“ค้ามนุษย์” ขบวนการค้าหญิงจีนข้ามชาติในสยาม ปรากฏหลักฐานตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5

ภาพประกอบเนื้อหา - สำเพ็ง เมื่อพ.ศ. 2452 เป็นย่านการค้า และแหล่งเที่ยวกลางคืน มีแหล่งรื่นรมณ์เกิดขึ้นจำนวนมาก ทั้งโรงโสเภณี โรงบ่อน และโรงสูบฝิ่น

ชาวจีนอพยพเข้าสู่สยามมาตลอดหลายยุคหลายสมัย ส่วนใหญ่จะเป็นแรงงานชาย ที่เป็นหญิงจะมีน้อยมาก นั่นทำให้สังคมชาวจีนในสยามขาดแคลนหญิงชาวจีน จึงนำมาสู่การค้ามนุษย์ “ค้าหญิงจีนข้ามชาติ” นำหญิงชาวจีนเข้าสู่สยาม 

ก่อน พ.ศ. 2436 หญิงจีนแทบจะไม่ได้อพยพออกจากจีนแผ่นดินใหญ่เลย การอพยพเข้ามาระหว่าง พ.ศ. 2425-2435 มีหญิงจีนมีไม่เกินร้อยละ 2-3 ของผู้อพยพชาวจีนทั้งหมด สมัยนั้นผู้ใหญ่ของตระกูลในเขตอพยพของจีนตอนใต้ ไม่ยอมอนุญาตให้ภรรยาติดตามสามีไปต่างดินแดน เพราะเกรงว่าจะสูญเสียสมาชิกของครอบครัวไปทั้งหมด สำหรับหญิงโสดด้วยแล้วยิ่งเป็นไปไม่ได้ที่จะอพยพออกจากแผ่นดินเกิด เว้นแต่หญิงจากครอบครัวที่ยากจนมาก ๆ ซึ่งถูกขายไปเป็นโสเภณี

ระยะต่อมาได้มีการเก็บรวบรวมสถิติ พบว่า ระหว่าง พ.ศ. 2443-2449 มีหญิงจีนอพยพเพียงร้อยละ 3 เท่านั้น แต่อัตราการอพยพก็ไม่เกินร้อยละ 5 และในช่วง พ.ศ. 2449-2460 การอพยพของหญิงจีนเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จนในบางครั้งถึงร้อยละ 10 ของผู้อพยพชาวจีนทั้งหมด 

หญิงจีนเหล่านี้เป็นใครมาจากไหน?

การ “ค้าหญิงจีนข้ามชาติ” ในสยาม เกิดขึ้นพร้อม ๆ กับการนำแรงงานจีนเข้ามาในประเทศ โดยเฉพาะในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 19 เป็นต้นมา หญิงจีนกลุ่มแรก ๆ ถูกนำตัวมาจากเมืองชายฝั่งทะเลของจีน ที่การซื้อขายหญิงและเด็กทำกันอย่างเปิดเผยโจ่งแจ้งเหมือนซื้อขายข้าวของธรรมดา พวกนายหน้าเป็นผู้ดำเนินธุรกิจดังกล่าว ซึ่งมีทั้งการล่อลวงและลักพาตัว

ความต้องการหญิงจีนมีมาก จนทำให้การค้าหญิงและเด็กกลายเป็นธุรกิจที่เจริญรุ่งเรืองมากทีเดียว ขบวนการค้ามนุษย์เหล่านี้มักใช้เล่ห์เหลี่ยมหลอกลวง ซึ่งพบว่า เริ่มมีมาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 และหญิงจีนที่ถูกนำเข้ามาในช่วงนี้พบว่าร้อยละ 90 จะถูกหลอกเข้ามาค้าประเวณี

จำนวนหญิงจีนที่มาขอจดทะเบียนเป็นโสเภณีใน พ.ศ. 2452 ซึ่งเป็นปีแรกที่รัฐบาลสยามอนุญาตให้จดทะเบียนโสเภณี มีหญิงจีนกว่า 1,441 คน ขณะที่หญิงไทยมาขอจดทะเบียนเพียง 950 คน หญิงญวน 58 คน และหญิงลาว 50 คนเท่านั้น นอกจากนี้ใน พ.ศ. 2468 มีหญิงจีนที่จดทะเบียนเป็นโสเภณีเพิ่มขึ้นเป็น 2,766 คน แม้ว่าหลัง พ.ศ. 2470 เป็นต้นมา จะพบว่าจำนวนหญิงโสเภณีจีนลดลง แต่มิได้หมายความว่าจำนวนหญิงจีนที่เข้ามาในสยามจะลดลงด้วย โดยใน พ.ศ. 2472 พบตัวเลขหญิงจีนเข้าสู่สยามมากถึง 131,510 คน ในจำนวนนี้อาจมีหญิงจีนที่ถูกบังคับให้ค้าประเวณีอยู่จำนวนมาก และไม่ได้จดทะเบียนเป็นโสเภณีอย่างถูกต้องตามกฎหมายของสยาม

ต่อมา รัฐบาลสยามออกพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ. 2470 ซึ่งได้เข้มงวดในการตรวจคนเข้าเมืองมากขึ้น ประกอบกับการที่ไทยได้ให้สัตยาบันสัญญาว่าด้วยห้าม “การค้าหญิงและเด็ก ค.ศ. 1910” เมื่อ พ.ศ. 2465 และนำไปสู่การออกพระราชบัญญัติการค้าหญิงและเด็กใน พ.ศ. 2471 แต่ขบวนการค้าหญิงจีนข้ามชาติยังคงมีอยู่

ค้าหญิงจีนข้ามชาติ ใช้ไทยเป็นทางผ่านสู่ประเทศเพื่อนบ้าน

นอกจากขบวนการค้ามนุษย์จะนำหญิงจีนเข้ามาขายในสยามโดยตรงแล้ว ยังดำเนินการใช้ดินแดนไทยเป็นเส้นทางผ่านหรือเป็นจุดพักชั่วคราว เพื่อนำหญิงจีนไปขายยังประเทศเพื่อนบ้าน เช่น สิงคโปร์ มลายู โดยจากรายงานของเจ้าพนักงานตรวจคนเข้าเมืองพบว่า การค้าหญิงจีนจะมีการทำงานเป็นขบวนการ ดังเห็นได้จากกรณีหนึ่ง เมื่อวันที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2467 หญิงจีนคนหนึ่งถูกพิพากษาลงโทษจำคุก 1 ปี ที่อลอร์ สตาร์ ในดินแดนมลายู ฐานนำเด็กหญิง 2 คนเข้ามายังสิงคโปร์ เพื่อให้เป็นโสเภณี โดยส่งจากจีนเข้าสู่กรุงเทพฯ แล้วส่งต่อไปยังสิงคโปร์

เด็กหญิงที่ถูกล่อลวงมานั้น คนหนึ่งถูกล่อลวงจากบ้าน และถูกนำมาขายที่ฮ่องกง อีกคนถูกพวกโจรลักพาเอามาขาย และก่อนที่ทางสิงคโปร์จะดำเนินคดีนี้ ในเดือนกรกฎาคมก็จับหญิง 2 คนได้ในฐานที่นำเด็กเข้ามาในประเทศ 5 คน โดยนำเข้ามาผ่านทางกรุงเทพฯ อีกเช่นเดียวกัน จากทั้งสองคดีทำให้หนังสือพิมพ์สะเตร์ทเอโก (หนังสือพิมพ์บางกอกไตล์, 7 มกราคม 2467) ได้ร้องขอให้รัฐบาลสยามช่วยจัดการแก้ไขในเรื่องการนำหญิงจีนเข้ามายังสิงคโปร์และปีนัง หนังสือพิมพ์ฉบับดังกล่าวแถลงไว้ว่า

“มีแต่การสหกรณ์ระหว่างประเทศเท่านั้นที่จะจัดการระงับการค้าประเภทนี้ได้ แต่เมื่อประเทศสยามก็ได้เริ่มเป็นประเทศอันเชิดหน้าในหมู่มหาประเทศที่เจริญก้าวหน้าทั้งหลายในบูรพทิศแล้ว เรื่องนี้ก็ไม่ควรเป็นของยากที่จะจัดการเสียแต่บัดนี้ เมื่อช่องโหว่ที่พวกหญิงดำเนินการได้เป็นที่ปรากฏขึ้นแล้ว”

นอกจากนี้ จากรายงานเสนาบดีกระทรวงมหาดไทย ถึงเจ้าพระยามหิธร ราชเลขาธิการ เรื่องขอส่งสถิติของหญิงที่ถูกหลอกลวงเข้ามาในกรุงเทพฯ เป็นบัญชีของตำรวจนครบาล ใน พ.ศ. 2469 ได้กล่าวถึงการค้าหญิงจีนข้ามชาติผ่านสยามไปยังประเทศเพื่อนบ้านว่า

“การไต่สวนของเจ้าพนักงาน คงได้ความถึงวิธีการค้าหญิงในเมืองจีน ซึ่งได้เป็นอยู่ในเวลานี้ แลได้มาเปลี่ยนการเดินทางลงเรือที่ฮ่องกง ข้าพเจ้าเข้าใจว่าพวกที่ได้ทำการค้าหญิงนั้น คงจะเป็นพวกเดียวกัน ส่วนการค้าหญิงเช่นนี้ก็รู้กันอยู่แล้วว่าเป็นเรื่องสามัญ เจ้าพนักงานอังกฤษทางสะเตรตเซ็ตเติลเมนต์ [อาณานิคมช่องแคบของอังกฤษ-กองบก.ออนไลน์] เคยกล่าวหาว่า หญิงจีนที่ได้เข้าไปทางดินแดนมลายูนั้น ได้ไปจากประเทศสยาม เพราะเหตุทางฝ่ายอังกฤษเขาปิดท่าเรือยังสามารถจะเป็นจริงได้ แต่ถ้าเจ้าพนักงานอังกฤษทางสะเตรตเซ็ตเติลเมนต์จะได้ช่วยเหลือบอกเรื่องเหล่านี้ไปให้เจ้าพนักงานอังกฤษที่เมืองฮ่องกงทราบ เพื่อจะได้พยายามทำลายซ่องเหล่านั้นเสียให้หมดสิ้นไป”

จะเห็นได้ว่า ขบวนการ ค้าหญิงจีนข้ามชาติ มีการใช้ดินแดนไทยเป็นทางผ่าน ส่งหญิงจีนเหล่านี้ต่อไปยังสิงคโปร์และมลายู จนทำให้เป็นที่เสื่อมเสียชื่อเสียงของสยาม ในฐานะที่เป็นตัวกลางสำหรับจัดส่งหญิงจีนข้ามชาติ ดังเห็นได้จากหนังสือพิมพ์หลักไทย (13 พฤษภาคม พ.ศ. 2471) ได้สะท้อนเรื่องนี้ไว้ว่า

“เราเองยังถูกเพื่อนบ้านที่ใกล้ครหาว่าบ้านของเราเป็นประดุจที่พักที่ชั่วคราวของสินค้าประเภทนี้ ก่อนที่จะตกไปถึงบ้านเขาอีกสถานหนึ่ง อันเป็นเรื่องไม่งามที่จะฟังเลย”

ขณะที่หนังสือพิมพ์ไทยหนุ่ม (16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2471) ก็ได้ฉายให้เห็นภาพขบวนการค้ามนุษย์เหล่านี้ไว้ว่า “บรรดาหนังสือพิมพ์ทุกฉบับได้พากันระงมร่ำร้องเรื่อยมา เมื่อคณะไทยหนุ่มยังเป็นบางกอกการเมืองอยู่ ก็เคยได้รำพรรณโทษไว้ภายใต้หัวเรื่องว่า ‘การค้าหญิง’ นอกจากนี้ทางรัฐบาลสิงคโปร์ยังได้ร้องแรกแหกกระเฌอเข้ามายังรัฐบาลสยามอีก เพราะทางสิงคโปร์ของเขาได้ห้ามอย่างเด็ดขาดแล้ว แต่พ่อค้าจำพวกนี้ได้ส่งหญิงและเด็กหญิงเข้ามาพักในสยามแล้วจึงส่งไปยังสิงคโปร์อีกต่อหนึ่ง…”

โดยสรุป การค้าหญิงจีนข้ามชาตินอกจากนำเข้าสู่สยามโดยตรงแล้ว ขบวนการค้ามนุษย์ยังใช้สยามเป็นเส้นทางผ่านไปยังประเทศเพื่อนบ้านโดยเฉพาะสิงคโปร์และมลายู ส่วนการค้าหญิงจีนในสยามนั้น เพื่อให้เป็นโสเภณีเสียส่วนใหญ่ ซึ่งมีทั้งที่สมัครใจและไม่สมัครใจ และดูเหมือนว่าส่วนใหญ่จะถูกหลอกลวงและบังคับค้าประเวณี

กรณีหญิงที่ถูกหลอกมาขายเพื่อค้าประเวณีสยามนั้นก็มีจำนวนมาก เนื่องจากมีคำร้องทุกข์ คดีความ เอกสารราชการ และหนังสือพิมพ์ เป็นหลักฐานชัดเจน หญิงจีนที่ถูกหลอกมาค้าประเวณีมีทั้งกรณีอำแเดงชุกฉ่อย อำแดงหง่อ อำแดงเซาหวั่น นางเค้ายอกสี ฯลฯ ซึ่งแต่ละกรณีก็เป็นเรื่องราวน่าหดหู่ หญิงจีนบางคนถูกกดขี่ ทุบตี กักขัง ใช้ชีวิตในสภาพความเป็นอยู่เยี่ยงทาส

บางคนต้องถึงกับจบชีวิตลง เพราะขบวนการค้ามนุษย์ ที่มอง “มนุษย์” เป็นเพียง “สินค้า”

อ่านเพิ่มเติม :

สำหรับผู้ชื่นชอบประวัติศาสตร์ ศิลปะ และวัฒนธรรม แง่มุมต่าง ๆ ทั้งอดีตและร่วมสมัย พลาดไม่ได้กับสิทธิพิเศษ เมื่อสมัครสมาชิกนิตยสารศิลปวัฒนธรรม 12 ฉบับ (1 ปี) ส่งความรู้ถึงบ้านแล้ววันนี้!! สมัครสมาชิกคลิกที่นี่


อ้างอิง :

ดารารัตน์ เมตตาริกานนท์. (กุมภาพันธ์, 2543). “ค้าหญิงจีนข้ามชาติ ในประวัติศาสตร์สังคมไทย”. ศิลปวัฒนธรรม. ปีที่ 21 : ฉบับที่ 4.


เผยแพร่ในระบบออนไลน์ครั้งแรกเมื่อ 21 กุมภาพันธ์ 2565