ชื่อ “วัน-เดือน” ของไทยมาจากไหน การใช้วันที่ 1,2,3… เริ่มเมื่อใด?

วัน เดือน การเรียกชื่อวัน การเรียกชื่อเดือน
(ภาพประกอบเนื้อหา)

ในสมัยโบราณไทยกำหนด วัน เดือน แบบ “จันทรคติ” อาศัยการโคจรของดวงจันทร์เป็นหลักคือ นับจำนวนวันตามดวงจันทร์ เริ่มตั้งแต่ดวงจันทร์มีแสงสว่างน้อย ๆ ไปจนถึงสว่างเต็มดวง ระยะนี้เรียกว่า “ข้างขึ้น” หรือ “เดือนหงาย” เพราะรูปดวงจันทร์มีลักษณะหงายขึ้นจนกระทั่งโตเต็มดวง เริ่มนับแต่ขึ้น 1 ค่ำไปจนถึง 15 ค่ำ

ต่อจากนั้นดวงจันทร์ก็เริ่มแหว่งมีแสงน้อยลงตามลำดับ ระยะนี้รูปดวงจันทร์ดูเหมือนคว่ำ มีลักษณะเป็นเสี้ยวเล็กลงจนดับมิดดวง เรียกว่า “ข้างแรม” เริ่มนับแต่แรม 1 ค่ำ เรื่อยไปจนถึงแรม 14 ค่ำ และแรม 15 ค่ำ เดือนหนึ่งจึงมี 29 วันบ้าง 30 วันบ้างแล้วแต่เดือนขาด เดือนเต็ม (เดือนขาด คือ มี 29 วัน เพราะมีเพียง แรม 14 ค่ำ จะมีในเดือน 3, 5, 7, 9 และ 11 )

Advertisement

นอกจากการนับวันแบบขึ้นแรมแล้ว ไทยได้แบบอย่าง “การเรียกชื่อวัน” ทั้ง 7 มาจากอินเดียอีกอย่างหนึ่งคือ วันอาทิตย์ วันจันทร์ วันอังคาร วันพุธ วันพฤหัสบดี วันศุกร์ และวันเสาร์ จะผิดกันบ้างบางวันเพราะในอินเดียเรียกวันทั้ง 7 ว่า

รวิวาร-วันอาทิตย์, โสมวาร-วันจันทร์, มงคลวาร-วันอังคาร, พุธวาร-วันพุธ, พฤหัสบดีวาร-วันพฤหัสบดี, ศุกรวาร-วันศุกร์ และศนิวาร-วันเสาร์

ไทยนำแบบอย่างมาแต่เปลี่ยนเรียกให้เหมาะสมกับนามเทวดานพเคราะห์ที่ใช้เรียกในเมืองไทย การเรียกชื่อวัน ดังกล่าวมีมาช้านานแล้ว มีหลักฐานปรากฏในหลักศิลาจารึกมากแห่งด้วยกัน

ส่วน “การเรียกชื่อเดือน” เราไม่เอาแบบของอินเดียซึ่งเขาเริ่มที่เดือน จิตรมาส (เดือน 5), ไพศาขมาส (เดือน 6), เชษฐมาส (เดือน 7), อาษาฒมาส (เดือน 8), ศราวณมาส (เดือน 9), ภัทรบทมาส (เดือน 10), อัสวินมาส (เดือน 11), กัตติกมาส (เดือน 12), มาคศิรมาส (เดือนอ้าย), บุษยมาส (เดือนยี่), มาฆมาส (เดือน 3) และ ผาลคุนมาส (เดือน 4)

ไทยแต่เดิมมี การเรียกชื่อเดือน โดยเรียกเดือนแรกของปีว่า เดือนอ้าย เดือนที่ 2 ว่าเดือนยี่ เดือนสาม เดือนสี่ ไปตามลำดับ แม้ต่อมาภายหลังเราจะเปลี่ยนไปใช้เดือน 5 เป็นเดือนแรกของปีเราก็ยังเรียกตามแบบเดิม

ครั้นถึงรัชกาลที่ 5 ทรงมีพระราชดำริว่า การใช้วันเดือนตามแบบจันทรคติไม่สะดวก ไม่เหมาะสมกับความเป็นไปของบ้านเมืองที่ต้องมีความสัมพันธ์กับต่างประเทศที่เขานับวันเดือนตามแบบสุริยคติ (กำหนดว่าเมื่อโลกโครจรไปรอบดวงอาทิตย์ครั้งหนึ่งนับเป็นเวลาปีหนึ่งมีตำนวน 365 วันเศษ แบ่งเป็น 12 เดือน ส่วนจันทรคติกำหนดว่าดวงจันทร์โคจรไปรอบดวงอาทิตย์ครั้งหนึ่งเป็นเวลา 1 ปี มีจำนวนเพียง 354 วันเศษ) จึงทรงหาจังหวะที่จะเปลี่ยนวิธีนับวันและเรียกชื่อเดือนเสียใหม่ เพื่อใช้เรียกและกำหนดจดจำได้ง่ายขึ้น

เผอิญในปีฉลู จ.ศ. 1251 มีวันประจวบเหมาะคือในเดือน 5 ขึ้น 1 คำซึ่งเป็นวันปีใหม่เปลี่ยนปีนักษัตรตามปกตินั้นตรงกับวันที่ 1 ตามปฏิทินสุริยคติพอดี คือเป็นวันที่ 1 ในเดือน 5 แต่จะใช้ว่าวันที่ 1 เดือน 5 หรือเดือนเจตรตามแบบอินเดียที่ไม่เหมาะ จึงต้องคิดชื่อเดือนขึ้นใหม่ โดยอาศัยหลักโหราศาสตร์ที่ว่า เมื่อพระอาทิตย์โคจรเข้าสู่ราศีเมษ ที่เรียกว่าเป็นวันสงกรานต์ขึ้นปีใหม่จึงเอาชื่อราศีเมษมาเป็นชื่อเดือน ราศีถัดไปคือราศีพฤษภ ราศีมิถุน ราศีกรกฎ ราศีสิงห ราศีกันย ราศีตุล ราศีพฤศจิก ราศีธนู ราศีมกร ราศีกุมภ ราศีมีน (ชื่อราศีเหล่านี้ตามตำราของอินเดีย)

เมื่อนำเอาชื่อราศีมาใช้เป็นชื่อเดือน เราก็เปลี่ยนแปลงรูปคำเสียใหม่ คือนำเอาคำ อายน และอาคม มาสนธิ ต่อท้ายคำเดิม เช่น เมษก็เป็น เมษายน (เมษ + อายน) พฤษภ เป็น พฤษภาคม (พฤษภ + อาคม)

คำว่า “อายน” และ “อาคม” มีความหมายอย่างเดียวกันว่า “การมาถึง” คือดวงอาทิตย์มาถึงราศีนั้นก็หมายเอาว่าขึ้นเดือนนั้นจึงเรียกชื่อเดือนว่าเช่นนั้น ได้แบ่งเดือนที่มี 30 วันให้ใช้ “อายน” เดือนที่มี 31 วันให้ใช้ “อาคม” มีพิเศษอยู่เดือนหนึ่งมี 28 วัน ให้ใช้ “กุมภาพันธ์” (กุมภ+อาพันธ์ คำว่า อาพันธ์ หมายถึง ผูก ก็หมายอย่างเดียวกันคืออาทิตย์มาถึงราศีกุมภ)

นักปราชญ์ของไทยท่านเข้าใจดัดแปลงเอาชื่อราศีของอินเดียมาใช้เป็นชื่อเดือนได้อย่างเหมาะเจาะ ผู้ที่มีหน้าที่คิดชื่ออะไรต่าง ๆ ในสมัยนั้น ก็มี พระยาศรีสุนทร โวหาร (น้อย อาจารยางกูร) เป็นหลักอยู่ คงจะร่วมคิดกับ พระองค์เจ้าเทวัญอุไทยวงศ์ (สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาเทวะวงศ์วโรปการ) ซึ่งมีความชำนาญในวิชาโหราศาสตร์ และได้ทรงคิดวิธีปฏิทินไทยใช้ตามสุริยคติกาลนำขึ้นทูลเกล้าฯ ถวายพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และโปรดให้ใช้เป็นแบบแผนของบ้านเมืองมาตั้งแต่ พ.ศ. 2432 คือปีที่ประกาศใช้ชื่อ เดือนเมษายน พฤษภาคม ฯลฯ

การเปลี่ยนแปลงใช้วันที่และเดือนตามแบบสุริยคติในสมัยรัชกาลที่ 5 ซึ่งถือเป็นแบบแผนที่ใช้ในราชการดังกล่าว มีหลักฐานเป็นพระบรมราชโองการเรียกว่าประกาศให้ใช้วันอย่างใหม่ เมื่อวันพฤหัสบดี เดือน 4 แรม 12 ค่ำ ปีชวดสัมฤทธิศก จุลศักราช 1250 ตรงกับวันที่ 28 มีนาคม 2431 มีข้อความกล่าวถึงคติทางดาราศาสตร์มากมาย จะคัดมาทั้งหมดก็ยึดยาวไป จะกล่าวเฉพาะที่ตราเป็นพระราชบัญญัติมาพอให้เห็นความสำคัญดังนี้

ข้อ 1 ให้ตั้งวิธีนับปีเดือนตามสุริยคติกาลดังว่า ต่อไปนี้ เป็นปีปรกติ 365 วัน ปีอธิกสุรทิน 366 วัน ให้ใช้ศักราชตามปีตั้งแต่ตั้งกรุงเทพมหานครบวรรัตนโกสินทร มหินทรายุทธยาบรมราชธานีนั้น เรียกว่ารัตนโกสินทรศก ใช้เลขปีในรัชกาลทับหลังศักด้วย…

ข้อ 2 ปีหนึ่ง 12 เดือน มีชื่อตามราศีที่เดือนนั้นเกี่ยวข้องอยู่ มีลำดับดังนี้ เดือนที่ 1 ชื่อเมษายน มี 30 วัน…วันในเดือนหนึ่งนั้นให้เรียกว่าวันที่ 1 วันที่ 2…

ข้อ 3 ให้นับใช้วิธีนี้ในราชการแลการสารบาญ ทั้งปวงตั้งแต่วัน 2 เดือน 5 ขึ้น 1 ค่ำ ปีฉลู ยังเป็น สัมฤทธิศก จุลศักราช 1250 นั้นเป็นวันที่ 1 เมษายน รัตนโกสินทรศก 108 ต่อไป แต่วิธีนับวันเดือนปีตามจันทรคติ ซึ่งเคยใช้มาในการกำหนดพระราชพิธีประจําเดือนต่างๆ ก็ดี แลใช้สังเกตเป็นวันกำหนดหยุดทำการที่ดี ให้คงใช้ตามเดิมนั้น

ที่ยกมากล่าวข้างต้น เฉพาะหลักสำคัญที่ได้เปลี่ยนแปลงตั้งขึ้นใหม่ ซึ่งสรุปแล้วก็คือเลิกใช้มหาศักราช จุลศักราช ในทางราชการให้เปลี่ยนมาใช้รัตนโกสินทรศก ตั้งแต่วันจันทร์ เดือน 5 ขึ้น 1 ค่ำ ปีฉลู ซึ่งตรงกับวันอย่างใหม่เป็นวันที่ 1 เมษายน รัตนโกสินทรศก 108 (พ.ศ. 2432) การเรียกวันเป็นวันที่ 1 วันที่ 2 ฯลฯ และเรียก ชื่อเดือนว่าเมษายน พฤษภาคม ฯลฯ จึงได้มีขึ้นเป็นครั้งแรกในวันนั้น

อ่านเพิ่มเติม : 

สำหรับผู้ชื่นชอบประวัติศาสตร์ ศิลปะ และวัฒนธรรม แง่มุมต่าง ๆ ทั้งอดีตและร่วมสมัย พลาดไม่ได้กับสิทธิพิเศษ เมื่อสมัครสมาชิกนิตยสารศิลปวัฒนธรรม 12 ฉบับ (1 ปี) ส่งความรู้ถึงบ้านแล้ววันนี้!! สมัครสมาชิกคลิกที่นี่


ข้อมูลจาก :

ส.พลายน้อย. ชื่อ “วัน-เดือน” ของไทย, ศิลปวัฒนธรรม มกราคม 2535


เผยแพร่ในระบบออนไลน์ครั้งแรกเมื่อ 12 เมษายน 2562