
ที่มา | ศิลปวัฒนธรรม ฉบับตุลาคม 2556 |
---|---|
ผู้เขียน | ศรัญญู เทพสงเคราะห์ |
เผยแพร่ |
“…สำหรับที่มาของการสร้างอนุสาวรีย์ปราบกบฏนี้ มีความสืบเนื่องมาจากเหตุการณ์ในเดือนตุลาคม พ.ศ. 2476 เมื่อมีบุคคลคณะหนึ่งที่ประกอบด้วยทหารและพลเรือน เรียกตัวเองว่า “คณะกู้บ้านเมือง” มี นายพลเอก พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าบวรเดช เป็นผู้นำ ได้นำทหารจำนวนมากจากหัวเมือง ทั้งจากอุบลราชธานี นครราชสีมา สระบุรี อยุธยา นครสวรรค์ พิษณุโลก ปราจีนบุรี ราชบุรี และเพชรบุรี มายึดบริเวณดอนเมือง เพื่อบีบบังคับให้รัฐบาลพระยาพหลพลพยุหเสนาลาออกหรือปฏิบัติตามข้อเรียกร้องของคณะกู้บ้านเมือง
ขณะที่ฝ่ายรัฐบาลได้ส่งตัวแทนไปเจรจากับคณะกู้บ้านเมืองให้ล้มเลิกความคิดล้มล้างรัฐบาล และถอนทหารกลับสู่ที่ตั้งแต่กลับไม่เป็นผล ดังนั้น พระยาพหลฯ จึงตั้งให้หลวงพิบูลสงครามเป็นแม่ทัพคุมกำลังทหารออกปราบปรามฝ่ายคณะกู้บ้านเมือง โดยมีการปะทะกันที่บางเขนตั้งแต่วันที่ 12 ตุลาคม จนถึงวันที่ 16 ตุลาคม พ.ศ. 2476 ฝ่ายคณะกู้บ้านเมืองได้พ่ายแพ้ พระองค์เจ้าบวรเดชทรงลี้ภัยไปอินโดจีน แต่อย่างไรก็ตาม ฝ่ายรัฐบาลได้สูญเสียทหารและตำรวจจำนวน 17 นาย ในการปกป้องระบอบรัฐธรรมนูญครั้งนี้
หลังเหตุการณ์สงบเรียบร้อย รัฐบาลได้นำศพของผู้เสียชีวิตมาทำบุญอุทิศส่วนกุศล ณ วัดราชาธิวาส และได้จัดพิธีฌาปนกิจอย่างยิ่งใหญ่บนท้องสนามหลวงอย่างสมเกียรติในฐานะวีรชนของชาติ ในวันที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2477 ซึ่งเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่มีการจัดงานศพของสามัญชนบนท้องสนามหลวง
จากนั้นได้บรรจุอัฐิไว้ในปลอกกระสุนปืนใหญ่ทองเหลืองตามประเพณีของทหารและตั้งไว้ที่กรมกองต้นสังกัดของเหล่าทหารและตำรวจทั้ง 17 นาย เป็นเวลา 3 ปี ต่อมาเมื่อทางราชการสร้างอนุสาวรีย์ปราบกบฏ ที่ตำบลหลักสี่ อำเภอบางเขน จังหวัดพระนคร จึงนำอัฐิของวีรชน 17 นาย มาบรรจุไว้ที่อนุสาวรีย์
ทั้งนี้ หากพิจารณาแนวคิดที่จะสร้างอนุสาวรีย์ เริ่มปรากฏนับตั้งแต่ปลายปี พ.ศ. 2476 ก่อนที่จะมีพิธีฌาปนกิจทหารและตำรวจที่เสียชีวิตในเหตุการณ์ปราบกบฏบวรเดช ณ ท้องสนามหลวง โดยในวันที่ 19 มกราคม พ.ศ. 2477 พระยาพหลฯ นายกรัฐมนตรีขอให้ที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาญัตติด่วนเรื่อง “ร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการจัดซื้อที่ดินและอสังหาริมทรัพย์อย่างอื่นเพื่อขยายและตัดถนนเชื่อมคมนาคมกรุงเทพพระมหานครกับดอนเมือง และเพื่อสร้างอนุสสาวรีย์ทหารปราบกบฏ พ.ศ. 2476”

เหตุผลสำคัญในการเสนอญัตตินี้คือ การตัดถนนจากสนามเป้าไปยังดอนเมืองเพื่อเหตุผลยุทธศาสตร์ทางการทหารในการควบคุมพื้นที่ดอนเมืองและต้องการพัฒนาสนามบินดอนเมืองในเชิงพาณิชย์ ขณะที่การสร้างอนุสาวรีย์เป็นผลพลอยได้จากการตัดถนนเส้นนี้
ดังสะท้อนได้จากเมื่อ นายไสว อินทรประชา ส.ส. สวรรคโลก ถามรัฐบาลว่า ‘…สร้างอนุสาวรีย์นี้สำหรับทหารผู้ปราบกบฏที่ได้เสียชีวิตหรือหมายความว่าทหารทุกคนผู้ปราบกบฏ’ พระยาพหลฯ ได้ตอบว่า ‘ในเรื่องอนุสาวรีย์นี้ ความประสงค์เดิมเราไม่ได้คิดว่าจะสร้างเลย แต่เมื่อบังเอิญสร้างถนนเช่นนี้ก็ประจวบเหมาะ จึ่งเลยถือโอกาสสร้างอนุสสาวรีย์นี้ด้วย’
ทั้งนี้ ตามกฎหมายข้างต้น อนุสาวรีย์ปราบกบฏจะถูกสร้างขึ้นบริเวณลานกว้างบนถนนที่ตัดระหว่างถนนสายกรุงเทพฯ-ดอนเมือง หรือถนนประชาธิปัตย์ (ต่อมาในปี พ.ศ. 2493 ได้เปลี่ยนชื่อเป็น ‘ถนนพหลโยธิน’ เพื่อเป็นอนุสรณ์แก่พระยาพหลพลพยุหเสนา (พจน์ พหลโยธิน)) ซึ่งเป็นถนนใหญ่จากถนนยิงเป้า (สนามเป้า) ไปยังดอนเมือง กับถนนที่ตัดจากสถานีรถไฟหลักสี่ (ต่อมาเป็นส่วนหนึ่งของถนนแจ้งวัฒนะ) โดยลานนี้มีขนาดกว้าง 122.50 เมตร ยาว 90.00 เมตร และตามกฎหมายฉบับนี้ให้ถือว่าลานนี้เป็นส่วนหนึ่งของถนน…”
คัดบางส่วนจากบทความ “อนุสาวรีย์ปราบกบฏ กับการรำลึกวีรชนผู้พิทักษ์การปฏิวัติ พ.ศ. 2475”. ศรัญญู เทพสงเคราะห์ ใน ศิลปวัฒนธรรม ฉบับตุลาคม 2556
เผยแพร่เนื้อหาในระบบออนไลน์ครั้งแรกเมื่อ 16 ตุลาคม 2561