เอดิสัน VS เทสลา เรื่องจริงในสงครามทฤษฎีกระแสไฟฟ้า The Current War สู่ Tesla

นิโคลา เทสลา โทมัส อัลวา เอดิสัน คู่ต่อสู้ ใน The Current War
(ซ้าย) นิโคลา เทสลา (Nikola Tesla), (ขวา) โทมัส อัลวา เอดิสัน (Thomas Alva Edison)

ในยุคที่กระแสไฟฟ้าเป็นศูนย์รวมการคิดค้นและพัฒนาเพื่อสร้างสิ่งประดิษฐ์ใหม่ ๆ ความทะเยอทะยานและความเชื่อมั่นในระบบไฟฟ้าทำให้ โทมัส อัลวา เอดิสัน (Thomas Alva Edison) กับ นิโคลา เทสลา (Nikola Tesla) กลายเป็นคู่ปรับคนสำคัญใน สงครามกระแสไฟฟ้า หรือ The Current War ในช่วงคริสต์ทศวรรษ 1880-1890 ขณะที่เอดิสันเชื่อมั่นในไฟฟ้ากระแสตรง (DC) เทสลาคือผู้เปิดศักราชของไฟฟ้ากระแสสลับ (AC)

ความขัดแย้งดังกล่าวเกิดจากทั้งสองคนที่เคยร่วมงานกันและพอใจความสามารถกันเองมาก่อน อะไรทำให้ทั้งคู่ไม่ลงรอยกัน และเกิดอะไรขึ้นใน สงครามกระแสไฟฟ้า? ทั้งหมดสะท้อนวิธีสู่ความสำเร็จของเอดิสัน และความเป็นอัจฉริยะผู้ถูกลืมของเทสลาท่ามกลางเรื่องของผลประโยชน์เป็นอย่างดี

Advertisement

เทสลา เคยทำงานในบริษัท เอดิสัน แมชชีน เวิร์ก (Edison Machine Works) ของเอดิสัน ที่นิวยอร์กเมื่อ ค.ศ. 1884 ด้วยตำแหน่งวิศวกร ซึ่งเป็นบริษัทที่ให้ลูกจ้างและช่างใช้เป็นที่พัฒนาผลิตภัณฑ์ออกมาแข่งขันในตลาดจนพัฒนาเป็นศูนย์วิจัย เทสลาติดตามเจ้านายผู้กำกับงานจากบริษัทเดิมในปารีสซึ่งเป็นสาขาหนึ่งของ Edison Machine Works มาที่นิวยอร์ก ขณะนั้นกำลังมีการวางโครงสร้างระบบไฟฟ้าขนาดใหญ่ในเมืองอยู่ เขาจึงมีส่วนในการติดตั้งและแก้ปัญหาหลายอย่างเพื่อปรับปรุงระบบไฟและเครื่องปั่นไฟ (generator)

เอดิสัน แมชชีน เวิร์ก (Edison Machine Works) ในนิวยอร์ก เมื่อ ค.ศ. 1881

ช่วงแรกเทสลาประทับใจเอดิสันมาก เพราะเอดิสันมีการศึกษาไม่สูงแต่สามารถประสบความสำเร็จในงานไฟฟ้าที่ต้องอาศัยความรู้เชิงเทคนิคสูง เอดิสันเองก็ค่อนข้างพอใจสติปัญญาและความความสามารถของเทสลา แต่ทั้งคู่มีแนวทางที่แตกต่างกัน คือ เอดิสันเป็นนักประดิษฐ์ผู้สร้างสรรค์ผลงานผ่านการลองผิดลองถูก ขณะที่เทสลาคำนวณทุกปัจจัยและแก้ปัญหาก่อนการลงมือทำจริง อีกประการคือความเชื่อมั่นในไฟฟ้ากระแสตรงและกระแสสลับ ซึ่งเวลานั้นงานด้านไฟฟ้าเป็นการถกเถียงไม่จบสิ้นระหว่าง 2 กระแสที่มีข้อดีข้อเสียในตัวเอง พวกเขาจึงอยู่คนละขั้วในทางปฏิบัติ

หลังร่วมงานกันประมาณครึ่งปี มีครั้งหนึ่งเอดิสันพูดกับเทสลาว่าจะยอมให้เงิน 50,000 ดอลลาร์ (แปลงค่าเงินในยุคนั้น คิดเป็น 1,700,000 บาท) หากเทสลาสามารถพัฒนาไดนาโมไฟฟ้ากระแสตรง (DC Dynamo) ให้ใช้งานได้ดียิ่งขึ้น เทสลารับข้อตกลง เขาพัฒนาและปรับปรุงสิ่งประดิษฐขึ้นใหม่เรียกว่าแทบจะยกแผง และแก้ไขจุดบกพร่องในงานชิ้นเดิมซึ่งเป็นโจทย์ของเอดิสันอย่างหมดจด ปรากฏว่านอกจากจะไม่ได้เงินตอบแทนใด ๆ จากเอดิสันแล้ว ประโยคที่เทสลาได้รับกลับมาคือ เทสลา นายคงไม่เข้าใจอารมณ์ขันของคนอเมริกันสินะ

เชื่อว่าเทสลาคงแค้นฝังใจต่อเอดิสันนับแต่นั้น เขาลาออกจากห้องวิจัยบริษัทซึ่งเจ้าของกิจการไม่ซื่อตรงต่อเขา พร้อมมุ่งพัฒนางานประดิษฐ์ของตนเองอย่างเต็มตัว และนั่นคือจุดเริ่มต้นของสงครามไฟฟ้าของทั้งคู่

ช่วงปลาย ค.. 1886 เทสลาได้พบกับ โรเบิร์ต เลน (Robert Lane) และเบนจามิน เวล (Benjamin Vale) ผู้เชี่ยวชาญการจัดตั้งบริษัทกับการหาประโยชน์ทางการเงินจากสิ่งประดิษฐ์และสิทธิบัตร ทั้งสองตกลงสนับสนุนด้านการเงินแก่เทสลาและดูแลเรื่องผลประโยชน์ในสิทธิบัตร

พวกเขาทั้งสามจึงตัดสินใจจัดตั้ง เทสลา อิเล็กทริก คอมปานี (Tesla Electric Company) ขึ้นใน ค.. 1887 แบ่งผลกำไรกันลงตัวเทสลาได้ไปหนึ่งในสามอีกหนึ่งในสามเป็นของเลนกับเวลส่วนที่เหลือเป็นกองทุนสำหรับการพัฒนาพวกเขาได้สร้างห้องแล็บให้กับเทสลาในนิวยอร์กสำหรับประดิษฐ์และพัฒนาอุปกรณ์ชนิดใหม่ของเทสลา

ปีเดียวกันนั้น เทสลาพัฒนามอเตอร์เหนี่ยวนำ (Induction Motors) ให้สามารถทำงานกับไฟฟ้ากระแสสลับได้สำเร็จ โดยตัวมอเตอร์เหนี่ยวนำได้สร้างแรงขับเคลื่อนสำคัญต่อการเลือกใช้ระบบไฟฟ้ากระแสสลับให้สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งสร้างความเปลี่ยนแปลงต่อวงการไฟฟ้าอย่างมาก เนื่องจากก่อนหน้านี้ยังไม่มีมอเตอร์ที่มีประสิทธิภาพดีพอ ไฟฟ้ากระแสสลับจึงไม่ค่อยได้รับความนิยม

ต่อมาบริษัท เวสติงเฮาส์ อิเล็กทริก (Westinghouse Electric) ของจอร์จ เวสติงเฮาส์ (George Westinghouse) นักประดิษฐ์และนักธุรกิจชาวอเมริกัน ได้ซื้อสิทธิบัตรระบบกระแสไฟฟ้าสลับของเทสลาด้วยราคา 1 ล้านดอลลาร์ รวมทั้งจ้างเทสลาเป็นที่ปรึกษา เพื่อนำไปสร้างโรงไฟฟ้ากระแสสลับแข่งกับบริษัท เอดิสัน เยเนอรัล อิเล็กทริก (Edison General Electric) ของเอดิสันที่ใช้ระบบไฟฟ้ากระแสตรง และเป็นผู้ครองตลาดอันดับต้น ๆ อยู่ในขณะนั้น จึงกลายเป็นจุดเริ่มต้นของสงครามกระแสไฟฟ้า

ทั้งสองฝ่ายต่างพยายามทุกวิถีทางเพื่อให้ระบบไฟฟ้าของฝ่ายตนเองชนะและขึ้นเป็นที่หนึ่งของกิจการด้านไฟฟ้า โดยฝ่ายเอดิสันพยายามใช้ปฏิบัติการเชิงจิตวิทยา ชี้นำผู้ใช้ให้เห็นข้อเสียของไฟฟ้ากระแสสลับที่อันตรายถึงแก่ชีวิต มีการจำลองเหตุการณ์ด้วยการเอาไฟฟ้ากระแสสลับช็อตสัตว์ต่างๆ ตั้งแต่สุนัข แมว ม้า ไปจนถึงช้าง และถ่ายภาพยนตร์ออกเผยแพร่ ต่อมายังได้ประดิษฐ์เก้าอี้ไฟฟ้าที่ใช้ประหารชีวิตคน เพื่อให้ผู้คนกลัวไม่กล้าใช้ไฟฟ้ากระแสสลับ ซึ่งฝ่ายเวสติงเฮาส์ที่มีเทสลาเป็นผู้ออกแบบระบบ จำต้องแสดงให้เห็นข้อดีของไฟฟ้ากระแสสลับที่เหนือกว่า เพราะมีประสิทธิภาพสามารถส่งไฟฟ้าได้ไกลกว่ามาก ราคาถูกกว่ามาก และไม่ได้เป็นอันตรายมากอย่างที่อีกฝ่ายโจมตี

ต้น ค.. 1890 สงครามกระแสไฟฟ้าหรือ The Current War เริ่มเข้าสู่ช่วงคดเคี้ยวและยากลำบาก เนื่องจากประเทศสหรัฐอเมริกาประสบกับสภาวะถดถอยทางด้านการค้าและการเงิน ส่งผลให้บริษัทเวสติงเฮาส์ อิเล็กทริก และบริษัทเอดิสัน เยเนอรัล อิเล็กทริก ที่กำลังแข่งขันติดตั้งระบบพลังงานไฟฟ้าทั่วสหรัฐอเมริกา ประสบปัญหาด้านการเงิน ทั้งสองฝ่ายจึงใช้วิธีควบรวมกิจการบริษัทอื่น ๆ เพื่อความอยู่รอดของบริษัท

บริษัทของเอดิสัน รวมกับบริษัททอมสันฮิวสตัน (Thomson-Houston) ที่เป็นคู่แข่งสำคัญของเวสติงเฮาส์ อิเล็กทริก กลายเป็นบริษัทเยเนอรัล อิเล็กทริก (General Electric) ซึ่งสร้างความท้าทายครั้งใหญ่ต่อการแข่งขันครั้งนี้ บริษัทของเวสติงเฮาส์ จึงตอบโต้ด้วยการเร่งขยายธุรกิจของตนด้วยอัตราการเติบโตที่สูงมาก จนได้รับผลกระทบทางการเงินอย่างหนัก ทำให้ต้องควบรวมกิจการกับบริษัทขนาดเล็กหลายแห่ง เช่น บริษัทยู.เอส. อิเล็กทริก (U.S. Electric) และบริษัทคอนโซลิเดท อิเล็กทริก ไลท์ (Consolidated Electric Light) กลายเป็นบริษัทเวสติงเฮาส์ อิเล็กทริก แอนด์ แมนูแฟคเจอริง (Westinghouse Electric and Manufacturing)   

จนกระทั่ง ค.. 1893 เกิดเหตุการณ์สำคัญที่กลายเป็นจุดตัดสินสงครามกระแสไฟฟ้าว่าใครจะเป็นผู้ชนะ คือ งานนิทรรศการ World’s Columbian Exposition ที่เมืองชิคาโก เป็นงานระดับโลกครั้งแรกหลังมีระบบส่องสว่างด้วยไฟฟ้า เพื่อฉลองครบรอบ 400 ปีที่โคลัมบัสพบดินแดนใหม่ (ทวีปอเมริกา) มีผู้ร่วมงานถึง 27 ล้านคน

งานนิทรรศการ World’s Columbian Exposition ที่ชิคาโก สหรัฐอเมริกา ค.ศ. 1893

โดยบริษัทของเวสติงเฮาส์ได้ชนะการประมูลระบบไฟฟ้าแสงสว่างสำหรับงานทั้งหมด จากการเสนอให้ใช้ไฟฟ้ากระแสสลับ ด้วยราคาค่าใช้จ่ายเพียงครึ่งหนึ่งของฝ่ายเอดิสันที่เสนอด้วยระบบไฟฟ้ากระแสตรง จากชัยชนะครั้งนี้ เวสติงเฮาส์และเทสลาก็ได้แสดงถึงประสิทธิภาพของระบบไฟฟ้ากระแสสลับในการจ่ายไฟให้กับหลอดไฟเกือบหนึ่งแสนดวง ซึ่งได้รับความสนใจอย่างมาก เทสลายังได้แสดงเทคโนโลยีใหม่อย่างอื่นอีก เช่น หลอดไฟไร้สาย และหลอดไฟนีออน เป็นต้น

ในปีเดียวกันหลังงานนิทรรศการ บริษัทของเวสติงเฮาส์รับงานสร้างระบบจ่ายไฟฟ้าของโรงไฟฟ้าพลังน้ำที่น้ำตกไนแองการา (Niagara Falls hydroelectric project) โดยใช้ระบบเดียวกันกับในงานนิทรรศการ ซึ่งประสบความสำเร็จด้วยดี ทำให้ระบบไฟฟ้ากระแสสลับกลายเป็นแบบอย่างของระบบไฟฟ้าทั่วโลก ต่อมาบริษัทของเอดิสัน ก็ยอมแพ้ในสงครามกระแสไฟฟ้า และซื้อลิขสิทธิ์ระบบไฟฟ้ากระแสสลับของเทสลาต่อจากเวสติงเฮาส์ ก่อนเปลี่ยนมาทำระบบไฟฟ้ากระแสสลับ ทำให้บริษัทของเวสติงเฮาส์ขึ้นมาเป็นกิจการด้านไฟฟ้าอันดับหนึ่งของโลก

ถือว่าสงครามกระแสไฟฟ้า ซึ่งเกิดการปะทะกันระหว่างสองผู้นำสองแนวคิดคือ โทมัส อัลวา เอดิสัน และนิโคลา เทสลา ไม่ใช่เกิดขึ้นลอย ๆ หรือเผชิญหน้ากันแค่เพียงทฤษฎีและความเชื่อมั่นในระบบกระแสไฟฟ้าเท่านั้น ยังมีเรื่องของผลประโยชน์ การค้า การลงทุน และเล่ห์เหลี่ยมกลโกงมากมายที่นำมาโจมตีฝ่ายตรงข้าม

ท้ายที่สุด กระแสไฟฟ้าสลับของเทสลาสามารถพิสูจน์ว่าสร้างประโยชน์และคุ้มค่าสูงสุด จึงเป็นที่นิยมแพร่หลายทั่วโลกจนถึงปัจจุบัน

อ่านเพิ่มเติม :

สำหรับผู้ชื่นชอบประวัติศาสตร์ ศิลปะ และวัฒนธรรม แง่มุมต่าง ๆ ทั้งอดีตและร่วมสมัย พลาดไม่ได้กับสิทธิพิเศษ เมื่อสมัครสมาชิกนิตยสารศิลปวัฒนธรรม 12 ฉบับ (1 ปี) ส่งความรู้ถึงบ้านแล้ววันนี้!! สมัครสมาชิกคลิกที่นี่


อ้างอิง :

John J. O’ Neill.  PRODIGAL GENIUS The life of Nikola Tesla นิโคลา เทสลา อัจฉริยะนักฝันผู้เดียวดาย. แปลโดย ยุทธนา ตันติรุ่งโรจน์ชัย.  กรุงเทพฯ : มติชน,  2560

Takieng. นิโคลา เทสลา อัจฉริยะเดียวดายผู้สร้างความสว่างไสวให้กับโลกแต่ไร้คนจดจำ.  สืบค้นเมื่อ 11 กรกฎาคม  2562, จาก https://www.takieng.com/stories/8144

Takieng. ทอมัส เอดิสัน พ่อมดนักประดิษฐ์ผู้เปลี่ยนโลกด้วยสิ่งประดิษฐ์เทคโนโลยีกว่า 1,000 ชิ้น.  สืบค้นเมื่อ 11 กรกฎาคม  2562, จาก https://www.takieng.com/stories/9140


เผยแพร่ในระบบออนไลน์ครั้งแรกเมื่อ 12 กรกฎาคม 2562