“ความสว่าง” ยามค่ำ เมื่อแรกมีไฟฟ้าในสยาม เปลี่ยนกรุงเทพเป็น “เมืองกลางคืน”

โรงแรมโทรคาเดโร กรุงเทพ สถานบันเทิง
โรงแรมโทรคาเดโร สถานบันเทิงยามค่ำคืนของ กรุงเทพฯ (ภาพจาก วิลาส บุนนาค 1910-2000. กรุงเทพฯ, 2000 ใน "กรุงเทพฯ ยามราตรี" (สำนักพิมพ์มติชน, 2557) หน้า 6)

อิทธิพล “ความสว่าง” ยามค่ำ เมื่อแรกมี “ไฟฟ้า” ในสยาม เปลี่ยน กรุงเทพฯ เป็น “เมืองกลางคืน”

ในหนังสือ กรุงเทพฯ ยามราตรี โดยวีระยุทธ ปีสาลี ได้ศึกษาประวัติศาสตร์สังคมของคนในกรุงเทพฯ ตั้งแต่รัชกาลที่ 5 ถึงสงครามโลกครั้งที่ 2 โดยมีข้อเสนอว่า

กรุงเทพฯ ได้เข้าสู่การเป็น “เมืองกลางคืน” อย่างเต็มตัวเมื่อทศวรรษ 2460 โดยการศึกษาได้อาศัยกรอบแนวคิดทางมานุษยวิทยา ที่ศึกษากลางคืนในฐานะเป็นพรมแดน (Night as Frontier) ที่อุดมไปด้วยทรัพยากรพร้อมให้เข้ามาแสวงหาผลกำไร ที่ไม่ได้แตกต่างไปจากการล่าอาณานิคม Colonization of the Night ซึ่งพบว่า ทรัพยากรของประเทศไทยยามราตรีในช่วงเวลานั้นถูกสำรวจน้อยมาก

การล่าอาณานิคมยามราตรีเริ่มต้นจากหลังสนธิสัญญาเบาริง ซึ่งเป็นผลให้วิทยาการภูมิปัญญาของชาติตะวันตกทะลักทะลายกำแพงเมืองเข้ามาอย่างมหาศาล เป็นผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทั้งการเมือง สังคม เศรษฐกิจ วัฒนธรรม และภูมิปัญญา เห็นได้จากที่ กรุงเทพฯ แต่เดิมเป็นเมืองแห่งน้ำ ก็ไปเปลี่ยนเป็นเมืองบก

หนึ่งในปัจจัยที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง เกิดจากชาวต่างชาติต้องการพักผ่อนหย่อนใจ จึงได้เกิดการตัดถนนหนทางเพื่อสะดวกต่อการท่องเที่ยว ทำให้กำแพงเมืองเป็นสิ่งที่เกะกะ ผู้คนเริ่มสร้างบ้านเรือนตามถนนหนทาง เกิดการนำเข้าวิทยาการที่เรียกว่า “ไฟฟ้า” เข้ามาแทนการจุดไฟเพื่อให้ความสว่าง

วัดชนะสงคราม ภาพถ่ายสมัยรัชกาลที่ 5 บริเวณหน้าวัดมีรถรางไฟฟ้าวิ่งบนถนนจักรพงษ์

แต่เดิมความสว่างเกิดจากการจุดเชื้อเพลิง ซึ่งสถานที่ที่สว่างที่สุดคือพระบรมมหาราชวัง โดยความสว่างนั้นยิ่งไกลพระบรมมหาราชวังมากเท่าใด บ้านเรือนเหล่านั้นก็ค่อย ๆ มืดลงตามลำดับ ฉะนั้นเมื่อนำเข้าไฟฟ้า จึงทำให้ชาวตะวันตกและชนชั้นนำเจ้านายต่างแย่งความเป็นเจ้าของสัมปทานในการให้ความสว่าง ซึ่งความสว่างจากไฟฟ้าเป็นปัจจัยสำคัญ ที่ทำให้เวลากลางวันและเวลากลางคืนพร่าเลือนไม่ชัดเจนอีกต่อไป

การรับภูมิปัญญาจากชาติตะวันตก ได้ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงความคิดเรื่องของ “กาลเทศะ” จากแต่เดิมชาวกรุงเทพฯ ยึดบรรทัดฐานแนวคิดแบบคติไตรภูมิการเวียนวายตายเกิดในสังสารวัฎ (ชาตินี้และชาติหน้า) แต่เมื่อได้รับภูมิปัญญาจากชาติตะวันตกเรื่องการทำชาตินี้ให้ดีที่สุด จึงทำให้ความคิดเช่นนี้ส่งผลต่อเรื่องอื่น ๆ ที่นอกจากการทำบุญแล้วต้องรอผลในชาติหน้าเพียงอย่างเดียว รวมไปถึงเรื่องของเวลาแบบมาตรฐาน (นาฬิกา) ได้ทำให้การนับเวลาเปลี่ยนไป เป็นผลให้การใช้ชีวิตหรือการใช้ชีวิตในยามค่ำคืนเริ่มเปลี่ยนไป

กอปรกับการเข้ามาของไฟฟ้าและวัฒนธรรมตะวันตกได้ทำให้เกิดกิจการใหม่ ๆ ที่เปลี่ยนวิถีชีวิตของคนกรุงเทพฯ ไปอย่างมากมายก่ายกอง และสภาพของกรุงเทพฯ ก็เริ่มกลายเป็น “เมืองกลางคืน”

การก่อเกิดวัฒนธรรมใหม่ในยามค่ำคืน แต่เดิมชาวกรุงเทพฯ ทั้งไพร่และทาส ต่างทำงานหนักในช่วงเช้าและกลางวัน ส่วนในช่วงกลางคืนเป็นเวลานอนเพียงเท่านั้น เพื่อผ่อนคลายจากการโหมงานหนัก แต่เมื่อสังคมมีการเปลี่ยนแปลง ได้ทำให้ในช่วงเวลากลางคืนถูกส่องสว่างด้วยวัฒนธรรมใหม่ ๆ ที่มาพร้อมกับแสงสว่างในยามค่ำคืน ไม่ว่าจะเป็น โรงบ่อนพนัน คลับสโมสร ซ่องโสเภณี สวนสาธารณะ ร้านภัตตาคาร โรงภาพยนตร์ เป็นต้น

สิ่งเหล่านี้ได้เปลี่ยนวิถีชีวิตผู้คนจากเวลากลางคืนจากตะวันตกดินหมายถึงเวลาเข้านอน สู่การพักผ่อนหย่อนใจ นอกจากนี้เวลากลางคืนได้เป็นช่วงเวลาให้ชนชั้นล่างแสวงหากำไรด้วย การทำงานยามราตรีต่อเนื่องจากการทำงานในกลางวันเพื่อหารายได้ให้ครอบครัวตัวเองเพิ่มมากขึ้น ส่วนชนชั้นเจ้านายและขุนนางราชการอาศัยการมีทุนทรัพย์เป็นที่ตั้ง ก็สามารถสร้างกิจการในยามค่ำคืนเพื่อหารายได้อย่างมากมายดังที่ยกตัวอย่างมาข้างต้น

โรงหนังญี่ปุ่น โรงหนังในอดีต, ที่มา : หลักหนังไทย (ภาพจาก เว็บไซต์พิพิธบางลำพู http://banglamphumuseum.treasury.go.th/news_view.php?nid=104)

วิถีชีวิตที่เปลี่ยนไป เมื่อ “ความสว่าง” ส่องไปสถานที่ที่มืดมิด ได้ทำให้เกิดกิจกรรมมากมายที่ส่งผลให้วิถีชีวิตทั้งในเรื่องส่วนตัวและสาธารณะเปลี่ยนไป อาทิ เรื่องชุดนอน ชุดออกงานสังสรรค์ เป็นต้น โดยที่สังคมได้สร้างบรรทัดฐานให้คำนึงว่าอะไรเหมาะสม อะไรไม่เหมาะสม

นอกจากนี้ สภาวะกลางคืนได้ทำให้วิถีชีวิตของผู้คนเปลี่ยนไป จากแต่เดิมความมืดเป็นเรื่องของสิ่งชั่วร้าย ภูตผีปีศาจ สู่การออกไปพักผ่อนหย่อนใจในช่วงเวลากลางคืน ซึ่งเป็นผลให้ค่านิยมต่าง ๆ ในสังคมกรุงเทพฯ เปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก

ไม่ว่าจะเป็นการที่ผู้หญิงและผู้ชายสามารถถูกเนื้อต้องตัวกันในที่สาธารณะได้ (กรณีโรงภาพยนตร์หรือการเต้นรำ) การออกไปรับประทานอาหารข้างนอกที่มีดนตรี การนิยมชมชอบระบำโป๊ (สะท้อนให้เห็นการเปลี่ยนแปลงทางศีลธรรมแบบเดิม) หรือแม้กระทั่งสถานะเวลากลางคืนเป็นสิ่งที่เปรียบเหมือนสวิตช์ที่เปิดตัวตนทางอัตลักษณ์ให้ออกมาจากกลางวัน ซึ่งถูกครอบงำด้วยกฏระเบียบ การทำงาน อาทิ กรณีการรักร่วมเพศ (ในสมัยนั้น) จะใช้เวลากลางคืนซึ่งเปรียบดั่งการหลุดพ้นจากการครอบงำหรือจับจ้องของสังคมแสดงตัวตนอัตลักษณ์ออกมา

การเกิดวัฒนธรรมใหม่ในยามค่ำคืน ได้ทำให้เกิดการปะทะขัดแย้งกันของชนชั้นต่าง ๆ เช่น โรงภาพยนตร์ที่พวกผู้ลากมากดีจะซื้อที่นั่งราคาแพง เพื่อแสดงแสนยานุภาพถึงความแตกต่างระหว่างชนชั้น เช่นเดียวกับกรณีการตัดถนน ได้ทำให้เกิดค่านิยมการขับรถยนต์ ที่ชนชั้นสูงจะขับไปตามถนนโดยเปิดประทุนรถ เพื่อแสดงความมั่งมีของชนชั้นตน เพื่อมองชนชั้นล่างที่อาศัยอยู่ตามริมถนน รวมไปถึงคลับสโมสรที่จำกัดเฉพาะกลุ่มที่เป็นชนชั้นเดียวกันเท่านั้น

แต่ขณะเดียวกันในช่วงเวลานั้นก็ได้เกิดชนชั้นใหม่ขึ้นมา นั่นคือ ชาวชนชั้นกลางที่ได้ประสานวัฒนธรรมต่าง ๆ จนเกิดเป็นวัฒนธรรมที่เป็นที่รู้จักแพร่หลาย และกลายมาเป็นค่านิยมของคนกรุงเทพฯ

อ่านเพิ่มเติม :

สำหรับผู้ชื่นชอบประวัติศาสตร์ ศิลปะ และวัฒนธรรม แง่มุมต่าง ๆ ทั้งอดีตและร่วมสมัย พลาดไม่ได้กับสิทธิพิเศษ เมื่อสมัครสมาชิกนิตยสารศิลปวัฒนธรรม 12 ฉบับ (1 ปี) ส่งความรู้ถึงบ้านแล้ววันนี้!! สมัครสมาชิกคลิกที่นี่


อ้างอิง :

วีระยุทธ ปีสาลี. (2557).  กรุงเทพฯ ยามราตรี เเหล่งรมณีย์เเละเภทภัยของคนกรุง สมัยรัชกาลที่ 5 – สงครามโลกครั้งที่ 2. กรุงเทพฯ : มติชน.


เผยแพร่ในระบบออนไลน์ครั้งแรกเมื่อ 1 เมษายน 2565