คติ “พระอินทร์” และ “ศีรษะแห่งแผ่นดิน” การสร้างสรรค์สถาปัตยกรรมด้วยเหตุผลทางการเมือง

พระอินทร์ บนสวรรค์
พระอินทร์และสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ในสมุดภาพไตรภูมิ (ภาพจาก สมุดภาพไตรภูมิฉบับหลวงสมัยกรุงธนบุรี)

สรุปประเด็นข้อเสนอ คติ พระอินทร์ และ “ศีรษะแห่งแผ่นดิน” ใน “มัชฌิมประเทศ” กลาง “ชมพูทวีป” ในหนังสือ การเมืองในสถาปัตยกรรมสมัยรัชกาลที่ 1 ของ ชาตรี ประกิตนนทการ

งานศึกษากระแสหลักส่วนใหญ่มักอธิบายว่า การสร้างรัฐในสมัยรัตนโกสินทร์ คือการลอกเลียนแบบอยุธยา ซึ่งงานเขียนชุดนี้ของ ชาตรี ประกิตนนทการ ได้ปฏิเสธและนำเสนอว่า ในสมัยต้นรัตนโกสินทร์นั้นเป็นการนำมาเเต่ “รูปแบบ” แต่ “เนื้อหา” นั้นเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง

กล่าวคือ การเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ 2 เมื่อ พ.ศ. 2310 นั้นไม่เพียงแต่ความเสียหายทางกายภาพเท่านั้น อาทิ ความเสียหายของพระราชวัง วัด บ้าน เป็นต้น แต่นำไปสู่ความเสียหายทางจักรวาลทัศน์ของชนชั้นนำของอยุธยาอย่างรุนแรง ขนาดที่อาจจะไม่เคยมีมาก่อนแบบนี้ในสมัยอยุธยา เมื่อจักวาลวิทยาแบบเก่าพังพินาศลง จึงเป็นผลให้พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช (รัชกาลที่ 1) จึงจำเป็นที่จะต้องสร้างจักรวาลทัศน์ (อุดมการณ์) ชุดใหม่ขึ้นมา โดยสะท้อนออกมาในรูปแบบต่าง ๆ ซึ่งรวมถึงงานสถาปัตยกรรมในสมัยต้นรัตนโกสินทร์อีกด้วย

คติพระรามสู่พระอินทร์ อาจารย์ชาตรี ประกิตนนทการ ได้กล่าวว่า ในช่วงต้นรัตนโกสินทร์คติเกี่ยวกับพระอินทร์ได้ถูกขับเน้นออกมาอย่างเป็นพิเศษ ถึงแม้ว่าในสมัยอยุธยาจะมีการกล่าวถึงพระอินทร์อยู่แล้ว แต่ก็ไม่ได้เด่นชัดเท่าในสมัยนี้ โดยอาจารย์ชาตรีได้อธิบายว่า พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก (รัชกาลที่ 1) นั้นไม่มีสถานะชาติกำเนิดและสิทธิอันชอบธรรมในการขึ้นครองราชย์ตามแบบอยุธยาที่เคยปฎิบัติมาก่อน กล่าวคือ รัชกาลที่ 1 เป็นเพียงสามัญชนที่รับตำแหน่งขุนนางเล็ก ๆ ในสมัยอยุธยา ซึ่งนำไปสู่การโยงสถานะพระอินทร์ตามประวัติในพุทธศาสนาที่มิได้มีชาติกำเนิดอันศักดิ์สิทธิ์เช่นกัน แต่ต่อมาได้เป็นผู้ปกครองในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์

ฉะนั้น คติพระอินทร์จึงถูกเน้นเป็นพิเศษในรัชสมัยนี้ อาทิ หน้าบันในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก (รัชกาลที่ 1) ส่วนใหญ่เป็นพระอินทร์ทรงช้างมากกว่าพระนารายณ์ทรงครุฑ (คติพระราม) หรือ การเน้นพระแก้วมรกต (ที่มีตำนานเชื่อมโยงกับพระอินทร์) เป็นต้น

แม้แต่ในแผ่นดินของพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 3) คติพระอินทร์ก็ได้ถูกย้ำความหมายให้ชัดเจนยิ่งขึ้นในรัชสมัยนี้ อย่างเช่น พระองค์ได้พระราชทานนามพระที่นั่งทั้ง 3 องค์ใหม่ให้เกี่ยวข้องกับพระอินทร์โดยตรง คือ พระที่นั่งจักพรรดิพิมาน พระที่นั่งไพศาลทักษิณ และพระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัยมไหยสูรยพิมาน เป็นต้น ซึ่งสะท้อนถึงการเน้นเกี่ยวกับคติพระอินทร์เพื่อสร้างความชอบธรรมในการปกครองในช่วงต้นกรุงรัตนโกสินทร์

พระอินทร์ ภาพเขียนด้านทิศตะวันออกของโดมภายในห้องพระบรรทม (ภาพจากหนังสือ Prince Naris a Siamese Designer โดย ผศ.ดร .ม.ล.จิตตวดี จิตรพงศ์ พระปนัดดาในสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์)

ศีรษะแผ่นดิน (กล่าวคร่าว ๆ สามารถอ่านข้อมูลเต็มได้ในหนังสือการเมืองไทยในสถาปัตยกรรมสมัยรัชกาลที่ 1) กล่าวคือ การเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ 2 พ.ศ. 2310 นั้นได้ให้ภาพว่า อยุธยาพังพินาศลงอย่างสิ้นเชิง ซึ่งเปรียบได้ดั่งไฟประลัยกัลป์ที่เผาทำลายโลกและจักวาล ซึ่งในคัมภีร์พุทธศาสนาไตรภูมิโลกวินิจฉยกถาได้กล่าวว่า เมื่อกำเนิดโลกใหม่สิ่งเเรกที่เกิดคือ “ศีรษะของแผ่นดิน” นั้น คือสิ่งที่พระพุทธเจ้าจะมาประทับเป็นโพธิบัลลังก์

ฉะนั้น พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก (รัชกาลที่ 1) จึงต้องการให้กรุงรัตนโกสินทร์เป็นเหมือนศูนย์กลางของจักวาล จึงได้จำลองให้กรุงรัตนโกสินทร์เป็นดั่งชมพูทวีป (ทวีปเดียวที่จะมีพระพุทธเจ้ามาประสูติ) เห็นจากการจำลองให้วัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามเป็นศูนย์กลางของจักวาลใหม่นั้นคือ จักวาลแบบ “พุทธราชา” มิใช่ “เทวราชา” แบบสมัยอยุธยา อย่างเช่น 

  • การเปลี่ยนศูนย์กลางของวัดจากจุดเน้นที่วิหาร/พระปราง (เทวราชา) สู่การเน้นความสำคัญของตัวพระอุโบสถที่มีระเบียงคดล้อมรอบ (ธรรมราชา)  
  • การเปลี่ยนพระพุทธรูปจากปางมารวิชัยสู่พระพุทธรูปปางสมาธิเพื่อสอดคอดกับคติศีรษะแผ่นดินที่สอดรับกับสัตตมหาสถาน (โพธิบัลลังก์) 
  • ผังของวัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามสอดรับกับคติศรีษะแผ่นดินเป็นอย่างมาก อาทิ โพธิบัลลังก์ (พระประธานในอุโบสถ) สัตตมหาสถาน (พระวิหารทิศตะวันตกที่มีพระนาคปรกแทนความหมายสัปดาห์ที่ 6 / อัฐมหาสถาน (พระป่าเลไลย์) / มหานครใหญ่ ชนบทนคร (ระเบียงล้อมรอบ 2 ชั้น) / ป่าหิมพานธ์ (พระเจดีย์หย่อม) เป็นต้น

หนังสือเล่มนี้จึงเป็นการเปิดโลกทัศน์ในการเห็นถึงอำนาจทางการเมืองในสมัยต้นรัตนโกสินทร์นั้นมีผลต่อการสร้างสรรค์ของสถาปัตยกรรม และหนังสือเล่มนี้ยังเป็นการกระตุ้นให้คิดเกิดข้อถกเถียงต่าง ๆ อย่างมากมายในการตีความต่าง ๆ ที่อาจารย์ชาตรี ประกิตนนทการ อีกด้วย ซึ่งอาจเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยก็ล้วนแล้วแต่เป็นประโยชน์ที่ทำให้เกิดประเด็นใหม่ ๆ ในการศึกษาประวัติศาสตร์ในกาลต่อไป

อ่านเพิ่มเติม :

สำหรับผู้ชื่นชอบประวัติศาสตร์ ศิลปะ และวัฒนธรรม แง่มุมต่าง ๆ ทั้งอดีตและร่วมสมัย พลาดไม่ได้กับสิทธิพิเศษ เมื่อสมัครสมาชิกนิตยสารศิลปวัฒนธรรม 12 ฉบับ (1 ปี) ส่งความรู้ถึงบ้านแล้ววันนี้!! สมัครสมาชิกคลิกที่นี่


อ้างอิง :

ชาตรี ประกิตนนทการ. (2558). การเมืองในสถาปัตยกรรมสมัยรัชกาลที่ 1. กรุงเทพฯ : มติชน.


เผยแพร่ในระบบออนไลน์ครั้งแรกเมื่อ 15 มกราคม 2564