ที่มา | ศิลปวัฒนธรรม ฉบับมีนาคม 2552 |
---|---|
ผู้เขียน | รศ.ดร. ศานติ ภักดีคำ |
เผยแพร่ |
บทนำ
ในการรับรู้ของชาวกัมพูชาคำภาษาเขมรที่ใช้เรียก “คนไทย” และ “ประเทศไทย” มี 2 คำ คำแรกคือ คำว่า “เสียม” (ออกเสียงว่า “เซียม” ตรงกับคำว่า “สยาม”) คำนี้เป็นคำโบราณที่ปรากฏหลักฐานการใช้มาตั้งแต่สมัยหลังพระนครเป็นอย่างน้อยและเพิ่งมีการเปลี่ยนเป็นคำว่า “ไถ” (ออกเสียงว่า “ไท” ตรงกับคำว่า “ไทย”) เช่นเดียวกับคำเรียกชื่อประเทศไทย ซึ่งแต่เดิมในภาษาเขมรใช้ว่า “เสียม” (ตรงกับคำว่า “ประเทศสยาม”) แต่ต่อมาได้เปลี่ยนเป็น “ไถ” ซึ่งคือคำเดียวกับคำว่า “ไทย” นั่นเอง
หากพิจารณาโดยผิวเผิน เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงคำเรียกชื่อประเทศไทยและคำเรียกชื่อคนไทยจากคำว่า “เสียม” มาเป็น “ไถ (ไท)” ก็ไม่น่าจะมีประเด็นปัญหาอะไรมากนัก แต่สิ่งที่น่าสนใจคือ เมื่อในภาษาเขมรมีคำเรียกคนไทยและประเทศไทยถึง 2 ศัพท์ แล้วทั้ง 2 คำนี้ในการรับรู้ของชาวกัมพูชามีบริบทในการใช้และความหมายที่เหมือนกันหรือไม่อย่างไร เนื่องจากหากบริบทของการใช้คำและความหมายมีความแตกต่างกัน ย่อมส่งผลต่อความรับรู้ความเข้าใจของผู้รับสารชาวกัมพูชาที่น่าจะมีความแตกต่างกันตามไปด้วย
ดังนั้นเพื่อให้เกิดความเข้าใจที่ชัดเจนมากขึ้นเกี่ยวกับบริบทการใช้และความหมายของคำเรียกชื่อคนไทย และประเทศไทยในภาษาเขมรปัจจุบัน ผู้เขียนจึงขอนำเสนอที่มาของคำว่า “เสียม” และ “ไถ (ไท)” ซึ่งเป็นภาษาเขมรที่ใช้เรียกชื่อประเทศไทยและคนไทยทั้ง 2 คำนี้ก่อน แล้วจึงอภิปรายถึงบริบทของการใช้และความหมายที่แตกต่างกันของคำทั้ง 2 ศัพท์นี้ต่อไปตามลำดับ
1. “เสียม (สยาม)” ในการรับรู้ของกัมพูชา
คำว่า “เสียม” ปรากฏหลักฐานการอ้างถึงในภาษาเขมรตั้งแต่ในศิลาจารึกของเขมรโบราณ ดังปรากฏหลักฐานที่เก่าแก่ที่สุดของคำนี้ในศิลาจารึกอังกอร์โบเร็ย K. 557 และ 600 ซึ่งจารึกขึ้นเมื่อ พ.ศ. 1154 กล่าวถึงชื่อทาสว่า “กุ สฺยำ” [1] แปลว่า “นาง (กุเป็นคำนำหน้าเรียกทาสหญิงในสมัยก่อนพระนคร) สฺยำ (เสียม)”
ในศิลาจารึกตาแก้ว K. 79 ของพระเจ้าภววรมันที่ 2 ตรงกับ พ.ศ. 1182 แต่เขียนตามอักขรวิธีของภาษาเขมรสมัยก่อนพระนครว่า “สฺยำ” ดังความในจารึกว่า “แสฺรอํโนยโปญสฺยำ” [2] แปลว่า “นาที่ให้โปญ (ยศขุนนาง) ชื่อ สฺยำ (เสียม)” นอกจากนี้ยังพบชื่อทาสผู้หญิงในจารึกสมัยก่อนพระนครเช่นเดียวกันใช้ชื่อว่า “สฺยำ” ดังข้อความในจารึกว่า “กุ สฺยำ 1 โกน” [3] แปลว่า “นางสฺยำ (เสียม) 1 ลูก 1” เป็นต้น
นอกจากนี้ในศิลาจารึกเขมรสมัยพระนครยังปรากฏการใช้คำว่า “สฺยำ” หลายแห่ง เช่น ในจารึกที่ระเบียงปราสาทนครวัด ที่มีข้อความว่า “เนะ สฺยำกุก” [4] แปลว่า “นี่สฺยำกุก (เสียมกุก?)” และ “อฺนกฺ ราชการฺยฺย ภาค ปมญฺ เชง ฌาล ต นำ สฺยำ กุกฺ” ซึ่ง จิตร ภูมิศักดิ์ แปลไว้ว่า “ข้าราชการฝ่ายทหารพรานแห่งเมืองเชงฺฌาล ซึ่งนำชาวเสียมกุก” [5]
จิตร ภูมิศักดิ์ สันนิษฐานว่า คำว่า “สฺยำ” ในจารึกเขมรโบราณเหล่านี้เป็นชื่อชนชาติ หมายถึง “คนไทย” ตามขนบที่ในจารึกเขมรโบราณนิยมเอาชื่อชนชาติมาตั้งเป็นชื่อ [6] แม้กระนั้นนักวิชาการทั้งชาวเขมรและชาวต่างประเทศยังไม่สามารถอธิบายความหมายของคำว่า “สฺยำ” นี้ได้อย่างชัดเจนมากนัก
พจนานุกรมเขมรโบราณ-ฝรั่งเศส-อังกฤษ ของ สาวรส เพา ได้อธิบายความหมายของคำว่า “สฺยำ” ไว้ว่า “ผิวคล้ำ, คำดูถูกสำหรับชาวต่างประเทศ, คนป่า” [7] นอกจากนี้ยังอธิบายว่าคำนี้ในภาษาเขมรปัจจุบันใช้ว่า “เสียม” หมายถึง “ไทย หรือ สยาม” [8] แสดงให้เห็นถึงความสับสนของนักวิชาการในการให้ความหมายคำว่า “สฺยำ” ในจารึกเขมรโบราณเหล่านี้
หลักฐานของกัมพูชาสมัยหลังพระนครเป็นต้นมา ซึ่งตรงกับสมัยกรุงศรีอยุธยาของไทย คำว่า “เสียม” ซึ่งเปลี่ยนจากอักขรวิธีเขมรโบราณว่า “สฺยำ” มาใช้อักขรวิธีแบบปัจจุบันว่า “เสียม” ได้มีความหมายหมายถึง “คนไทย” อย่างชัดเจน
ดังปรากฏในวรรณกรรมเขมรสมัยหลังเมืองพระนครเรื่องเลบิกนครวัด ผลงานของนักปาง ซึ่งประพันธ์ขึ้นเมื่อปีมหาศักราช 1542 ตรงกับพุทธศักราช 2163 [9] มีกล่าวถึง “เสียม” ว่าเป็นชนชาติหนึ่งที่มีส่วนร่วมในการสร้างปราสาทนครวัดตามความคิดของกวีผู้ประพันธ์ ดังนี้
เขมรเสียมพม่า มอญลาวลันทา ชวาจามลังกา
ญวนเก่าไกเซิน เจริญมากเตรียบตรา กะเหรี่ยงหงสา
ทั้งกลิงค์แขกขมัง ฯ [10]
ในสมัยหลังพระนครของกัมพูชานี้เอง ปรากฏหลักฐานว่า กรุงศรีอยุธยาได้ส่งกองทัพเข้าไปตีกัมพูชาหลายครั้ง เช่น การตีเมืองศรียโศธรปุระในรัชกาลสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 2 (เจ้าสามพระยา) เมื่อปี พ.ศ. 1974 [11] และสงครามคราวสมเด็จพระนเรศวรตีเมืองละแวก เมื่อปี พ.ศ. 2136 [12] ซึ่งน่าจะทำให้คำว่า “เสียม” ในภาษาเขมรสมัยหลังพระนครเป็นต้นมา จึงน่าจะมีนัยในเชิงลบแฝงอยู่ด้วย
ดังปรากฏว่ามีการนำคำว่า “เสียม” ไปตั้งเป็นชื่อสถานที่ในประเทศกัมพูชาหลายแห่งเพื่อแสดงให้เห็นถึงความทรงจำบางอย่างเกี่ยวกับ “เสียม” ในสถานที่นั้น ๆ เช่น เสียมราบ (สยามราบเรียบ) ซึ่งเป็นชื่อสถานที่ซึ่งกองทัพกรุงศรีอยุธยาได้ยกทัพไปรบแพ้สมเด็จพระบรมราชาธิราช (เจ้าพญาจันทราชา) แห่งกัมพูชาที่บริเวณทางใต้ของเมืองพระนคร ชื่อนี้ในภายหลังจึงกลายมาเป็นชื่อเมืองและเป็นชื่อจังหวัดในปัจจุบัน [13]
นอกจากนี้ที่จังหวัดสตึงแตรง ทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือของกัมพูชาในปัจจุบันที่ติดกับลาวใต้ มีสถานที่แห่งหนึ่งเรียกว่า เสียมโบก (สยามหลอกลวง) ซึ่งสันนิษฐานว่าน่าเป็นชื่อที่ตั้งขึ้นเนื่องจากสยามได้เกณฑ์ชาวเขมรไปขุดแก่งหลี่ผีเพื่อยกทัพเรือไปตีเวียงจันทน์ในสมัยกรุงธนบุรี [14]
ชื่อทั้ง 2 ชื่อนี้แสดงให้เห็นถึงนัยบางอย่างที่แสดงออกถึงความไม่พอใจของชาวกัมพูชาในเวลานั้นที่มีต่อ “เสียม” จึงนำพฤติกรรมที่ไม่ดีของ “เสียม” ที่มีทั้งการแพ้สงครามของ “เสียม” และการหลอกลวงของ “เสียม” มาตั้งเป็นชื่อสถานที่เพื่อแสดงถึงความทรงจำที่มีต่อเหตุการณ์นั้น ณ สถานที่นั้น ๆ ดังปรากฏคำอธิบายเกี่ยวกับความไม่พอใจ “เสียม” ในนิราศนครวัด ของออกญาสุตตันตปรีชา (อินท์) เมื่อกล่าวถึงชื่อเมือง “เสียมราบ (เสียมเรียบ)” ว่า
อนึ่งสงสัยกับเมืองเสียมราบนี้
โบราณริให้ชื่อผิดปริยาย
เมืองเขมรไฉนยกเสียมกราย
ตามปริยายพงศาวดารตำรามี ฯ
กาลพระจอมจักรีตรีเนตรกษัตริย์
ครองสมบัติอินทปัตถ์บุรีสถาน
คือนครธมเนาเป็นประธาน
จอมกษัตริย์กสานต์มีบุญเลิศนานา ฯ
มีพระเนตรสามดวงแปลกชนอื่น
เนตรกลางตื่นเพ่งไปคนใดหนา
คนนั้นเล่าก็ดลกษัยสิ้นชีวา
ชาวพาราก็แสยงเกรงบารมี ฯ
ลุหนองโสนคือเสียมเป็นส่วยน้ำ
ก็เป็นศึกยกมาตีบุรี
มาถึงที่ตรงนี้หยุดโยธี
ตั้งเป็นที่สมรภูมิชัย ฯ
ครั้นทราบถึงนรินทร์ปินกษัตริย์
จอมอินทปัตถ์ก็ทรงพระโกรธไกร
จึงยกพวกจตุรงค์ในเวียงชัย
ออกต่อมือไพรีฤทธีหาญ ฯ
มาดลเสร็จเสด็จเบิกพระเนตรแก้ว
แต่หนึ่งเปลวถูกเสียมเสงี่ยมไม่ได้
ทิ้งอาวุธจากมือทรุดกราบกราน
ราบไม่หาญต่อฤทธิ์หนีกลับไป ฯ [15]
เหตุดังนั้นจึงได้เรียกว่าเสียมราบ
เพราะมีภาพเสียมขลาดพระจอมเจ้า
โบราณราชจารึกตั้งนามเนา
เดี๋ยวนี้เสียมเปลี่ยนเรียกเสียมราฐ ฯ
คำเสียมราฐแปลว่าเสียมปราศเกรง
ตั้งสำแดงอิทธิฤทธิ์คิดประมาท
เดินรุกล้ำรานรุกสีหนาท
ไม่เกรงชาติกัมพูชาเวลานั้น ฯ
เพราะเมืองนี้เป็นเมืองขึ้นสยาม
เสียมทำตามอำนาจไม่ขลาดนั่น
คำ “ราฐ” ศัพท์นี้แปลดังนั้น
ถ้าราฎฐะนั้นจะแปลว่าแดนเมือง ฯ [16]
นอกจากนี้ยังพบว่าชื่อสถานที่บางแห่งในกัมพูชา โกรม (เวียดนามใต้) มีชื่อที่เกี่ยวข้องกับคำว่า “เสียม” หลายชื่อด้วยกัน ได้แก่ หมู่บ้านแซรเสียมจ๊ะส์-หมู่บ้านแซรเสียมเถม็ย-หมู่บ้านเสียมจอด ในจังหวัดกระมวนสอ (Rach gai) ซึ่งปัจจุบันอยู่ในเขตประเทศเวียดนาม หมู่บ้านเหล่านี้มีตำนานว่า ในสมัยสงครามญวนกับสยาม (สงครามอานามสยามยุทธ์ ในสมัยรัชกาลที่ 3) หลังจากสยามแตกทัพ ทหารเสียม (สยาม) บางคนได้หนีไปซ่อนมาอยู่กับเขมร ประกอบอาชีพทำนาไร่ธรรมดา จนหมู่บ้านนี้ได้ชื่อว่า “แซรเสียม” (นาสยาม) ส่วนหมู่บ้าน “เสียมจอด” ตั้งอยู่ตามแนวยาวริมแม่น้ำ ซึ่งมีวัดหนึ่งชื่อว่าวัด “จำปาเมียนเจ็ยซ็อมแจต” เรือทหารเสียม (สยาม) แตกทัพจำนวนหนึ่งได้มาจอดหลบซ่อนจากการตามหาของทหารญวน ดังนั้นที่นั้นเขาจึงให้ชื่อว่า “เสียมจอด” [17]
จากการศึกษาพัฒนาการของคำว่า “เสียม” ในเอกสารเขมรต่าง ๆ ที่กล่าวมา แสดงให้เห็นว่าคำว่า “เสียม” เป็นคำที่ใช้เรียก “คนไทย” และ “ประเทศไทย” ซึ่งอาจจะมีการใช้มาตั้งแต่ในภาษาเขมรโบราณ และมีการใช้ต่อมาในภาษาเขมรสมัยหลังพระนครและภาษาเขมรปัจจุบันโดยเปลี่ยนอักขรวิธีเป็นแบบปัจจุบัน ดังที่มีให้ความหมายไว้ในวจนานุกรมเขมร ฉบับพุทธศาสนบัณฑิตย์ ว่า
“เสียม น. ชื่อประเทศหนึ่งมีพรมแดนติดกันกับประเทศกัมพูชา ภาคตะวันตกและภาคเหนือ หนึ่งเฉียงด้านตะวันตก หรือด้านพายัพ : ประเทศเสียม ฯ ชนชาติของคนในประเทศนั้นก็เรียก เสียม ด้วย : ชาติเสียม, ภาษาเสียม… [18]
นอกจากนี้คำว่า “เสียม” ที่ใช้ในเอกสารของกัมพูชา ที่แปลจากภาษาต่างประเทศยังอาจเป็นคำที่แปลมาจากคำว่า “Siam” ด้วย ดังเช่น ในหนังสือปัญหาปราสาทพระวิหาร ที่จัดพิมพ์โดยคณะผู้แทนถาวรของประเทศกัมพูชาในองค์การสหประชาชาติ เมื่อปี ค.ศ. 1957 ได้ใช้คำว่า “เสียม” โดยเทียบกับคำว่า “Siam” เมื่อกล่าวถึงสนธิสัญญาระหว่างฝรั่งเศส-สยาม [19]
2. “ไถ (ไท)” คำเรียกใหม่ในภาษาเขมร
ด้วยเหตุที่รัฐบาลไทยสมัยจอมพลแปลก พิบูลสงคราม ได้เปลี่ยนชื่อประเทศจาก “ประเทศสยาม” เป็น “ประเทศไทย” ในปี พ.ศ. 2482 ตามประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยรัฐนิยม ใช้ชื่อประเทศชาติ ประชาชนและสัญชาติ เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2482 ว่า
“…โดยที่ชื่อของประเทศนี้มีเรียกกันเป็นสองอย่าง คือ ไทย และสยาม แต่ประชาชนนิยมเรียกว่า ไทย รัฐบาลเห็นสมควรถือเป็นรัฐนิยมใช้ชื่อประเทศให้ต้องตามชื่อ เชื้อชาติ และความนิยมของประชาชนชาวไทย ดังต่อไปนี้
ก. ในภาษาไทย ชื่อ ประเทศ ประชาชน และสัญชาติ ให้ใช้ว่า ไทย
ข. ในภาษาอังกฤษ 1. ชื่อประเทศ ให้ใช้ว่า Thailand 2. ชื่อประชาชนและสัญชาติ ให้ใช้ว่า Thai…” [20]
ต่อมาในปลายสงครามโลกครั้งที่ 2 แม้รัฐบาลในเวลานั้นจะมีการประกาศให้กลับไปใช้ชื่อประเทศเป็นภาษาอังกฤษว่า “Siam” แต่เมื่อถึงวันที่ 11 พฤษภาคม พ.ศ. 2492 ได้มีประกาศสำนักนายกรัฐมนตรีให้เรียกชื่อประเทศไทยเป็นภาษาอังกฤษว่า Thailand ตามเดิม ซึ่งได้มีการใช้มาจนกระทั่งในปัจจุบันนี้
เมื่อประเทศไทยประกาศเปลี่ยนชื่ออย่างเป็นทางการ กัมพูชาจึงเปลี่ยนคำเรียกชื่อประเทศไทยมาเป็นคำว่า “ไถ (ออกเสียงว่า “ไท”)” ตามรูปเขียนในภาษาเขมร และปรากฏความหมายตามในวจนานุกรมเขมร ฉบับ พุทธศาสนบัณฑิตย์ พ.ศ. 2511 ว่า “ไถ น. (ส. ไทย อ่านว่า ไท) ดูคำว่า เสียม” [21] และเรียกประเทศไทยว่า “ปรฺเทสไถ (ปรอเตะส์ไท)”
ปัจจุบันคำเรียก “คนไทย” และ “ประเทศไทย” ในภาษาเขมรจึงมี 2 คำ คำแรกคือคำว่า “เสียม” ซึ่งเป็นคำเดิมที่มีใช้ในภาษาเขมรตามหลักฐานในศิลาจารึกตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ 12 จนถึงปัจจุบัน แต่มีการเปลี่ยนรูปแบบอักขรวิธีการเขียนไปบ้าง ส่วนคำที่ 2 คือคำว่า “ไถ (ไท)” ซึ่งเป็นคำที่น่าจะเกิดขึ้นใหม่ เมื่อประเทศไทยเปลี่ยนชื่อจากสยามมาเป็นประเทศไทยในปี พ.ศ. 2482
3. “เสียม” กับ “ไถ (ไท)” : ความแตกต่างและการรับรู้ของชาวกัมพูชา
เมื่อในภาษาเขมรมีทั้งคำว่า “เสียม” และคำว่า “ไถ (ไท)” สำหรับใช้เรียกคนไทยและประเทศไทย คำถามต่อไปคือ ปัจจุบันบริบทของการใช้คำทั้ง 2 คำและความหมายในการรับรู้ของชาวกัมพูชาที่มีต่อคำ 2 คำนี้เหมือนหรือแตกต่างกันอย่างไร
ภาษาเขมรปัจจุบันใช้คำว่า “ไถ (ไท)” เป็นคำที่ใช้อย่างเป็นทางการ ทั้งในการเรียกคนไทยและประเทศไทย เป็นคำที่มีความหมายค่อนข้างเป็นกลาง ไม่มีนัยทางชาติพันธุ์หรือความหมายในเชิงลบมากนัก ทั้งนี้อาจเนื่องมาจากคำนี้เป็นคำที่เพิ่งเกิดขึ้นใหม่เมื่อไม่นานมานี้และเป็นคำที่ใช้อย่างเป็นทางการในทางราชการ
แต่สําหรับคำว่า “เสียม” ค่อนข้างเป็นคำที่มีนัยประวัติถึงประเทศไทยที่มีความเกี่ยวข้องกับกัมพูชาในอดีต เนื่องจาก “เสียม” เคยเป็นผู้ที่รุกรานประเทศกัมพูชา การใช้คำว่า “เสียม” ในกรณีที่กล่าวถึงประเทศไทยเพื่อตอกย้ำประวัติศาสตร์ในอดีต จึงมักปรากฏให้เห็นได้จากเอกสารประวัติศาสตร์ต่าง ๆ ที่พาดพิงถึงไทยในประวัติศาสตร์ของกัมพูชา เอกสารประวัติศาสตร์ต่าง ๆ เหล่านี้มักใช้คำว่า “เสียม” เมื่อกล่าวถึงประเทศไทย (โดยเฉพาะเมื่อกล่าวถึงสงครามระหว่างไทย-กัมพูชา) ดังตัวอย่างเช่น
“เสียมเอาเมืองพระนครได้ เสียมประมวลเอาวัตถุมีค่า และจับชาวเขมรไปเป็นเชลยจำนวนมาก” [22] หรือเมื่อกล่าวถึงว่าไทยได้เข้าไปปล้นประเทศกัมพูชา เช่น “เสียมจึงปล้นเมืองพระนครได้อีก” [23] หรือกล่าวถึงว่า ไทยจับตัวกษัตริย์กัมพูชาไปคุมขังไว้ที่ไทย เช่น “ทัพเสียมได้รุกเข้ามาจนจับพระบาทศรีราชาได้ในปี ค.ศ. 1474 พระองค์จึงสวรรคตในประเทศเสียม ทรงมีพระราชโอรสพระองค์หนึ่งพระนาม เจ้าพญาอุง (พระองค์โอง) ซึ่งเสียมขังไว้ที่ประเทศเสียม” [24]
ในแบบเรียนประวัติศาสตร์กัมพูชาเหล่านี้จึงมักปรากฏคำ “เสียม” ในเชิงลบอยู่ตลอด เช่น “อิทธิพลอย่างแข็งกล้าของเสียม (สยาม)”, “ใต้อำนาจเสียม” “เสียมเอาดินแดนเขมร” “เสียมตีเขมร” หรือ “เสียมยึดครองดินแดนเขมร” เป็นต้น
แม้กระทั่งในหนังสือนิทานภาพสำหรับเด็กเรื่อง “พระโค-พระแก้ว” ซึ่งสำนักพิมพ์ “ไรยํ” ได้พิมพ์เผยแพร่ในปี ค.ศ. 2001 ในตอนท้ายเรื่องได้กล่าวถึง “เสียม” เมื่อได้ “พระโค-พระแก้ว” ไปแล้วไว้ว่า “…พวกเสียมเห็นว่าเมื่อใดได้พระโคอยู่ ณ ที่ใด ที่นั้นจะได้สุขเกษมสานต์ ดังนี้แล้วพวกเสียมจึงได้พยายามดูแลรักษาพระโคพระแก้วไว้อย่างแข็งแรง แล้วนับแต่เวลานั้นมา พระโคพระแก้วจึงมิได้กลับคืนมายังเมืองเขมรจนถึงทุกวันนี้…” [25]
ดังนั้นจึงอาจกล่าวได้ว่าการใช้คำว่า “เสียม” และ “ไถ (ไท)” ในภาษาเขมรปัจจุบันมีนัยทางการใช้ที่แตกต่างกันตามบริบทที่ผู้ใช้ต้องการนำเสนอต่อผู้รับสาร
บทสรุป
จากที่กล่าวมาอาจสรุปได้ในเบื้องต้นว่า ในภาษาเขมรปัจจุบันมีคำที่ใช้เรียกคนไทยและประเทศไทย 2 คำ คือ คำว่า “เสียม” ซึ่งเป็นคำที่สันนิษฐานว่าน่าจะมีการใช้มาตั้งแต่สมัยก่อนพระนคร สมัยพระนคร และสมัยหลังพระนครจนถึงปัจจุบัน และคำว่า “ไถ (ไท)” ซึ่งเป็นคำที่น่าจะเกิดขึ้นภายหลังเมื่อมีการเปลี่ยนชื่อประเทศไทย จากประเทศสยามมาเป็นประเทศไทยแล้ว
สำหรับคำว่า “เสียม” ในภาษาเขมรสมัยหลังพระนคร และสมัยปัจจุบันค่อนข้างเป็นคำที่มีนัยถึงประเทศไทยที่มีความเกี่ยวข้องกับกัมพูชาในอดีต เนื่องจาก “เสียม” เคยเป็นผู้ที่รุกรานประเทศกัมพูชา ด้วยเหตุนี้คำว่า “เสียม” จึงมีความหมายในเชิงลบแฝงอยู่ด้วย ส่วนคำว่า “ไถ (ไท)” เป็นคำที่ใช้อย่างเป็นทางการ จึงเป็นคำที่มีความหมายค่อนข้างเป็นกลาง ไม่มีนัยทางชาติพันธุ์หรือความหมายในเชิงลบมากนัก ทั้งนี้อาจเนื่องมาจากคำนี้เป็นคำที่เพิ่งเกิดขึ้นใหม่เมื่อไม่นานมานี้และเป็นคำที่ใช้อย่างเป็นทางการในภาษาราชการ
ด้วยเหตุที่คำว่า “เสียม” ในภาษาเขมรในปัจจุบัน นอกจากจะหมายถึง “คนไทย” และ “ประเทศไทย” ตามความหมายของคำตามปรกติแล้ว คำว่า “เสียม” ในภาษาเขมรยังมีนัยยะในด้านลบ จึงไม่น่าแปลกใจเมื่อสื่อมวลชนกัมพูชาในปัจจุบันนำเสนอข่าวสารเกี่ยวกับกรณีความขัดแย้งระหว่างไทย-กัมพูชา ในกรณีปราสาทเขาพระวิหาร จึงเลือกที่จะกล่าวถึง “ประเทศไทย” โดยใช้คำว่า “เสียม”
อ่านเพิ่มเติม :
- “ไทย” ในแบบเรียนประวัติศาสตร์กัมพูชา ตัวร้ายแย่งชิงดินแดน-นำความวิบัติสู่เขมร?
- “เขมร” ไม่เรียกตัวเองว่า “ขอม” ไม่มีคำว่าขอมในภาษาเขมร คำว่า “ขอม” มาจากไหน?
เชิงอรรถ :
[1] G. Coedès. Inscription du Cambodge Vol. II. (Hanoi : EFE0, 1942), p. 22.
[2] Ibid., p. 70.
[3] Ibid., p. 90.
[4] จิตร ภูมิศักดิ์. ความเป็นมาของคำสยาม ไทย ลาว และขอม และลักษณะทางสังคมของชนชาติ. (กรุงเทพฯ : ดวงกมล, 2524), น. 70.
[5] เรื่องเดียวกัน
[6] เรื่องเดียวกัน, น. 153.
[7] Saveros POU. Dictionnaire Vieux Khmer-Francais-Anglais. (Paris : Cedoreck, 1992), p. 514.
[8] Ibid.
[9] ศานติ ภักดีคำ, นครวัดทัศนะเขมร. (กรุงเทพฯ : มติชน, 2545), น. 98.
[10] เรื่องเดียวกัน, น. 112.
[11] คณะกรรมการจัดพิมพ์เอกสารทางประวัติศาสตร์ฯ ประชุมจดหมายเหตุสมัยอยุธยาภาค 1. (พระนคร : โรงพิมพ์สำนักทำเนียบนายกรัฐมนตรี, 2510), น. 94.
[12] เรื่องเดียวกัน, น. 103.
[13] ศานติ ภักดีคำ, นครวัดทัศนะเขมร. น. 23.
[14] โปรดดู กรมศิลปากร. พระราชพงศาวดาร ฉบับพระราชหัตถเลขา เล่ม 2. (กรุงเทพฯ : กองวรรณคดีและประวัติศาสตร์ กรมศิลปากร, 2535), น. 221.
[15] ตำนานเรื่องนี้คล้ายคลึงกับตำนานเรื่องพระร่วงมาแพ้พระเจ้าปทุมสุริยวงศ์ที่บริเวณเมืองเสียมเรียบ เมืองนั้นจึงได้ชื่อว่าเสียมเรียบ โปรดดูเพิ่มเติมได้ในเรื่องพระเจ้าปทุมสุริยวงศ์
[16] อุกญาสุตฺตนฺตปฺรีชา (อินฺท), นิราสนครวตฺต. (ภฺนํเพญ : พุทธสาสนบณฺฑิตฺย, 2541), น. 49.
[17] ตุรำงฉาต ปุต. กมฺพูชาโกรฺม : อํณาจคฺมานแขฺมรโกฺรม. (ภฺนํเพญ : อินฺทฺรเทวี, 2005), น. 171-172.
[18] พุทฺธสาสนบณฺฑิตฺย. วจนานุกฺรมแขฺมร. (ภฺนํเพญ : พุทฺธสาสนบณฺฑิตฺย, 2511), น. 1398.
[19] คณเปสกกมฺมอจินฺไตย์ไนปฺรเทสกมฺพุชาปฺรจำองคฺการสหปฺรชาชาติ. ปญฺหาปฺราสาทพฺระวิหาร. (ภฺนํเพญ : คณเปสกกมฺมอจินฺไตย์ไนปฺรเทสกมฺพุชาปฺรจำองคฺการสหปฺรชาชาติ), น. 10.
[20] สารานุกรมไทย ฉบับราชบัณฑิตยสถาน เล่ม 14 ทะเบียน-ธรรมราชา. (กรุงเทพฯ : บริษัท ประยูรวงศ์ จำกัด, 2527-2528), น. 8910.
[21] พุทฺธสาสนบณฺฑิตฺย. วจนานุกฺรมแขฺมร. น. 390.
[22] ศานติ ภักดีคำ. ประวัติศาสตร์สังเขปของประเทศกัมพูชา แปลจาก “ปฺรวตฺติสาสฺตฺรไนปฺรเทสกมฺพุชา” ของ ชา อวม ไผเผง นึงโสม อิม. น. 48.
[23] เรื่องเดียวกัน, น. 50.
[24] เรื่องเดียวกัน, น. 51.
[25] พฺระโค พฺระแกว, (ภฺนํเพญ : ไรยํ, 2001), น. 36.
บรรณานุกรม :
กรมศิลปากร, พระราชพงศาวดาร ฉบับพระราชหัตถเลขา เล่ม 2. กรุงเทพฯ : กองวรรณคดีและประวัติศาสตร์ กรมศิลปากร, 2535.
คณะกรรมการจัดพิมพ์เอกสารทางประวัติศาสตร์ฯ. ประชุมจดหมายเหตุสมัยอยุธยาภาค 1. พระนคร : โรงพิมพ์สำนักทำเนียบนายกรัฐมนตรี, 2510.
คณเปสกกมฺมอจินฺไตย์ไนปฺรเทสกมฺพุชาปฺรจำองคฺการสหปฺรชาชาติ. ปญฺหาปฺราสาทพฺระวิหาร. ภฺนํเพญ : คณเปสกกมฺมอจินฺไตย์ไนปฺรเทสกมฺพุชาปฺรจำองคฺการสหปฺรชาชาติใ
จิตร ภูมิศักดิ์. ความเป็นมาของคำสยาม ไทย ลาว และขอม และลักษณะทางสังคมของชนชาติ, กรุงเทพฯ : ดวงกมล, 2524.
ตฺรำงฉาต ปุต. กมฺพูชาโกฺรม : อํณาจคฺมานแขฺมรโกฺรม. ภฺนํเพญ : อินฺทฺรเทวี, 2005.
พระโค พระแกว. ภฺนํเพญ : ไรยํ, 2001.
พุทฺธสาสนบณฺฑิตฺย. วจนานุกฺรมแขฺมร. ภฺนํเพญ : พุทธสาสนบณฺฑิตฺย, 2511.
ศานติ ภักดีคำ. นครวัดทัศนะเขมร. กรุงเทพฯ : มติชน, 2545.
ศานติ ภักดีคำ (ผู้แปล), ประวัติศาสตร์สังเขปของประเทศกัมพูชา แปลจาก “ปฺรวตฺติสาสฺตฺรไนปฺรเทสกมฺพุชา” ของ ชา อวม ไผเผง นึงโสม อิม. กรุงเทพฯ : ภาควิชาภาษาไทยและภาษาตะวันออก คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ประสานมิตร, 2542.
สารานุกรมไทย ฉบับราชบัณฑิตยสถาน เล่ม 14 ทะเบียน-ธรรมราชา, กรุงเทพฯ : บริษัท ประยูรวงศ์ จำกัด, 2528.
สุตฺตนฺตปฺรีชา (อินฺท), อุกญา, นิราสนครวตฺต. ภฺนํเพญ : พุทธสาสนบณฺฑิตฺย, 2541.
Coedes, G. Inscription du Cambodge Vol. II. Hanoi : EFE0, 1942.
POU, Saveros. Dictionnaire Vieux Khmer-Francais-Anglais. Paris : Cedoreck, 1992.
เผยแพร่ในระบบออนไลน์ครั้งแรกเมื่อ 2 สิงหาคม 2565