
ผู้เขียน | กองบรรณาธิการศิลปวัฒนธรรม |
---|---|
เผยแพร่ |
“อังกฤษจักรวรรดิที่ดวงอาทิตย์ไม่เคยตกดิน”คำพูดที่ประกาศความยิ่งใหญ่ของอังกฤษ ที่ไม่จำเป็นบรรยายเพิ่ม แต่วันหนึ่งความยิ่งใหญ่ที่ว่านั้นก็ถูกตั้งคำถามจากคนอังกฤษด้วยกันเอง ข้อมูลในเรื่องดังกล่าว ไกรฤกษ์ นานา ค้นคว้าและเรียบเรียงไว้ในหนังสือ “ประวัติศาสตร์นอกตำรา สยามรัฐตามทรรศนะโลกตะวันตก” (สนพ.มติชน กุมภาพันธ์ 2560) สรุปพอสังเขปได้ว่า
History Magazine นิตยสารแนวประวัติชื่อดังของอังกฤษ ซึ่งเป็นกิจการในเครือ BBC เสนอบทความขึ้นปกด้วยการตั้งคำถามกับบรรพชนว่า The Big Questions of Britain’s Empire-คําถามใหญ่ของจักรวรรดินิยมอังกฤษ ในนิตยสาร History Magazine ฉบับเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 2021
ด้วยการระดมมันสมองนักวิชาการกระแสหลักของอังกฤษสมัยปัจจุบัน ให้ช่วยสังเคราะห์ความสําเร็จ-ความล้มเหลวของรัฐบาลอังกฤษในยุค Victorian Heyday (ค.ศ. 1838-1901) อันเป็นยุคที่อังกฤษสามารถสร้างตัวจนผงาดขึ้นมาเป็นเจ้าอาณานิคมครอบคลุมพื้นที่ต่างในโลก จนเป็นที่คำพูดที่ว่า “อังกฤษจักรวรรดิที่ดวงอาทิตย์ไม่เคยตกดิน”
10 คำถามต่อจักรวรรดิอังกฤษ
นักวิชาการรุ่นใหม่มิได้เกิดในยุควิกตอเรีย มีอิสระทางความคิดอย่างเต็มที่ เปิดกว้างมากขึ้นที่จะวิพากษ์วิจารณ์อย่างเปิดเผย โดยไม่ใช้สถานภาพของความเป็นคนอังกฤษเป็นเกณฑ์ตัดสินดังเช่นคนในยุคก่อน และสรุปเป็นประเด็นคำถาม 10 ข้อ ดังนี้
- ความทะเยอทะยานของราชสํานัก (อังกฤษ) ในอดีตส่งผลต่อชีวิตคนอังกฤษในปัจจุบันอย่างไร?
- จักรวรรดิอังกฤษโบราณใหญ่โตแค่ไหนกันแน่?
- จักรวรรดิอังกฤษเป็นของอังกฤษจริงหรือ?
- พ่อค้าอังกฤษยุคแรกๆ มีความสําคัญต่อจักรวรรดิขนาดไหน
- สงครามกลางเมืองในสหรัฐอเมริกา ส่งผลอย่างไรต่อฐานะของจักรวรรดิอังกฤษ?
- อินเดียมีค่าอย่างไรต่ออังกฤษ?
- “ฝิ่น” ช่วยให้อังกฤษคุ้มทุนจริงหรือ?
- อังกฤษร่ำรวยขึ้นในขณะที่จักรวรรดิจนลงจริงหรือ?
- คนในอาณานิคมมองตนเองอย่างไรในฐานะพลเมืองอังกฤษ?
- การสิ้นสุดยุคอาณานิคมกระทบฐานะของอังกฤษอย่างไร?
รายละเอียดของคําถามหนึ่งข้างต้น ในข้อที่ 7 “’ฝิ่น’ ช่วยให้อังกฤษคุ้มทุนจริงหรือ?” ดอกเตอร์จูเลีย โลเวลล์ (Dr. Julia Lovell) นักวิชาการจากมหาวิทยาลัยลอนดอน เขียนอธิบายรายละเอียดไว้บทความเรื่อง “Did Opium bankroll the British Empire?” ใน History Magazine ว่า [จัดย่อหน้าใหม่ และสั่งเน้นคำ โดยกองบรรณาธิการศิลปวัฒนธรรม]
“การค้าฝิ่นเป็นความล้มเหลวที่ถูกลืมของจักรวรรดิอังกฤษ เรายังจดจําความผิดพลาดที่น่าอายจากอดีตอย่างการค้าทาสและการเหยียดสีผิวเป็นวาระแห่งชาติที่อังกฤษเข้าไปเกี่ยวข้องด้วย
แต่การค้าฝิ่นและสงครามฝิ่นระหว่างอังกฤษกับจีนในช่วงทศวรรษ 1840 และ 1850 ที่จริงเป็นการเปิดหน้ากากให้เห็นความเห็นแก่ตัวของคนอังกฤษมากกว่าความผิดใดๆ ที่กระทําต่อชาวต่างชาติสําหรับคนในยุคปัจจุบัน
ฝิ่นเกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ของอาณานิคมในเครือจักรภพโดยตรง เพราะมันปลูกในอินเดียภายใต้การบริหารของชาวอังกฤษ เพื่อขายให้กับชาวเอเชียตะวันออก พ่อค้าอังกฤษใช้เงินที่ขายฝิ่นได้ไปซื้อใบชา ให้ชาวอังกฤษดื่ม ขนาดที่สามารถทําให้การดื่มชากลายเป็นวัฒนธรรมประจําชาติของอังกฤษเลยทีเดียว
นอกจากนี้รัฐบาลอังกฤษยังกินหัวคิวเก็บภาษีอากรใบชาไปอุดหนุนระบบราชการอังกฤษที่เกี่ยวข้องกับการดูแลอาณานิคมอันได้แก่กระทรวงราชนาวี ดังนั้น การค้าฝิ่นจึงจําเป็นและดําเนินอยู่ได้ในยุควิกตอเรีย (Victorian Heyday) และพ่อค้าฝิ่นในตลาดมืดก็ลอยนวลอยู่ได้โดยไม่ผิดกฎหมายอังกฤษ
กระทรวงอาณานิคมของอังกฤษในลอนดอนมีงบประมาณลับ ซึ่งได้รับการอุดหนุนจากการค้าฝิ่นและการที่คนอังกฤษผูกขาดการขายฝิ่นอย่างเอิกเกริก เนื่องจากเป็นสิ่งถูกกฎหมาย แม้นว่าจะขัดความรู้สึกของคนอังกฤษภายในประเทศก็ตาม
ตัวอย่างเช่นในช่วงทศวรรษ 1850 รายได้จากภาษีฝิ่นอย่างเดียวมีค่าเท่ากับ 20% ของรายได้เข้างบประมาณแผ่นดินของอังกฤษ ไม่นับรายได้อื่นๆ จากอินเดีย ซึ่งทําให้อังกฤษร่ำรวยขึ้นอย่างมหาศาล จากโครงสร้างอาณานิคมและจะเพิ่มขึ้นอีกเป็น 2 เท่า ถ้าสามารถทําให้คนเอเชียติดฝิ่นมากขึ้น
ธุรกิจการค้าฝิ่นในจีนเพียงอย่างเดียวก็ทําให้เศรษฐกิจของอังกฤษเพื่องฟูโดยไม่จําเป็นต้องยึดครองจีนมาเป็นอาณานิคมอย่างอินเดีย แต่ใช้อินเดียเป็นฐานในการต่อยอดกําไรให้อังกฤษก็เหลือเฟือแล้ว
ระหว่างปี ค.ศ. 1800-1839 ยอดการขายฝิ่นของอังกฤษให้จีนพุ่งขึ้น 10 เท่าตัว โดยใน ค.ศ. 1800 พ่อค้าอังกฤษขายฝิ่นได้ 4,000 หีบ ให้ชาวจีน แต่ใน ค.ศ. 1839 ขายได้เป็น 40,000 หีบ จีนจึงเป็นลูกค้ารายใหญ่ของอังกฤษไม่นับการขายฝิ่นปลีกย่อยให้ชาวเอเชียชาติอื่นๆ ทั้งทางตรงและทางอ้อม อังกฤษก็รับไปเต็มๆ
และเมื่อรัฐบาลจีนเริ่มเห็นพิษภัยจากฝิ่นที่กําลังกัดกินสังคมจีน จึงหันมาปฏิเสธการซื้อฝิ่นจากพ่อค้าอังกฤษ และกวาดล้างสินค้าอัปรีย์ของอังกฤษอย่างจริงจัง โดยนําฝิ่นมาเผาทิ้งเพื่อทําลาย รัฐบาลอังกฤษจึงตอบโต้รัฐบาลจีนด้วยการเปิดศึกครั้งใหญ่กับจีนถึง 2 ครั้ง ในช่วง ค.ศ. 1839-1842 และ ค.ศ. 1856-1860 เรียกสงครามฝิ่นครั้งที่ 1 และครั้งที่ 2 โดยอังกฤษตั้งความหวังจะทําให้ฝิ่นเป็นสินค้าถูกกฎหมาย และค้าขายกันได้อย่างเสรีในจีน (และเอเชีย)
นักวิเคราะห์ประวัติศาสตร์กล่าวว่านโยบายต่างประเทศของอังกฤษในสมัยนั้นเป็น “ยุคมืด” ที่คนอังกฤษสร้างขึ้นด้วยการสมรู้ร่วมคิดของนักการเมืองและนายทุนที่สร้างความฉาวโฉ่ให้กับคนอังกฤษ มากกว่าการกดขี่ข่มเหงมนุษยชาติด้านอื่น เช่น การค้าทาสและการเหยียดสีผิว ซึ่งอังกฤษไม่เคยยอมรับผิดแม้จนทุกวันนี้
ความสัมพันธ์ระหว่างจีนกับยุโรปในยุคสมัยต่อๆ มา ล้วนแปดเปื้อนและมีมลทินมาจากความเห็นแก่ตัวและการทําสนธิสัญญาที่ทําให้อังกฤษได้เปรียบในเชิงการค้า และตักตวงผลกำไรจากความอ่อนแอและเสียเปรียบของชาวเอเชียทั้งสิ้น”
นี่คือคำถามของคนรุ่นหลังถึงคนอังกฤษในอดีต ต่อความสําเร็จอันยิ่งใหญ่ของจักรวรรดิอังกฤษ
อ่านเพิ่มเติม :
- กระสุนชโลม “น้ำมันหมู-น้ำมันวัว” หนึ่งในต้นเหตุจลาจลในอินเดียต่อต้านจักรวรรดิอังกฤษ
- ปฐมเหตุ “สงครามฝิ่นครั้งที่ 2” ฤๅมาจากความกระหายสงครามของ เซอร์จอห์น เบาว์ริง ?
- ฉายา “เพชรประดับยอดมงกุฎกษัตริย์อังกฤษ” น้อยไปไหมสำหรับอินเดีย
เผยแพร่ในระบบออนไลน์ครั้งแรกเมื่อ 6 พฤษภาคม 2564