แบบแปลน และรายละเอียดของเจดีย์ภูเขาทองไว้อย่างดี

แบบร่าง เจดีย์ภูเขาทอง โดย แกมป์เฟอร์
เจดีย์ภูเขาทอง ในจดหมายเหตุแกมป์เฟอร์ (ภาพจาก archive.org)

บันทึกนี้ยังมีข้อมูลบางส่วนที่เป็นกล่าวถึงเหตุการณ์จากการบอกเล่า ข้อมูลจึงอาจคลาดเคลื่อนไปบ้าง แต่ความโดดเด่นของบันทึกของ เอนเยลเบิร์ต แกมป์เฟอร์ คือ เขาแวะมาที่กรุงศรีอยุธยา ในฐานะนักเดินทาง ถือแผ่นดินสยามเป็นทางผ่าน จึงพบความคิดเห็นส่วนตัวผสมกับความรู้ร่วมอยู่ไม่น้อย แตกต่างจากบันทึกชาวต่างชาติคนอื่น ๆ เช่น เดอ ลา ลูแบร์ ที่เข้ามาเกี่ยวข้องกับไทยด้วยผลประโยชน์บางประการ ไม่ทางศาสนาก็ทางการเมือง

อ่านเพิ่มเติม :

สำหรับผู้ชื่นชอบประวัติศาสตร์ ศิลปะ และวัฒนธรรม แง่มุมต่าง ๆ ทั้งอดีตและร่วมสมัย พลาดไม่ได้กับสิทธิพิเศษ เมื่อสมัครสมาชิกนิตยสารศิลปวัฒนธรรม 12 ฉบับ (1 ปี) ส่งความรู้ถึงบ้านแล้ววันนี้!! สมัครสมาชิกคลิกที่นี่


อ้างอิง : 

อัมพร สายสุวรรณ. (2545) ไทยในจดหมายเหตุแกมป์เฟอร์. กองวรรณกรรมและประวัติศาสตร์ กรมศิลปากร : อาทิตย์ คอมมูนิเคชั่น.


เผยแพร่ในระบบออนไลน์ครั้งแรกเมื่อ 24 สิงหาคม 2565