“สตาลิน” คือ “ปูติน” ของวันนี้? สิ่งที่คล้ายกันและต่างกันของสองผู้นำรัสเซีย

(ซ้าย) โจเซฟ สตาลิน (ขวา) วลาดิเมียร์ ปูติน ประธานาธิบดีรัสเซีย กล่าวสุนทรพจน์ในการประชุมสภาที่ปรึกษารัฐสภารัสเซียในเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก เมื่อวันที่ 27 เมษายน พ.ศ. 2565
(ซ้าย) โจเซฟ สตาลิน (ขวา) วลาดิเมียร์ ปูติน ประธานาธิบดีรัสเซีย กล่าวสุนทรพจน์ในการประชุมสภาที่ปรึกษารัฐสภารัสเซียในเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก เมื่อวันที่ 27 เมษายน พ.ศ. 2565 (Photo by Alexey DANICHEV / SPUTNIK / AFP)

“โจเซฟ สตาลิน” วันนั้น ก็คือ “วลาดิมีร์ ปูติน” ของวันนี้? สิ่งที่คล้ายกันและต่างกันของสองผู้นำรัสเซีย

“สตาลินคือปูตินของวันนี้” คือคำที่ผมใช้ล้อกับสโลแกนหนึ่งในยุคสตาลินที่ว่า “สตาลิน ก็คือเลนินของวันนี้” (Stalin is the Lenin of today) [1] ซึ่งเป็นการสร้างความต่อเนื่องกับการปกครองของเลนินกับสตาลินในยุคสตาลิน เพื่อสร้างความชอบธรรมในการปกครองโซเวียตต่อจากเลนินและเป็นหนึ่งในการสร้างลัทธิบูชาตัวบุคคล แต่ในทางกลับกันอุดมการณ์, นโยบาย และการปกครองของทั้งสองยุคกลับต่างกันมาก ผมมองว่าเมื่อมามองรัสเซียในยุคปูตินมีความคล้ายกับสตาลินมากกว่าเลนินเสียอีก จึงได้เกิดเป็นคำดังกล่าว

สถานการณ์รัสเซียกับยูเครนปัจจุบันก่อให้เกิดผลกระทบมาก ไม่เพียงต่อชาวยูเครนเท่านั้นที่ได้เกิดผลกระทบในหลายด้าน แม้กระทั่งชาวรัสเซียเองก็ได้รับผลกระทบเช่นกัน โดยเฉพาะผู้ที่ออกมาต่อต้านสงคราม ซึ่งวลาดิมีร์ ปูติน ประธานาธิปดีแห่งรัสเซียเองได้ประกาศให้การต่อต้านสงครามนี้เป็นเรื่องผิดกฎหมาย ซึ่งนับว่าเป็นการใช้อำนาจปิดปากประชาชนชาวรัสเซีย

ประกอบกับการแก้รัฐธรรมนูญปี ค.ศ. 2020 ซึ่งจะให้อำนาจสภาผู้แทนราษฎรแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีแทนที่ประธานาธิบดี, ให้ประธานาธิบดีรับตำแหน่งได้มากกว่า 2 วาระ (เดิมได้ไม่เกิน 2 วาระ), เพิ่มอำนาจประธานาธิบดีในการยับยั้ง (Veto) กฎหมายที่ออกโดยสภาผู้แทนราษฎร และมีการเสนอให้เพิ่มบทบาทของสภาที่ปรึกษาแห่งรัฐ ซึ่งปูตินก็ดำรงตำแหน่งเป็นประธานสภาที่ปรึกษาแห่งรัฐ

ทำให้อำนาจของรัฐบาลรัฐบาลปูตินมีคับฟ้าไม่ต่างจากผู้นำสมัยโซเวียต โดยเฉพาะ โจเซฟ สตาลิน (Joseph Stalin) จนทำให้ผมมองว่า “ปูตินคือสตาลินของวันนี้”

ประธานาธิบดีรัสเซีย วลาดิมีร์ ปูติน กล่าวสุนทรพจน์ในการประชุมสภาที่ปรึกษารัฐสภารัสเซียในเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก เมื่อวันที่ 27 เมษายน พ.ศ. 2565
ประธานาธิบดีรัสเซีย วลาดิมีร์ ปูติน กล่าวสุนทรพจน์ในการประชุมสภาที่ปรึกษารัฐสภารัสเซียในเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก เมื่อวันที่ 27 เมษายน พ.ศ. 2565 (Photo by Alexey DANICHEV / SPUTNIK / AFP)

การจำกัดสิทธิและเสรีภาพรวมไปถึงการสร้างฐานอำนาจของปูตินก็มีความคล้ายคลึงกับโจเซฟ สตาลิน ผู้นำของโซเวียตช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 มีความต่างกันตรงที่สมัยสตาลินนั้นมีความเป็นเผด็จการและโหดร้ายมาก เราจึงจะมาย้อนดูโซเวียตภายใต้การปกครองปกครองของสตาลินเพื่อให้เห็นรากฐานเผด็จการที่อยู่ในการปกครองรัสเซียและเปรียบเทียบความคล้ายกันกับระบอบอำนาจนิยมของปูติน

เส้นทางการเป็นผู้นำของสตาลินนั้นเริ่มมาจากการเป็นคณะกรรมการกลางบริหารสูงสุดหรือโปลิตบูโร (Political Bureau of Central Committee) และตำแหน่งเลขาธิการใหญ่ (General Secretary) ในปี ค.ศ. 1922 ซึ่งในปีเดียวกันนี้เองสหภาพโซเวียตได้ออกรัฐธรรมนูญฉบับแรกโดยนับว่าเป็นการก่อตั้งสหภาพโซเวียตได้อย่างเป็นทางการ สตาลินเองจึงเป็นผู้มีบทบาทสำคัญในการวางรากฐานการปกครองให้กับสหภาพโซเวียต

ในการเข้าสู่อำนาจของสตาลินและปูตินจะมีความต่างกันมาก ปูตินถูกวางตัวให้เป็นทายาททางการเมืองของ บอริส เยลท์ซิน (Boris Yeltsin) แต่ในกรณีกรณีของสตาลินนั้น เลนินผู้นำคนแรกของโซเวียตเองก็ไม่ไว้วางใจสตาลินนัก หลังจากเขาป่วยด้วยเส้นเลือดในสมองแตกได้มีจดหมายของเลนินเข้าสู่สภาแห่งรัฐหลายฉบับ ในปลายปี ค.ศ. 1922 ซึ่งรู้จักกันในชื่อ “พินัยกรรมของเลนิน” (Lenin’s Testament)

โดยมีเนื้อหาวิพากษ์วิจารณ์การทำงานของพรรค และเน้นย้ำในการเตือนให้เห็นถึงอำนาจในมือของสตาลินที่มีอำนาจมากเกินไปในตำแหน่งเลขาธิการใหญ่จึงต้องการให้สตาลินออกจากตำแหน่งนี้ ในทางกลับกันเขาพูดกึ่งยกยอถึง เลออน ทรอทสกี (Leon Trotsky) ว่าเขามีความสามารถมาก และยังบอกอีกว่าอำนาจของทั้งสองคน (สตาลิน, ทรอทสกี) อาจทำให้เกิดความขัดแย้งกันได้อย่างไม่ได้ตั้งใจ [2]

เมื่อเลนินเสียชีวิตในปี ค.ศ. 1924 สตาลินและทรอตสกีก็เกิดการแย่งชิงอำนาจกัน ผลคือสตาลินได้รับการสนับสนุนจากสมาชิกในพรคมากกว่าจึงได้ขึ้นเป็นผู้นำ ทำให้พินัยกรรมของเลนินถูกห้ามไม่ให้พูดถึง และไม่ได้รับการการตีพิมพ์จนกระทั่ง นิกิตา ครุฟชอฟ (Nikita Khrushchev) ขึ้นมาเป็นผู้นำในปี ค.ศ. 1955 สตาลินยังได้แย่งอำนาจทรอตสกีจนต้องลี้ภัย สุดท้ายทรอตสกีได้ถูกลอบสังหารจนเสียชีวิตที่เม็กซิโกในปี ค.ศ. 1940 ซึ่งตรงกับสิ่งที่เลนินคาดไว้

เมื่อสตาลินเข้ามาปกครองรัสเซีย แนวทางสังคมนิยมแบบลัทธิมากซ์-เลนิน Marxism-Leninism ก็เปลี่ยนไปมาก ถึงแม้ว่าสตาลินมักอ้างถึงความต่อเนื่องจากเลนิน แต่ในทางปฏิบัติแนวทางปฏิบัติแตกต่างกับลัทธิมากซ์-เลนินมาก เนื่องจากสตาลินนั้นเป็นสายนักปฏิบัติ แต่เลนินเป็นสายปัญญาชน ทำให้สตาลินได้นำแนวคิดของเลนินมาปรับและต่อยอดเพื่อสร้างอำนาจและเสถียรภาพทางการเมืองให้กับสตาลิน ซึ่งหลายอย่างก็ขัดกับหลักการมากซ์-เลนิน

การสร้างลัทธิบูชาตัวบุคคล (Cult of Personality) เป็นอีกหนึ่งเครื่องมือการปกครองของสตาลินที่สร้างให้ตัวผู้นำเป็นส่วนหนึ่งของชาติ มีการชูสตาลินเป็น “บิดาของชาติ” จากการที่สตาลินมักอ้างถึงความสนิทสนมและความต่อเนื่องจากเลนินทำให้เลนินก็ถูกยกยอในฐานะของผู้ก่อตั้งสหภาพโซเวียต ซึ่งขัดกับเพลงชาติโซเวียตในขณะนั้นคือ The Internationale (Интернационал: 1918-1943)

ในชื่อเพลงนั้นแปลตรงตัวได้ว่าความเป็นสากล ซึ่งในเนื้อหาของเพลงนั้นมีการกล่าวถึงการต่อสู้ทางชนชั้นหรือการต่อสู้จากการกดขี่ทั่วโลก, การสร้างโลกใหม่ที่เท่าเทียม ในการต่อสู้นั้นต้องอาศัยมนุษย์นิยม เพราะไม่มีใครจะนำพาความเท่าเทียมมาให้เรา ไม่มีพระเจ้า (God) ไม่มีกษัตริย์ (Tsar : King) ไม่มีผู้เลิศล้ำ (Hero)  มีแต่ชนชั้นกรรมาชีพเท่านั้นที่จะนำพาความเท่าเทียมมาสู่โลก และยังขัดกับความต้องการของเลนินที่เขาไม่ต้องการให้สร้างอนุสาวรีย์เพื่อระลึกถึงเขา

มองการเมืองโซเวียตอย่างง่ายผ่านงานวรรณกรรมที่วิพากษ์วิจารณ์การปกครองสตาลินได้อย่างดีคือ Animal Farm และ1984 [3] ของ George Orwell แต่ในด้านการปกครองที่ชัดเจนมากคือ Animal Farm โดยเล่าผ่านการสมมติตัวละครทางประวัติศาสตร์รัสเซียในช่วงการปฏิวัติรัสเซียให้เป็นสัตว์ ที่ยึดอำนาจจากมนุษย์และพยายามสร้างความเท่าเทียมกันให้สัตว์ในฟาร์มทุกตัว

แต่สุดท้ายการปกครองของหมูนโปเลียน (หรือสตาลิน) ก็ไม่ได้เท่ากันจริงๆ เพราะหมูนโปเลียนและหมูพรรคพวกนั้นก็ไม่ได้ทำงานหนักเช่นสัตว์ตัวอื่น ไม่ได้อดอยากเหมือนสัตว์ตัวอื่นจนเกิดคที่เป็นหัวใจของเรื่องว่า “สัตว์ทุกตัวเท่าเทียมกัน แต่สัตว์บางตัวเท่าเทียมมากกว่าตัวอื่น” ซ้ำยังอยู่ดีกินดีกว่าตัวอื่น ที่ร้ายที่สุดคือพวกสัตว์ถูกปลูกฝังว่ามนุษย์นั้นชั่วร้ายมากแต่ในที่สุด

แต่นโปเลียนกลับทำการค้าและเป็นมิตรกับมนุษย์ อันนี้อาจเทียบได้กับสตาลินช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 หรือก่อนหน้านั้นที่สตาลินเจรจากับฮิตเลอร์ (เยอรมนี) ในสนธิสัญญาโมโลตอฟ-ริบเบนโทรป (Molotov-Ribbentrop Pact) ในระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 และหลังจากนั้นสตาลินก็เป็นมิตรกับฝ่ายสัมพันธมิตรซึ่งล้วนเป็นชาติทุนนิยม

และยังมีประเด็นการใส่ความหมูสโนวบอล เหมือนกับการใส่ร้ายทรอสต์กีของสตาลินในกรณีการสังหารเซอร์ไก เคียรอฟ (Sergei Kirov) ซึ่งเชื่อกันว่าสตาลินได้บงการลอบให้หน่วยตำรวจลับฆ่าเขา เพราะกลัวว่าความนิยมที่เคียรอฟได้รับความนิยมขึ้นจะสั่นคลอนอำนาจของสตาลิน และโยนความผิดให้กับทรอตสกี นี่คือส่วนหนึ่งของ The Great Purge ซึ่งเป็นการกวาดล้างศัตรูทางการเมืองของสตาลินโดยอาศรัยหน่วยตำรวจลับเป็นองค์กรสำคัญที่สอดส่องพฤติกรรมของชาวโซเวียต

ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 นั้นถึงแม้ว่าจะมีสนธิสัญญา Molotov-Ribbentrop Pact แต่ก็มีความหวาดระหว่างกันระหว่างเยอรมันและโซเวียตจนปี ค.ศ. 1941 เยอรมนีได้ฉีกสัญญา Molotov-Ribbentrop และบุกโซเวียตในยุทธการบาบารอสซา (Operation Barbarossa) เพื่อพิชิตยุโรปทั้งหมด (ในโซเวียตเองเรียกว่าสงครามพิทักษ์มาตุภูมิ)

หากพิจารณาในช่วงระหว่างสงครามนั้นเห็นได้ว่าในปี ค.ศ. 1944 ที่โซเวียตอยู่ในแนวรบตะวันออกของเยอรมนีนั้น โซเวียตได้เปลี่ยนเพลงชาติจาก The Internationale เป็น Gimn Sovietskogo Soyuza ที่ได้อธิบายไปข้างต้นว่าเป็นเพลงที่ชาตินิยมมาก ส่วนหนึ่งเพื่อปลุกกระแสชาตินิยมให้ชาวโซเวียตเข้าร่วมสงครามและร่วมการขับไล่เยอรมนี และการยึดโยงประเทศกับความเป็นพ่อแม่หรือปิตุภูมิแลมาตุภูมินั้น ส่วนหนึ่งมาจากความล้มเหลวในการปลูกฝังลัทธิบูชาตัวบุคคลที่ค่อนข้างล้มเหลวในโซเวียต (แต่ได้ผลมากในจีน สังเกตได้จากการเข้าร่วมของมวลชนในการปฏิวัติวัฒนธรรม โดยเฉพาะ Red Guard)

ความล้มเหลวส่วนหนึ่งนี้มาจากการกวาดล้างครั้งใหญ่ (The Great Purge) เป็นการปราบปรามศัตรูทางการเมืองของสตาลิน ช่วงทศวรรษ 1930 ฉะนั้น การปลูกฝังความชาตินิยมในช่วงสงครามจึงต้องยึดโยงความเป็นญาติกับประเทศจึงออกมาในรูปแบบวาทกรรม “มาตุภูมิหรือปิตุภูมิ” เพื่อให้ประชาชนออกมาต่อสู้เพื่อแผ่นดินพ่อแผ่นดินแม่ของพวกเขา

สงครามโลกรั้งที่ 2 จบลงพร้อมกับชัยชนะของฝ่ายสัมพันธมิตร โซเวียตเองก็เป็นหนึ่งในชาติที่ได้รับชัยชนะจากสงครามโลกครั้งที่ 2 ทั้งยังทำให้โซเวียตขึ้นมาเป็นมหาอำนาจคู่กับสหรัฐอเมริกา แทนที่มหาอำนาจในยุโรปตะวันตก แต่การขึ้นมาเป็นมหาอำนาจคู่กับสหรัฐฯ ก็ก่อให้เกิดสถานการณ์ตึงเครียดในสงครามเย็น สตาลินมีบทบาทในการสร้างความตึงเครียดให้กับโลกมาก เช่น การปิดล้อมเบอร์ลิน ช่วงปี ค.ศ. 1948-1949 ส่งผลให้เกิดความตึงเครียดระหว่างเบอร์ลินในระยะยาว หรือในสงครามเกาหลีที่ยังส่งผลให้เกิดความตึงเครียดระหว่างเกาหลีเหนือใต้จนถึงปัจจุบัน

การจับมือของสามผู้นำฝ่ายสัมพันธมิตรประกอบด้วย วินสตัน เชอร์ชิล (ซ้าย) นายกรัฐมนตรีอังกฤษ, แฮร์รี ทรูแมน ประธานาธิบดีสหรัฐฯ (กลาง) และโจเซฟ สตาลิน ผู้นำโซเวียต ระหว่างการประชุมที่พอตส์ดัม ประเทศเยอรมนี
การจับมือของสามผู้นำฝ่ายสัมพันธมิตรประกอบด้วย วินสตัน เชอร์ชิล (ซ้าย) นายกรัฐมนตรีอังกฤษ, แฮร์รี ทรูแมน ประธานาธิบดีสหรัฐฯ (กลาง) และโจเซฟ สตาลิน ผู้นำโซเวียต ระหว่างการประชุมที่พอตส์ดัม ประเทศเยอรมนี (AFP PHOTO)

ในส่วนที่พาโลกเข้าสู่ความตึงเครียดของสตาลินเป็นส่วนที่มีความคล้ายคลึงกับปูตินมาก เพราะการเข้ารุกรานยูเครนของปูตินก็ได้นำพาความตึงเครียดสู่โลกคล้ายกับสตาลิน สงครามยังเป็นเครื่องมือหนึ่งที่ปูตินใช้สร้างความกลัวเพื่อเป็นอีกเครื่องมือหนึ่งในการรวมอำนาจของปูติน โดยมีการปราบปรามผู้ต่อต้านรัฐบาลโดยการใช้กฎหมาย มีการควบคุมสื่อไม่ให้วิพากษ์วิจารณ์การทำสงครามของรัฐบาล แม้ว่าการใช้ความกลัวในศตวรรษที่ 21 จะไม่เข้มข้นและรุนแรกเท่าศตวรรษก่อนหน้า

สิ่งที่คล้ายกันของผู้นำสองคนนี้อีกข้อคือทั้งสตาลินและปูตินได้ปรับเปลี่ยนนโยบายจากหน้ามือเป็นหลังมือกับผู้นำยุคก่อนหน้า ในกรณีของสตาลินได้กล่าวไว้แล้ว ส่วนกรณีของปูตินเขาแทบไม่สนใจสถานะการเป็นรัฐเอกราชของยูเครนที่ผู้นำรุ่นก่อนหน้าได้ลงนามในความตกลงการจัดตั้งเครือรัฐเอกราช (Commonwealth of Independent States : CIS) เห็นได้จากการที่ปูตินพยายามทำให้ประเทศในยุโรปตะวันตกกลับเข้ามาเป็นเขตอิทธิพลของรัสเซีย

ทั้งยังกันท่าไม่ให้ประเทศในยุโรปตะวันตกเข้าร่วมกับองค์กรสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ (NATO) เสมือนว่าสงครามเย็นยังไม่จบลงหรือเขาต้องการให้โลกเข้าสู่สงครามเย็นอีกครั้ง

เห็นได้ว่าความเป็นอำนาจนิยมของรัสเซียสมัยสตาลินและปูตินมีความคล้ายคลึงกันหลายจุด ทั้งการปกครองในประเทศและด้านการต่างประเทศที่เริ่มแข็งกร้าว แต่ด้วยบริบทต่างกันการใช้อำนาจและความหวาดกลัวในศตวรรษที่ 21 มีความแตกต่างกับการปกรองสมัยสตาลินมาก เนื่องจากรัฐบาลสามารถควบคุมสื่อได้อย่างเบ็ดเสร็จสตาลินจึงมีอำนาจในการกำหนด “ความจริง” ในสังคมได้

แต่ในศตวรรษที่ 21 ประชาชนสามารถเข้าถึงสื่อได้จากหลากหลายช่องทาง แม้ว่ารัฐบาลปูตินจะสามารถควบคุมสื่อกระแสหลักได้ทั้งหมด แต่ก็ไม่อาจผูกขาดการกำหนดความจริงเพียงฝ่ายเดียวได้ นี่จึงเป็นสาเหตุให้ชาวรัสเซียจำนวนไม่น้อยออกมาต่อต้านรัฐบาลหลายเหตุการณ์ แต่ก็ยังมีผู้คนอีกจำนวนไม่น้อยที่ยังคงสนับสนุนปูติน

อ่านเพิ่มเติม : 

สำหรับผู้ชื่นชอบประวัติศาสตร์ ศิลปะ และวัฒนธรรม แง่มุมต่าง ๆ ทั้งอดีตและร่วมสมัย พลาดไม่ได้กับสิทธิพิเศษ เมื่อสมัครสมาชิกนิตยสารศิลปวัฒนธรรม 12 ฉบับ (1 ปี) ส่งความรู้ถึงบ้านแล้ววันนี้!! สมัครสมาชิกคลิกที่นี่


เชิงอรรถ :

[1] Alec Nove, Stalinism (London, The Historical Association: 1987), p. 15.

[2] Vladimir Lenin, “Letter to Congress,” Marxists Internet Archive, https://www.marxists.org/archive/lenin/works/1922/dec/testamnt/congress.htm (accessed April 20, 2022).

[3] ดูใน จอร์จ ออร์เวล, แอนิมอล ฟาร์ม: Animal Farm, แปลโดย สรวงอัปสร กสิกรานันท์ (กรุงเทพฯ: แอร์โรว์, 2561). และ จอร์จ ออร์เวล, 1984: หนึ่ง-เก้า-แปด-สี่, แปลโดย รัศมี เผ่าเหลืองทอง, และ ปฏิพทธ์เผ่าพงศ์, พิมพ์ครั้งที่ 7 (กรุงเทพฯ: สมมติ, 2563).

อ้างอิง :

Alec Nove. 1987. Stalinism. London: The Historical Association.

Vladimir Lenin. “Letter to Congress.” Marxists Internet Archive. 20 April 2022 ที่เข้าถึง. https://www.marxists.org/archive/lenin/works/1922/dec/testamnt/congress.htm.

โกวิท วงศ์สุรวัฒน์. 2550. การเมืองการปกครอง “รัสเซีย”. กรุงเทพฯ: วาสนา.

จอร์จ ออร์เวล. 2563. 1984: หนึ่ง-เก้า-แปด-สี่. พิพม์ครั้งที่ 7. แปลโดย และ ปฏิพัทธ์ เผ่าพงศ์, รัศมี เผ่าเหลืองทอง. กรุงเทพฯ: สมมติ.

—. 2561. แอนิมอล ฟาร์ม. แปลโดย สรวงอัปศร กสิกรานันท์. กรุงเทพฯ: แอร์โรว์.

สัญญชัย สุวังบุตร และ อนันต์ชัย เลาหะพันธุ. 2562. ทรรปณะประวัติศาสตร์ยุโรปในคริสต์ศตวรรษที่ 20. พิมพ์ครั้งที่ 3. กรุงเทพฯ: แสงดาว.


เผยแพร่ในระบบออนไลน์ครั้งแรกเมื่อ 6 พฤษภาคม 2565