ผู้เขียน | ภาษิต จิตรภาษา |
---|---|
เผยแพร่ |
“อีคนสามแยก” เป็น “คำด่า” ในสมัยหนึ่ง แต่คำด่าว่า “สามแยก” ในสมัยนี้อาจมีปัญหาว่า “สามแยกไหน” เพราะเดี๋ยวนี้มันมีเยอะเหลือเกิน สามแยกเกษตร, สามแยกท่าพระ, สามแยกไฟฉาย ฯลฯ.
แต่ก่อนนี้ไม่มีหรอกครับ เพราะมันมีสามแยกเดียว
คือ สามแยกตรงหน้าโรงหนังนิวโอเดียน หรือที่เรียกกันในภายหลังนี้ว่า “สามแยกเฉลิมบุรี” [ปัจจุบันคือ สามแยกเจริญกรุง] นี้แหละครับ เพราะถนนแต่ก่อนนี้ไม่ได้มีตัดผ่านกันมากมายเหมือนอย่างเดี๋ยวนี้ อันจะทำให้เกิดสามแยกขึ้น
สามแยกนี้มันเกิดขึ้นก็เพราะในสมัยรัชกาลที่ 4 ท่านตัดถนนเจริญกรุงผ่านตลาดน้อย, วัดตะเคียน (วัดมหาพฤฒาราม), บ้านทวาย, บ้านใหม่, วัดพญาไกร ไปถึงบางคอแหลม-ถนนไปสุดตรงริมแม่น้ำตรงบางคอแหลมจึงมีชื่อใหม่เกิดขึ้นว่า “ถนนตก” (และเพราะเป็นสายแรกและสายใหม่ ฝรั่งจึงเรียก New Road)
และเมื่อสมัยรัชกาลที่ 5 ท่านตัดถนนเยาวราชไปจดกันเป็นที่ชายธงอีตรงหน้าโรงหนังนิวโอเดียนนั่น จึงเกิดเป็นสามแยกขึ้น
อย่างไรก็ตาม ต่อมาจะเพื่อให้กระชับ-แน่นอนขึ้นหรืออย่างไรไม่ทราบ ก็มีคำ “ประดู่” มาต่อท้ายเป็น “สามแยกต้นประดู่” ทั้งนี้ก็เพราะมันมีต้นประดู่ต้นหนึ่งอยู่อีตรงที่เป็นธนาคารเอเชีย [ปัจจุบันคือ ธนาคารยูโอบี] ต่อมาก็เรียกกันไปอีกอย่างคือเรียก “สามแยกเฉลิมบุรี” [ปัจจุบันคือ สามแยกเจริญกรุง] ก็เพราะมันมีโรงหนังเฉลิมบุรีอยู่ตรงนั้นนั่นเอง จะว่าที่เปลี่ยนไปเพราะต้นประดูถูกโค่น หรือตายไปแล้วก็ไม่เชิง เพราะเมื่อหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 นั้นผมมาดูหนังที่เฉลิมบุรี ยังเห็นต้นประดู่อยู่เลย และโรงพักสามแยกเป็นเรือนไม้ก็ตั้งอยู่ในบริเวณนั้นด้วย.
คงจะเป็นเพราะว่าโรงหนังเฉลิมบุรีมีกิจกรรมที่โด่งดังเป็นที่สะดุดตาคนรุ่นใหม่มากกว่า แต่คนรุ่นเก่าอย่างเช่น พระยาอนุมานราชธนท่านก็ยังเรียก “สามแยกต้นประดู่” อยู่ (หนังสือฟื้นความหลังของท่าน)
อันที่จริงโรงหนังเฉลิมบุรีนี้ก็เพิ่งมาเปลี่ยนเอาในยุคเฉลิมกรุงนี่เอง จะเห็นว่าโรงหนังต่างๆ ในยุคนั้นจะมีคำ “เฉลิม” นำหน้ากันไปหมด, เฉลิมนคร (หัวถนนวรจักร), เฉลิมเวียง (บางรัก), เฉลิมธานี (นางเลิ้ง), เฉลิมโลก (ประตูน้ำ ถนนเพชรบุรีตัดใหม่และสะพานลอยทับไปเสียแล้ว) เดิมของเขาชื่อ “สิงคโปร์” (คู่กับปีนังที่บางลำภู), หลักฐานที่หลงเหลือให้เห็นอยู่ก็คือ ร้านขายลอดช่องสมัยใหม่ที่ทำด้วยแป้งมันสำปะหลัง อันตั้งชื่อตามโรงหนังว่า ร้าน “สิงคโปร์โภชนา” ยังมีอยู่ตรงปากตรอกโรงหนังด้านธนาคารเอเชีย-ใกล้กันกับร้านยาขมคั้นกี่น้ำเต้าทองนั่นแหละ
เป็นธรรมเนียมอย่างเหลือเกินละครับ ย่านโรงหนังนี้ที่จะต้องมีร้านค้าต่างๆ ตั้งชื่อตามโรงหนัง โรงหนังสิงคโปร์นี่ก็เหมือนกันพอเปลี่ยนชื่อมาเป็นเฉลิมบุรีแล้วก็มีร้านค้าตั้งชื่อเลียนแบบเป็นแถว “เฉลิมบุรีโภชนา” เอย, “เฉลิมบุรีซักแห้ง” เอย ฯลฯ ร้านซักแห้ง ฟอกหมวก ละเป็นดงเลย ที่แถวนั้น
ขอย้อนกลับมาสามแยกอย่างเดิม ไม่ได้เกลื่อนแต่โรงหนังนะครับ สำนักโสเภณีก็เกลื่อน, ยิ่งกว่าโรงหนังเป็น 10 เท่ากระมัง มีทั้งสำนักของคนจีนและคนไทย สำนักของคนไทยนั้นจะเป็นของใครบ้างมิได้มีใครบันทึกไว้ จะรู้ได้ก็แต่สำนักของยายแฟง เพราะยายแฟงแกทำมาค้าได้แกก็เอาเงินมาสร้างวัด จึงได้มีหลักฐานเหลือมาให้รู้ และวัดที่แกสร้างนั้นแกก็มิได้ตั้งชื่อ ชาวบ้านก็เลยเรียกตามชื่อของแกว่า “วัดใหม่ยายแฟง” แล้วภายหลังจึงได้มาตั้งชื่อกันเพราะๆ ว่า “วัดคณิกาผล” ซึ่งก็มีความหมายว่า ประโยชน์ที่ได้จากนางคณิกา
เพราะในพื้นที่สามแยกมันมีกิจการเช่นนี้ดกดื่นนั่นเอง จึงได้เกิดคำ “อีคนสามแยก” ขึ้น วลีนี้เขามีเป็นชุดของเขานะครับ ล้วนความหมายเดียวกันทั้งนั้น คือ “อีนัมเบอร์วัน, อีขันล้างก้น, อีคนสามแยก” (ข้อมูลนี้ได้จากอาจารย์จุลทัศน์ พยาฆรานนท์), ความจริงจุดกำเนิดของมันคงจะต่างวาระกัน แต่เนื่องจากมันสัมผัสคล้องจองกันจึงได้จับมาเข้าชุดกัน พึงสังเกตว่าคำ “นัมเบอร์วัน” นั้นเป็นคำฝรั่งอยู่ แต่ก็ไม่ได้ผิดยุคสมัย เพราะสามแยกเกิดขึ้นเมื่อสมัยรัชกาลที่ 5 เมื่อมีถนนเยาวราช และในรัชกาลที่ 5 เราก็รู้ภาษาฝรั่งกันแล้ว พระยาภาสกรวงศ์ (พร บุนนาค) ท่านแต่งโคลงกลอนก็มีภาษาฝรั่งปนแล้ว
นัมเบอร์วัน ก็คือ นัมเบอร์ 1 เมื่อเป็นนัมเบอร์ 1 เสียแล้ว- – -จะเปรียบไปก็เหมือนท่านสมภาร ใครเข้าวัดมาถ้านิมนต์องค์เดียว ก็ต้องถูกท่านสมภาร ต่อเมื่อต้องการหลายองค์นั้นแหละ จึงจะเฉลี่ยไปตามบรรดาลูกวัด เช่นนั้นก็อย่าได้สงสัยเลยว่านัมเบอร์ 1 นั้นงานจะไม่ชุกกว่าคนอื่น
ขันล้างก้น นั้นก็- – -ในโอ่งอ่างหรือถังสำหรับใส่น้ำราดส้วมหรือ ล้างก้นนั้นน่ะ จะมีสักกี่ใบ ร้อยคนพันคนเข้าไปก็ไอ้ใบเดียวนั่นแหละรับใช้ นับว่าแสบกว่าคำอื่นๆ (คำนี้ต่อไปคงมีปัญหาเพราะสมัยนี้ คนไม่ล้างก้นกันแล้ว)
เพราะฉะนั้นคำว่า “อีคนสามแยก” ก็เห็นจะไม่ต้องบรรยาย
แต่คำเหล่านี้มันสูญไปเสียก่อนคนรุ่นเรา เราจึงไม่ได้ยินกัน แม้คำ “อีสำเพ็ง” เดี๋ยวนี้ก็น้อย, ที่ยังหนาหูอยู่ก็คือ “อีดอกทอง” และก็มักย่อไปเหลือแค่ “อีดอก”
อ่่านเพิ่มเติม :
- คนไทยด่ากันว่า “เหี้ย” ตั้งแต่เมื่อใด ย้อนดูคติความเชื่อ ทำไมคนจึงเกลียดเหี้ย?
- วัฒนธรรม “คำด่า” (ในไทย) ทำไมต้อง “ดอกทอง”? คำสมัยก่อนเจ็บอย่างไร?
หมายเหตุ : บทความนี้คัดย่อจาก อนุสรณ์งานฌาปนกิจศพ คุณพ่อสันต์ จิตรภาษา 26 มกรามคม 2554 ซึ่งรวบรวมบทความของ ภาษิต จิตรภาษา (พ.ศ. 2472-2554) นามปากกาของ สันต์ จิตรภาษา ที่เคยเขียนไว้ในนิตยสารศิลปวัฒนธรรม และที่อื่นๆ
เผยแพร่ในระบบออนไลน์ครั้งแรกเมื่อ 9 มีนาคม 2565