ที่มา | ศิลปวัฒนธรรม ฉบับมิถุนายน 2543 |
---|---|
ผู้เขียน | ทอง โรจนวิธาน |
เผยแพร่ |
ถึงสำเพ็งเก๋งตั้งริมฝั่งน้ำ แพประจำเรือเรียงเคียงขนาน เป็นซูมซอกตรอกนางจ้างประจาน ยังขับขานแซ่ศัพท์ไม่หลับลง โอ้ธานีศรีอยุธยาเอ๋ย คิดจะเชยก็ได้ชมสมประสงค์ จะลำบากยากแค้นไปแดนดง เอาป่าพงเพิงเขาเป็นเหย้าเรือน (นิราศเมืองแกลงของสุนทรภู่)
ตามข้อความในนิราศนี้ สุนทรภู่คงจะออกจากบ้านในตอนใกล้ค่ำ เมื่อล่องเรือมาถึงสำเพ็งคงจะใกล้สองยามเข้าไปแล้ว แต่ปรากฏว่า พวก “นางจ้าง” ทั้งหลายยังไม่หลับนอนกัน ยังร้องรำทำเพลงกันอยู่ ตอนที่ท่านเดินทางไปหาบิดาที่เมืองแกลงนั้น ท่านภู่ยังอยู่ในวัยหนุ่ม อาจจะเคยไป “เชย” หรือไปหาประสบการณ์จากพวกนางจ้างที่สำเพ็งมาแล้วก็ได้ จึงได้นำมาเขียนในนิราศเรื่องนี้
ในกรุงรัตนโกสินทร์ของเราในปัจจุบันนี้คิดจะเชยก็ได้ชมสมประสงค์อยู่เหมือนกัน แต่เชยมาก ๆ ดูออกจะเป็น “อกรณียกิจ” อยู่สักหน่อย…
ผู้หญิงที่เราเรียกกันว่าโสเภณีนั้น มีชื่ออื่นอีกหลายชื่อ เช่น หญิงงามเมือง หญิงคนชั่ว หญิงขายตัว นางโลม นางบังเงา ฯลฯ เราไม่อาจทราบได้ว่า คนกรุงเทพฯ ในสมัยของท่านภูเรียกผู้หญิงประเภทนี้ด้วยภาษาชาวบ้านว่าอะไร จึงได้แต่เดาเอาว่าเรียก นางจ้าง ตามในนิราศของท่านภู่
การที่นางจ้างที่สำเพ็ง “ยังขับขานแซ่ศัพท์ไม่หลับลง” นั้น ส่อให้เห็นว่านางจ้างสมัยกระโน้นมีชีวิตที่ชื่นบานหรรษากว่านางจ้างสมัยนี้ หลังสมัยสุนทรภู่มาอีก 100 ปีเศษก็ยังมีนางจ้างประเภทนี้อยู่ ที่ขึ้นหน้าขึ้นตาในบางกอกสมัยโน้นเห็นจะได้แก่นางจ้างในคณะระบำนายหรั่งที่ตลาดบำเพ็ญบุญ หรือสะพานถ่าน…
ตาหรั่ง เรืองนาม แกมีโรงระบำอยู่ที่ตลาดบำเพ็ญบุญ ระบำของแกเป็นระบำประเภท “ปลุกใจเสือป่า” มีการขับร้องร่ายรำด้วยลีลาอันอ่อนช้อย แล้วค่อย ๆ เปลื้องผ้าออกทีละชิ้น เริ่มจากส่วนบนก่อน แล้วเปลื้องออกหมดในฉากสุดท้าย นี่ว่าตามที่ผมได้ดูมา เมื่อเสือป่าได้รับการปลุกใจก็เกิดอาการคึกคะนอง ต้องหาทางปลดปล่อยกันแถวตลาดบำเพ็ญบุญ หรือสะพานถ่านนั้นเอง ระบำแบบนี้เขาเรียกว่า ระบำ “ขึ้นห้าลงสิบ” คือตอนขึ้นไปดูระบำนั้น เสียค่าดู 5 บาท ตอนลงมาปลดปล่อยเสีย 10 บาท
คำ นางจ้าง นี้ตรงกับคำสแลงของอังกฤษสมัยเก่าว่า Taxi girl และตรงกับคำอีสานโบราณว่า “แม่จ้าง” ฝรั่งเรียกหญิงโสเภณีอย่างเป็นทางการว่า Prostitute และมีนิยามว่า woman who offers the use of her body for sexual intercourse to anyone who will pay for this.
นิยามนี้ถ้าแปลเป็นไทยอย่างสั้น ๆ ก็คือหญิงขายตัวนั่นเอง
หญิงโสเภณีมีในอินเดียมาก่อนสมัยพุทธกาล ในจีนก็คงเหมือนกัน หญิงโสเภณีชั้นสูงในอินเดียเรียก นครโสเภณี ซึ่งเราเอามาแปลเป็นไทยว่า หญิงงาม (แห่ง) เมือง โสเภณีชั้นกลางหรือต่ำเรียก นางคณิกา
ในนิราศเมืองจีนของพระยาอานุภาพไตรภพ เรียกหญิงพวกนี้ว่า นางดอกไม้ทอง คำนี้ตรงกับกิมฮวยในภาษาแต้จิ๋ว และน่าจะตรงกับสุวรรณมาลีหรือสุวรรณบุปผาของบาลีสันสกฤต และตรงกับ gold flower ของฝรั่ง
ทั้งคำ ดอกไม้ทอง, กิมฮวย, สุวรรณบุปผา และ gold flower น่าจะถือว่าเป็นมงคลนาม แต่ถ้าถูกเรียกว่า นางหรืออีดอกทอง ทำไมจึงทำให้ผู้หญิงทั่วไปไม่พอใจ? ผมเคยถามอาแปะชาวแต้จิ๋วคนหนึ่งได้ความว่า คำอีนั้นเป็นสรรพนามที่ใช้กับคนได้ทั้งหญิงและชาย เป็นเอกพจน์หรือพหูพจน์ก็ได้ เป็นคำธรรมดาไม่เป็นคำที่หยาบคายแต่อย่างใด จะเท็จจริงอย่างไรผมก็ไม่กล้ายืนยัน
ในนิราศเมืองจีนที่กล่าวมาแล้วนั้นได้ความว่า หญิงพวกนี้เป็นผู้หญิงหากินด้วยการค้าประเวณี เป็นผู้หญิงชั้นต่ำ และเป็นที่มาของกามโรคชนิดต่าง ๆ จึงเป็นที่รังเกียจเหยียดหยามของคนทั่วไป ฉะนั้นคำนางดอกไม้ทอง ถ้าตัดไม้ออกเสีย เหลือเป็นนางดอกทอง จึงกลายเป็นคำดูหมิ่นเหยียดหยามไป
นางคณิกานั้นเที่ยวบำเรอชายโดยไม่จำกัดสถานที่ คนโบราณจึงเรียกหญิงพวกนี้อีกอย่างหนึ่งว่า หญิงคนเที่ยว แต่นางคณิกาที่สำเพ็งตามในนิราศนั้น มีที่อยู่พำนักเป็นหลักแหล่ง ส่วนมากอยู่แพ หน้าสำนักของพวกเธอจะมีโคมสีต่าง ๆ เรียงรายกันอยู่ จนสมัยต่อมามีผู้เรียกหญิงประเภทนี้ว่า นางโคมเขียว ในนิราศภูเขาทองของสุนทรภู่ซึ่งแต่งหลังนิราศเมืองแกลงมีว่า
มาถึงท่าหน้าวัดพระเมรุข้าม ริมอารามเรือเรียงเคียงขนาน บ้างขึ้นล่องร้องรำเล่นสำราญ ทั้งเพลงกานท์เกี้ยวแก้กันแซ่เซ็ง บ้างฉลองผ้าป่าเสภาขับ ระนาดรับรัวคล้ายกับนายเส็ง สีโคมรายแลอร่ามเหมือนสำเพ็ง เมื่อคราวเคร่งก็มิใคร่จะได้ดู
อ่านเพิ่มเติม :
- จุดเปลี่ยนอาชีพโสเภณี จากอยู่ประจำสำนัก สู่ขายบริการตามแหล่งบันเทิงยามค่ำคืน
- เปิดโลก “นครโสเภณี” หญิงนครโสเภณี โรงถ้ำมอง โรงลับแล ธุรกิจขายบริการในไทยสมัยก่อน
- ขุนนางสยามชี้ “ย่านปทุมวัน” เหมาะทำเป็น “นครโสเภณี” มากกว่า “เมืองมหาวิทยาลัย”
หมายเหตุ : คัดเนื้อหาบางส่วนจากบทความ “นางจ้าง หรือนางสุวรรณบุปผา” เขียนโดย ทอง โรจนวิธาน ในนิตยสารศิลปวัฒนธรรม ฉบับมิถุนายน 2543