ผู้เขียน | เล็ก พงษ์สมัครไทย |
---|---|
เผยแพร่ |
รัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงคราม กําหนดการเลือกตั้งทั่วไปในวันที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2500 การเลือกตั้งครั้งนี้เป็นการแข่งขันกัน 2 พรรคใหญ่ คือ พรรคเสรีมนังคศิลา กับพรรคประชาธิปัตย์ พรรคเสรีมนังคศิลาเป็นพรรครัฐบาล มีจอมพล ป. พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรีเป็นหัวหน้าพรรค และพลตํารวจเอกเผ่า ศรียานนท์ อธิบดีกรมตํารวจ เป็นเลขาธิการพรรค ส่วนพรรคประชาธิปัตย์เป็นพรรคฝ่ายค้าน มีนายควง อภัยวงศ์ เป็นหัวหน้าพรรค
ภายในพรรคเสรีมนังคศิลาของจอมพล ป. พิบูล สงคราม มีการแก่งแย่งชิงดีกันระหว่างจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ผู้บัญชาการทหารบกและรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวง กลาโหม กับพลตํารวจเอกเผ่า ศรียานนท์ เลขาธิการพรรครัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย และมีตําแหน่งข้าราชการประจําคืออธิบดีกรมตํารวจเจ้าของคําขวัญที่ว่า “ไม่มีอะไรภายใต้ดวงอาทิตย์ ที่ตํารวจไทยทําไม่ได้”
จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ และพลตํารวจเอกเผ่า ศรียานนท์ เป็นรัฐมนตรีร่วมรัฐบาลเดียวกันที่มีจอมพล ป. พิบูลสงคราม เป็นนายกรัฐมนตรี แต่ในการประชุมคณะรัฐมนตรีที่ทําเนียบรัฐบาล พลตํารวจเอกเผ่า ศรียานนท์ ในฐานะอธิบดีกรมตํารวจก็จะพกอาวุธเข้าประชุมคณะรัฐมนตรีเป็นประจํา พร้อมกันนั้นก็สั่งการให้กองกําลังตํารวจเข้าอารักขาภายในทําเนียบรัฐบาล ในขณะที่จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ในฐานะผู้บัญชาการทหารบกก็สั่งกองทหารราบพร้อมอาวุธหนักคุมเชิงรอบนอกทําเนียบรัฐบาล
ลักษณะการประจันหน้าระหว่างตํารวจและทหารบกเกิดขึ้นเป็นประจํา โดยที่จอมพล ป. พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรี ทําอะไรไม่ได้เพราะกําลังหมดอํานาจและบารมี
การเลือกตั้งทั่วไปวันที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2500 นับเป็นการเลือกตั้งที่สกปรกมากที่สุดในประวัติศาสตร์การเมืองไทย เพราะจอมพล ป. พิบูลสงคราม หัวหน้าพรรค และพลตํารวจเอกเผ่า ศรียานนท์ เลขาธิการใช้อํานาจและอิทธิพลของทหารและตํารวจบีบบังคับข้าราชการทหาร ตํารวจ และพลเรือนให้ช่วยพรรคเสรีมนังคศิลาอย่างเต็มที่
ขณะเดียวกันจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ผู้บัญชาทหารบกและ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม ได้แสดงบทบาทของพระเอกขี่ม้าขาวด้วยการเรียกประชุมนายทหารชั้นผู้ใหญ่ทั่วประเทศให้ทหารทุกคนวางตัวเป็นกลาง ไม่ให้สนับสนุนพรรคใดพรรคหนึ่งโดยเฉพาะ ทหารทุกคนมีสิทธิเสรีภาพในการตัดสินใจทางการเมืองของตน
หลังการเลือกตั้ง พรรคเสรีมนังคศิลามีชัยเหนือพรรคประชาธิปัตย์ หนังสือพิมพ์ สื่อมวลชนทุกแขนงต่างประโคมข่าวการทุจริตการเลือกตั้ง ประชาชนและขบวนการนิสิตนักศึกษาต่างโจมตีการเลือกตั้งสกปรกครั้งนี้เพราะมีพลร่มไพ่ไฟ การเวียนเทียนการบีบบังคับข้าราชการประจําและการทุจริต เลือกตั้งในรูปแบบต่าง ๆ กัน ประชาชนได้เดินขบวนคัดค้านการเลือกตั้ง ถึงแม้ตัวจอมพล ป. พิบูลสงคราม หัวหน้าพรรคเสรีมนังคศิลาและรักษาการนายกรัฐมนตรี ได้พยายามทุกวิถีทางที่จะทําความเข้าใจกับสื่อมวลชน ประชาชน และนิสิตนักศึกษา แต่ความไม่พอใจในตัวจอมพล ป. พิบูล สงคราม กลับเพิ่มมากขึ้น
คณะรัฐประหาร
วันที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2500 หรือ 1 สัปดาห์หลังการเลือกตั้ง จอมพล ป. พิบูลสงคราม รักษาการนายกรัฐมนตรี ตัดสินใจประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินเพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยของบ้านเมืองแต่กลับเพิ่มดีกรีของความรุนแรงให้มากยิ่งขึ้น การเดินขบวนประท้วงของประชาชนและนิสิตนักศึกษามุ่งหน้าจากท้องสนามหลวง สู่ทําเนียบรัฐบาล และในวันเดียวกันนี้ได้มีประกาศสํานักนายกรัฐมนตรีแต่งตั้งให้จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ เป็นผู้รักษาความสงบเรียบร้อยตามประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินและมีอํานาจบังคับบัญชาทหารบก ทหารเรือ ทหารอากาศ และตํารวจได้ทั่วราชอาณาจักร
ผู้คนเรือนหมื่นประจันหน้ากับกองทัพของชาติที่บริเวณสะพานมัฆวานรังสรรค์ ถนนราชดําเนิน วินาทีเลือดอาจเกิดขึ้นได้ทุกขณะ จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ผู้บัญชาการทหารบก และรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม ซึ่งไปบัญชาการอยู่ในที่นั้นได้ประกาศแก่กองกําลังทหารและตํารวจว่า
“ทหารและตํารวจทั้งหลาย อย่าใช้อาวุธทําร้ายประชาชนเป็นอันขาด จงเปิดทางให้ประชาชนผ่านเข้ามาโดยดี”
จากนั้นคลื่นมหาชนได้เคลื่อนเข้าสู่ทําเนียบรัฐบาลโดยเผชิญหน้ากับจอมพล ป. พิบูลสงคราม รักษาการนายกรัฐมนตรี เพื่อเรียกร้องให้มีการเลือกตั้งใหม่ ซึ่ง ณ ที่นั้น จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ เป็นผู้ไกล่เกลี่ยประนีประนอม และให้คํามั่นสัญญาต่อผู้ชุมนุมประท้วงว่า “ข้าพเจ้าเป็นทหารของชาติ และขอพูดอย่างชายชาติทหารว่า ข้าพเจ้ามีความเห็นใจประชาชน สิ่งใดทีมติมหาชนไม่ต้องการ ข้าพเจ้าจะไม่ร่วมมือด้วย และหาทางขจัดเสียในการที่ข้าพเจ้าพูดอย่างนี้ ขอเอาเกียรติทหารเป็นเดิมพัน”
มีภาษิตทางการเมืองว่า “สถานการณ์สร้างวีรบุรุษ” แต่มองในมุมกลับ วีรบุรุษอาจจะสร้างสถานการณ์ได้ ประวัติศาสตร์การเมืองหน้านี้ยังไม่ได้รับการพิสูจน์ว่าสถานการณ์สร้างวีรบุรุษหรือวีรบุรุษสร้างสถานการณ์
ท่ามกลางบรรยากาศความไม่พอใจของหนังสือพิมพ์ และประชาชนทั่วไป จอมพล ป. พิบูลสงคราม ก็สามารถตั้งรัฐบาลได้เมื่อวันที่ 21 มีนาคม นับเป็นรัฐบาลชุดที่ 26 ในระบอบประชาธิปไตย ในรัฐบาลนี้จอมพลเรือหลวงยุทธ ศาสตร์โกศล เป็นรองนายกรัฐมนตรี จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวง พลโทกนอม (จอมพล) เป็นรมช.กลาโหม พลตํารวจเอกเผ่า ศรียานนท์ เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย และพลตรีประภาส จารุเสถียร (จอมพล) เป็นรมช.มหาดไทย พันเอกนาย วรการบัญชา เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง พลตรี พระเจ้าวรวงศ์เธอ กรมหมื่นนราธิปพงศ์ประพันธ์ เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ
จอมพล ป. พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรี ต้องพารัฐนาวาฝ่าคลื่นมรสุมอย่างหนักหน่วงหลายประการ ในสายตาประชาชนแล้วรัฐบาลขาดความชอบธรรมเพราะมาจากการเลือกตั้งที่ไม่สุจริตยุติธรรม การโจมตีของหนังสือพิมพ์ และพรรคประชาธิปัตย์ นําโดยนายควง อภัยวงศ์ ส.ส.กรุงเทพฯ และหัวหน้าพรรค และที่สําคัญสุดคือการชิงอํานาจซึ่งกันและกันระหว่างจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และพลตํารวจเอกเผ่า ศรียานนท์ รัฐมนตรว่าการกระทรวงมหาดไทย ซึ่งมีข่าวมาตลอดว่าต่างจะจับกุมตัวซึ่งกันและกันและจะขึ้นเป็นผู้นําทางการเมืองแทนจอมพล ป. พิบูลสงคราม
และแล้วความล่มสลายของรัฐบาลจอมพล ป. พิบูล สงคราม ก็มาถึง และทําให้จอมพล ป. พิบูลสงคราม นายก รัฐมนตรี ต้องลี้ภัยการเมืองจากประเทศไทยไปจนถึงอสัญ กรรมที่ประเทศญี่ปุ่น
วันที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2500 จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ พลโทถนอม กิตติขจร พลตรีศิริ สิริโยธิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสหกรณ์ พลโทประภาส จารุเสถียร และพลอากาศโทเฉลิมเกียรติ วัฒนางกูร รมช.เกษตร ขอลาออกจากตําแหน่ง เหตุผลที่เป็นทางการของการลาออกของคณะนายทหารครั้งนี้คือ “แนวนโยบายไม่ตรงกับของรัฐบาล จึงอยู่ร่วมกันไม่ได้” แต่เหตุผลที่เป็นจริงคงมีอยู่ จอมพล ป. พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรี พยายามเจรจาประนีประ นอมกับจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ผู้บัญชาการทหารบกและคณะ แต่ไม่สําเร็จ
ขณะเดียวกันประชาชนก็รวมตัวประท้วง และต่อต้านรัฐบาล จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ผู้บัญชาการทหารบก จึงได้เรียกประชุมนายทหารชั้นผู้ใหญ่ซึ่งรวมตัวเป็น “คณะรัฐประหาร” ตั้งข้อเสนอต่อจอมพล ป. พิบูลสงคราม 2 ข้อ คือ ให้รัฐบาลลาออก และให้พลตํารวจเอก เผ่า ศรียานนท์ ลาออกจากตําแหน่งอธิบดีกรมตํารวจและ ตําแหน่งอื่นๆ ทั้งหมด เมื่อจอมพล ป. พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรี รับข้อเสนอของจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ผู้บัญชา การทหารบกและหัวหน้าคณะรัฐประหารแล้วก็ยังสงวนท่าที ไม่ให้คําตอบที่ชัดเจน
บ่าย 2 โมงของวันที่ 15 กันยายน คลื่นมหาชนนับหมื่นเปิดไฮด์ปาร์กที่ท้องสนามหลวงเรียก ร้องให้จอมพล ป. พิบูลสงคราม ลาออกจากนายกรัฐมนตรี และให้ส่งพลตํารวจเอกเผ่า ศรียานนท์ รัฐมนตรีมหาดไทย และอธิบดีกรมตํารวจ ออกไปนอกประเทศ ซึ่งเป็นการตอกย้ำข้อเสนอของคณะรัฐประหารของจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ นั่นเอง จากนั้นในช่วงค่ำได้เดินขบวนไปที่บ้านพักสี่เสาเทเวศร์เพื่อพบจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ และเรียกร้องให้ออกมาแก้ไขปัญหาการเมืองในขณะนั้นให้ลุล่วงไป จอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ ออกมาต้อนรับและปราศรัยฝูงชนผู้ประท้วงว่า
“ข้าพเจ้ายินดีเสียสละทุกอย่าง เพื่อประชาชน ส่วนท่านทั้งหลายขอให้ต่อสู้ต่อไปในวิถีทางที่ถูกต้องและดีงาม”
เย็นวันรุ่งขึ้นคือวันที่ 16 กันยายน จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ผู้บัญชาการทหารบก ในฐานะหัวหน้าคณะรัฐประหารได้เรียกประชุมนายทหารชั้นผู้ใหญ่ที่หอประชุมกองทัพบก เป็นการประชุมลับแต่ก็เป็นที่รับรู้กันในวงกว้าง สําหรับจอมพล ป. พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรี คงปฏิบัติหน้าที่ดูทีท่าของคณะรัฐประหารอยู่ที่ทำเนียบรัฐบาล มีข้าราชการประจำ ข้าราชการการเมือง นายทหารร่วมชุมนุมอยู่ด้วย
เมื่อรู้แน่ว่าสถานการณ์เป็นอย่างไร จอมพล ป. พิบูลสงคราม เดินลงมาจากห้องพักชั้นบนของทําเนียบรัฐบาล พร้อมเรียกพลโทบุลศักดิ์ วรรณมาศ นายฉาย วิโรจน์ศิริ ส.ส.จังหวัดกาญจนบุรีและดํารงตําแหน่งเลขาธิการนายกรัฐมนตรี พันตํารวจเอกเทียบ สุทธิมณฑล นายตํารวจเวร และพันตํารวจ เอกชุมพล โลหะชาละ นายตํารวจอารักขา แล้วพูดว่า “ไป”

วันเดินทางลี้ภัย
รถซีตรองประจําตําแหน่งนายกรัฐมนตรีเคลื่อนออกจากทําเนียบรัฐบาล จอมพล ป. พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรี เป็นคนขับ พลโทบุลศักดิ์ วรรณมาศ นั่งด้านซ้ายคู่ กับจอมพล ป. นายฉาย วิโรจน์ศิริ และพันตํารวจเอกเทียบ สุทธิมณฑล นั่งเบาะหลังทั้ง 3 คน ฝนตกปรอย ๆ ขณะนั้น เป็นเวลาประมาณ 1 ทุ่ม จอมพล ป. พิบูลสงคราม ไม่มีลักษณะรีบร้อนหรือตื่นเต้นแม้แต่น้อย คงสูบบุหรี่และเปิดวิทยุในรถฟังตลอดเวลา จุดแรกที่ไปคือบ้านซอยชิดลม แล้ว จอมพล ป. ได้ขึ้นไปบนบ้านและให้พันตํารวจเอกชุมพล โลหะชาละ นายตํารวจติดตามโทรศัพท์ตามหาพลตํารวจเอก เผ่า ศรียานนท์ ว่าอยู่ไหน ผลคือไม่สามารถติดต่ออธิบดีกรมตํารวจได้
ทุกคนขึ้นประจําที่ที่รถซีตรองคันเดิม สําหรับจอมพล ป. พิบูลสงคราม ได้นํากระเป๋าเอกสารแบบซิปรูดบรรจุเงินสด 40,000 บาท รถเคลื่อนตัวออกจากบ้านซอยชิดลมไปตามถนนสุขุมวิท ทุกคนอยู่ ในอาการเงียบสงบ ไม่ทราบว่าท่านผู้นําคิดอย่างไร และกําลังจะไปไหน ถึงหน้าสถานีตํารวจพระโขนง ท่านผู้นําจอดรถชั่วขณะ แล้วหันมาพูดกับผู้ติดตาม 3 คนด้านหลังว่า ข้างหลังนั่ง 3 คนอึดอัด ท่านจึงให้พันตำรวจเอกเทียบ สุทธิมณฑล ลงแล้วหารถกลับเข้ากรุงเทพฯ หากมีโอกาสให้ไปดูสถานการณ์ที่ทําเนียบรัฐบาล และให้ไปรายงานที่บ้านพักรับรองบางปู จังหวัดสมุทรปราการ ขณะนั้นฝนตกพรําๆ จากนั้นท่านผู้นําขับรถมุ่งหน้าไปทางสมุทรปราการอย่างไม่ รีบร้อนนัก
ขณะขับรถ จอมพล ป. พิบูลสงคราม ผู้แพ้ภัยสูบบุหรี่ชนิดมวนต่อมวนไปตลอดทาง ขณะเดียวกันวิทยุในรถเปิดเพลงมาร์ชรักชาติ สลับกับเพลงปลุกใจ เมื่อถึงปากน้ำและมุ่งไปทางบางปู ถึงบ้านพักรับรองท่านผู้นําเพียงแต่หันไปมองชั่วครู่แต่ไม่เลี้ยวเข้า ท่านขับรถเลยไป ขณะนั้นเวลาประมาณ 2 ทุ่ม ฝนเริ่มเม็ดหนาขึ้นทุกที ท้องฟ้ามืดมิด รถมาถึงสะพานบางปะกง ทหารช่างจากแปดริ้วกําลังตั้งด่านตรวจรถ ขณะที่รถของท่านผู้นําไปถึง การตั้งด่านยังไม่เรียบร้อยจึงยังไม่ได้ลงมือตรวจ ท่านผู้นําและคณะจึงผ่านเลยไป เพียงชั่วอึดใจวิทยุในรถประกาศบ่อยครั้งให้จอมพล ป. พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรี พลตํารวจเอก เผ่า ศรียานนท์ อธิบดีกรมตํารวจ และจอมพลเรือหลวง ยุทธศาสตร์โกศล รองนายกรัฐมนตรี ไปรายงานตัวที่หอประชุมกองทัพบก
ท่านผู้นําและคณะได้ยินประกาศนี้ แต่ต่างคนต่างเงียบ จอมพล ป. พิบูลสงคราม ฟังเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ยังคงสูบบุหรี่มวนต่อมวน เมื่อถึงศรีราชาท่านจึงพูดว่ามีคนสนิทของจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ โทรศัพท์มาบอกว่าขอเชิญตัวไปที่หอประชุมกองทัพบก แต่ท่านไม่รอให้ทหารมาเชิญจึงได้ขับรถออกมาทําเนียบรัฐบาลเสียก่อน รถน้ำมันหมดที่ศรีราชาและมอบให้นายฉาย วิโรจน์ศิริ และพลโทบุลศักดิ์ วรรณมาศ นํารถย้อนกลับไปเติมน้ำมันที่ตลาด ส่วนจอมพล ป. กับพันตํารวจเอกชุมพล โลหะชาละ นายตํารวจอารักขา หลบฝนอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ริมถนน
ครู่ใหญ่รถกลับมาจากเติมน้ำมัน ฝนยังคงหนาเม็ด จอมพล ป. พิบูลสงคราม ยังทําหน้าที่ขับรถต่อไป ท้องฟ้าคะนอง ฝนตกหนักขึ้นทุกที เมื่อถึงสัตหีบท่านผู้นําไม่ยอมแวะไปหาพลเรือตรีประสงค์ พิบูลสงคราม บุตรชายซึ่งเป็นผู้บังคับการฐานเรือสัตหีบ แต่ขับรถเลยไป ถนนจากสัตหีบเริ่มไม่ดี ฝนตกหนัก และเป็นเวลากลางคืน กระจกหน้ามีฝ้าจับมาก ท่านผู้นําต้องขับรถไปอย่างช้าๆ วิทยุในรถยังคงเปิดเพลงมาร์ชและเพลงปลุกใจ สลับกับการประกาศให้บุคคลที่คณะรัฐประหารต้องการตัวไปรายงานตัวที่หอประชุมกองทัพบก
เมื่อรถเลยสัตหีบไปแล้ว จอมพล ป. พิบูลสงคราม ได้ถามขึ้นลอยๆ ว่าถนนที่จะไปเขมร โดยผ่านทางไปพลนั้น มีใครรู้จักเส้นทางบ้างไหม ผู้ติดตามจึงทราบว่าท่านผู้นําจะลี้ภัยการเมืองไปประเทศกัมพูชาแน่นอน เมื่อไม่มีใครรู้จักเส้นทาง ท่านจึงขับรถไปเรื่อย ๆ ท้องฟ้าทางตะวันออกเริ่มสว่าง และรู้ว่าเข้าเขตจังหวัดตราด ท่านจึงเลี้ยวรถเข้าไปในดงมะพร้าว ฝนหยุด กําลังรุ่งสางแล้ว แต่เมฆฝนยังคงทะมึนอยู่ พร้อมที่จะตกได้ทุกเวลา
พันตํารวจเอกชุมพล โลหะชาละ นายตํารวจอารักขา ได้บอกกับท่านผู้นําว่าจะเข้าไปในตลาดเพื่อซื้อกาแฟ ปาท่องโก๋ พร้อมทั้งดูเหตุการณ์ต่าง ๆ ด้วย จากนั้นจึงถอดเครื่องแบบตํารวจออกคงเหลือแต่เสื้อยืดคอกลมชั้นในเพียงตัวเดียว ขณะนั้นเป็นเวลา 6 โมงเช้า ชาวตราดฟังวิทยุทราบแล้วว่ามีการปฏิวัติรัฐประหารโดยจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์
เช้าวันที่ 17 กันยายน เป็นวันที่อากาศไม่แจ่มใสเสียเลยโดยเฉพาะกับผู้เผชิญปัญหาวิกฤตที่เอาเป็นเอาตายกันถึงชีวิต พันตํารวจเอกชุมพล โลหะชาละ เดินไปที่ท่าเรือซื้อกาแฟ ปาท่องโก๋ พร้อมทั้งสอบถามชาวเรือถึงการเช่าเรือแถวๆ นั้นด้วย แต่เมื่อชาวเรือถามว่าจะเช่าไปไหนก็ตอบไม่ได้เพียงแต่บอกว่าจะไปเที่ยว ชาวเรือทุกคนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่ามรสุมคลื่นลมแรงอย่างนี้ ไม่มีเรือลําไหนกล้าออกทะเลหรอก และเมื่อคืนนี้มีการปฏิวัติเหตุการณ์ยังไม่สงบ ไม่มีเรือกล้าออกไปไหน ถึงแม้พันตํารวจเอกชุมพล โลหะชาละ จะบอกว่าจะไปเที่ยวไม่ไกลนัก ชาวเรือก็ปฏิเสธที่จะออกจากฝั่ง พันตํารวจเอกชุมพล โลหะชาละ จึงหิ้วกระป๋องกาแฟและถุงปาท่องโก๋กลับมารายงานท่านผู้นํา ซึ่งท่านบอกว่ากินกาแฟก่อนแล้วพยายามอีกครั้ง
ช่วงสาย พันตํารวจเอกชุมพล โลหะชาละ และนายฉาย วิโรจน์ศิริ เลขาธิการนายกรัฐมนตรี ออกไปตลาดอีกครั้งเพื่อหาเรือลี้ภัยไปเขมร ผู้คนในตลาดเริ่มพลุกพล่านต่าง จับกลุ่มวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ปฏิวัติล้มล้างรัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงคราม โชคดีของคณะผู้ลี้ภัยที่นายฉาย วิโรจน์ศิริ ได้พบกับครูประชาบาลคนหนึ่งซึ่งรู้จักกันมาก่อนและมีเรือหาปลาด้วย จึงขอร้องเชิงบังคับขอเช่าเรือออกทะเลโดยมิได้บอกจุดหมายปลายทางว่าจะไปไหน
ครูประชาบาลเจ้าของเรือจําเป็นต้องรับปากอย่างไม่เต็มใจ ขณะนั้นท้องทะเลกําลังปั่นป่วน ด้วยคลื่นลมหน้ามรสุม ขณะเดียวกันพันตํารวจเอกชุมพล โลหะชาละ ก็พบลูกน้องเก่าคนหนึ่งที่เคยรับราชการที่จังหวัดระยองด้วยกัน ชื่อนายดาบตํารวจเฉลิม ชัยเชียงเอม เป็นหัวหน้าสถานีตํารวจแหลมงอบ และยินดีที่จะนําคณะของจอมพล ป. พิบูลสงคราม เดินทางไปยังเกาะกงของเขมร
เมื่อได้รับรายงานจากบุคคลทั้งสอง จอมพล ป. พิบูลสงคราม ยังคงวิตกกังวลซึ่งสังเกตได้จากใบหน้าของท่าน เมื่อตัดสินใจจะเดินทางในช่วงเที่ยง ท่านผู้นําจึงสั่งให้พลโทบุลศักดิ์ วรรณมาศ เดินทางกลับยังพระนครและให้ไปรายงานต่อจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ เรื่องการลี้ภัยของท่าน และถามพันตํารวจเอกชุมพล โลหะชาละ ว่า “คุณชุมพล คุณมีปัญหาอะไรไหม หมายถึงมีคดีทางการเมืองบ้างไหม”
“กระผมไม่เคยมีปัญหากับใคร และไม่มีผู้บังคับบัญชาคนไหนใช้ให้กระผมกระทําในสิ่งที่ผิดครับผม” นายตํารวจอารักขาตอบอย่างมั่นใจ
“คุณจะไปกับผมไหม”
“ท่านต้องการกระผมหรือเปล่า กระผมไม่มีเงินติดตัวเลย อาจจะเป็นภาระให้ท่านก็ได้ และท่านก็ใช่ว่าจะมีเงินไปมาก เงินภายนอกประเทศไม่มีเลย อยู่ในต่างประเทศจะหาใครอุ้มชูคงจะยาก เงินที่ท่านมีอยู่เพียงท่านคนเดียวคงไปได้ไม่ไกล” เสียงตอบจากนายตํารวจติดตาม
“ผมอยากให้คุณไปกับผม” จอมพล ป. พูดตัดบทกับนายตํารวจอารักขา
“กระผมทําหน้าที่อารักขาท่าน ขณะนี้หน้าที่ยังไม่สิ้นสุด ถ้าท่านคิดว่าจําเป็นที่จะต้องเอากระผมไปด้วย กระผมก็ยินดีและเต็มใจไปกับท่าน อนาคตจะเป็นอย่างไรไม่จําเป็น ต้องคํานึงถึง ผมเชื่อมั่นว่าภรรยาซึ่งเป็นครูคงจะมีรายได้พอจะเลี้ยงลูกทั้งสี่ของเราได้” พันตํารวจเอกชุมพล โลหะชาละ ตอบอย่างมั่นคงในจิตใจ
จากนั้นพันตํารวจเอกชุมพล โลหะชาละ ได้ฝากเครื่องแบบตํารวจไว้กับพลโทบุลศักดิ์ วรรณมาศ ให้ช่วยไปมอบให้ภรรยาและแจ้งข่าวการอารักขานายกรัฐมนตรีตามหน้าที่ซึ่งจําเป็นต้องเสียสละความสุขส่วนตัว
การเดินทางด้วยเรือประมง
สภาพของเรือประมงซึ่งจอมพล ป. พิบูลสงคราม ใช้ในการลี้ภัยการเมืองไปยังเกาะกง ประเทศกัมพูชา เป็นเรือหาปลาขนาดเล็กเครื่องยนต์ใช้น้ำมันเตา อุปกรณ์การเดินเรืออย่างอื่นไม่มี ไม่ว่าจะเป็นวิทยุติดต่อ แผนที่เดินเรือหรือเข็มทิศ ตอนบ่ายคณะของจอมพล ป. พิบูลสงคราม มีผู้ติดตามประกอบด้วย นายฉาย วิโรจน์ศิริ เลขาธิการนายกรัฐมนตรี และพันตํารวจเอกชุมพล โลหะชาละ นายตํารวจอารักขา บ่าย 2 โมงเรือเริ่มเดินเครื่องออกจากท่า แม้จะอยู่ตามชายฝั่งแต่เนื่องจากเป็นเรือเล็กและคลื่นแรงเรือจึงโคลงอย่างหนัก พันตํารวจเอกชุมพล โลหะชาละ เกิดอาการเมาคลื่นอย่างสาหัส อาเจียนจนหมดเรี่ยวแรง แต่สําหรับจอมพล ป. พิบูลสงคราม แล้วท่านนั่งเฉยไม่มีอาการหวาดวิตกว่าเรือจะโคลง จะโดนคลื่น หรือเรือจะล่ม
เรือหาปลาลําเล็กแล่นฝ่ามรสุมไปอย่างบังคับทิศทางไม่ได้ เรือแล่นไปได้ไกลสักเท่าใดก็ไม่ทราบ ประมาณ 2 ทุ่มเศษ เรือได้มาถึงหาดเล็กชายแดนไทย-กัมพูชา คณะจอดเรือเพื่อหาอาหารค่ำรับประทานโดยมีผู้ใหญ่บ้านซึ่งทราบเรื่องได้พาลูกบ้านทําข้าวต้มเลี้ยงท่านผู้นํา ขณะเดียวกันวิทยุก็ ประกาศให้จอมพล ป. พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรี ไปรายงานตัวต่อคณะปฏิวัติที่หอประชุมกองทัพบก ทําให้ท่านมีสีหน้าที่ไม่สบายใจนัก เกือบ 4 ทุ่ม ท่านจึงสั่งให้รีบออกเดินทางทั้ง ๆ ที่บรรยากาศมืดสนิท ท้องทะเลกําลังบ้า คลื่นลมแรงขึ้น ทั้งนี้เพราะกลัวจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ หัวหน้าคณะปฏิวัติจะสั่งให้กองกําลังตามจับ
พลตํารวจเอกชุมพล โลหะชาละ ได้เล่าถึงเหตุการณ์ในครั้งนั้นไว้ว่า
การเดินเรือคราวนี้เลวร้ายกว่าครั้งที่ออกจากตราดมาก ท้องทะเลปั่นป่วนและมืดสนิท พายโหมกระหน่ำอย่างเกรี้ยวกราด คลื่นแต่ละลูกเหมือนภูเขา น้ำทะเลเข้าไปในเรือแต่ละโครมทําให้เรือถูกกระแทกอย่างแรง จนเอียงวูบเหมือนจะจม แต่ไม่จม ผมเจอทะเลบ้าครั้งนี้ อาเจียนจนไม่มีอะไรจะ อาเจียนอีก แต่ยังครองสติได้ เมื่อน้ำทะเลซัดเข้าไปในท้องเรือ น้ำท่วมห้องเครื่อง ผมและลูกเรืออีกคนหนึ่งพยายามสูบน้ำออกจากห้องเครื่อง แต่ปริมาณน้ำที่สูบออกเหมือน “เยี่ยวเด็ก” แต่น้ำที่เข้าไปเหมือน “ทํานบพัง” เครื่องถึงที่สุดของมันคือดับสนิท
เมื่อเครื่องเรือดับ การบังคับเรือทําไม่ได้เลย เรือหาปลาลํานี้ก็เหมือนกาบมะพร้าวลอยไปตามยถากรรม ตามแรงกระแทกของคลื่นยักษ์ ขณะนี้ผมไม่ได้คิดอะไรมากไปกว่าลงไปช่วยสบและวิดน้ำออกจากห้องเครื่อง ถ้าเรือจม แน่นอนว่าต้องจมไปกับเรือ
การผจญกับคลื่นลม ความแปรปรวนของท้องทะเล และเรือต้องลอยไปตามยถากรรมนั้น ผมโผล่จากท้องเรือเห็นจอมพล ป. นั่งสงบนิ่งอยู่ท่ามกลางความมืด ดูเหมือนว่าท่านไม่ได้ตื่นเต้นกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมากนัก ไม่มีอาการเมาคลื่น หรืออะไรทั้งสิ้น
เรือประมงลําเล็ก ๆ ของเราจวนเจียนจะจมหลายต่อหลายครั้งแต่ไม่จม ผมถามกัปตันเรือว่าขณะนี้เราอยู่ที่ไหน อยู่ห่างจากฝั่งเท่าไร เรากําลังอยู่ฝั่งเขมร หรือลอยอยู่ในทะเลไทย กัปตันตอบว่า “ไม่รู้” ขณะที่เครื่องเรือเงียบสนิท และรอให้พายุสงบ
ท้องทะเลยังปั่นป่วนต่อไป เรือจะอับปางลงนาทีหนึ่ง นาทีใดก็ไม่รู้ ผมขึ้นจากท้องเรือเพราะสู้กับปริมาณน้ำทะเลที่คลื่นซัดเข้าเรือไม่ไหว มานั่งกอดเสาอยู่หน้าจอมพล ป. ไม่มีอะไรทําที่ดีไปกว่าภาวนาบนบานศาลกล่าวนึกถึงพระนึกถึงเจ้า พร้อมทั้งคิดว่าเราไม่เคยสร้างกรรมชั่วอะไรไว้ ทําไมจะ ต้องมาตายอย่างทารุณกลางทะเลบ้าอย่างนี้
ผมยังคิดว่า ถ้าตกลงไปในทะเลบ้า หรือมีเหตุให้เรือจม หรือจมไปกับเรือ ผมจะยิงขมับตัวเองทันทีจะไม่ยอมทรมานด้วยการจมน้ำตายเด็ดขาด
เหตุการณ์อันน่าหวาดกลัวและตื่นเต้นที่เกิดขึ้นกับพวกเราในครั้งนี้เป็นเรื่องของธรรมชาติ พวกเราเองก็รู้ว่ามันต้องเกิดขึ้น ทุกคนได้เตือนแล้ว หน้ามรสุมเช่นนี้ไม่มีใครกล้าออกทะเล แม้จะเป็นเรือขนาดใหญ่ที่มีอุปกรณ์การเดินเรือพร้อมก็ตาม แต่เราจําเป็นต้องออก และไม่คิดว่าทะเลจะบ้าคลั่งอย่างรุนแรง น่าสะพรึงกลัวอย่างนี้ พวกเราปลงตกว่า ไม่มีใครแก้ได้ ทุกคนทําอะไรไม่ได้นอกจากระลึกถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายให้ช่วยคุ้มครองเท่านั้น
ภัยที่พวกเราผจญอยู่ในคืนนั้นมันเป็นสิ่งที่น่ากลัวสุดขีด คงไม่มีภัยใดที่น่ากลัวเท่านี้หรือกว่านี้อีกแล้ว ในช่วงที่เครื่องเรือดับและเรือผจญคลื่นขนาดใหญ่ของทะเลที่บ้าคลั่ง พายุโหมกระหน่ำอย่างไม่ปรานี การอยู่ในสภาพที่น่าสะพรึงกลัวเช่นนี้ ไม่มีอะไรดีไปกว่าทําใจให้สงบพร้อมที่จะตาย เหตุการณ์รุนแรงอยู่กว่าครึ่งชั่วโมง มันเป็นครึ่งชั่วโมงที่ยาวนาน เป็นครึ่งชั่วโมงที่ทรมานโหดร้ายที่สุดในชีวิต
ลมฝนค่อยเบาลง แน่นอนคลื่นเล็กลงเป็นลําดับ ในที่สุดท้องทะเลก็เงียบสงบอีกครั้ง ผมหายจากอาการเมาคลื่น รีบลงไปใต้ท้องเรือช่วยกันวิดน้ำออกจนหมด เอาผ้ามาบิดให้แห้ง เช็ดเครื่องเรือ เผาหัว ติดเครื่องได้อีกครั้ง
ที่แน่นอนที่สุดของธรรมชาติอย่างหนึ่งคือ หลังพายุฝน ท้องฟ้าจะแจ่มใส ดวงดาวบนท้องฟ้าระยิบระยับ กัปตันเรือสามารถบอกได้ทันทีว่าขณะนี้เราอยู่ที่ไหน ห่างจากฝั่งเท่าไหร่โดยอาศัยดวงดาว ซึ่งเปรียบเสมือนแผนที่เดินเรือของพวกเขา
ถึงตีห้าเศษๆ คณะจึงรู้ว่าเรืออยู่ทางทิศตะวันออก เพราะท้องฟ้าเริ่มสว่างจ้าเห็นชัดเจนจนมองเห็นฝั่ง และเบื้องหน้าคือ “เกาะกง” จุดหมายการลี้ภัยของจอมพล ป. พิบูลสงคราม เรือแล่นเข้าเกาะกงอย่างช้าๆ และก่อนถึงฝั่ง ทหารประจําเกาะขับเรือเข้าเทียบเรือประมงของคณะผู้ลี้ภัย จอมพล ป. พิบูลสงคราม แจ้งให้ทหารเหล่านั้นทราบว่า ท่านเป็นใคร มาจากไหน และต้องการมาลี้ภัย ทหารเขมรรับทราบและให้คณะลอยเรือรออยู่ก่อนเพื่อจะรายงานให้ผู้บังคับบัญชาทราบ ครู่ต่อมาทหารเขมรได้ขึ้นมาควบคุมเรือ แล้วลอยลําเข้าไปยังเกาะและเชิญให้จอมพล ป. พิบูลสงคราม คุณฉาย วิโรจน์ศิริ และพันตํารวจเอกชุมพล โลหะชาละ พักอาศัยที่เรือนรับรองในค่ายทหาร ส่วนนายดาบตํารวจเฉลิม ชัยเชียงเอม กัปตันเรือและลูกเรือ ทางทหาร เขมรปล่อยให้เดินทางกลับประเทศไทย
เมื่อถึงกัมพูชา
ในขณะนั้นสมเด็จเจ้านโรดมสีหนุ พระประมุขประทับรักษาพระองค์ที่ประเทศฝรั่งเศส และทรงมอบให้สมเด็จพระราชบิดาเป็นผู้สําเร็จราชการแทนพระองค์รัฐบาลต้องรอรับสั่งจากสมเด็จเจ้านโรดมสีหนุว่าจะทรงตัดสินพระทัยอย่างไร ซึ่งจอมพล ป. พิบูลสงคราม เชื่อมั่นว่าพระองค์จะทรงให้ลี้ภัยที่เขมรได้ เพราะครั้งหนึ่งพระองค์ทรงเคยลี้ภัยการเมืองที่ประเทศไทยเช่นเดียวกัน และรับสั่งให้ดูแลรับรองคณะจอมพล ป. พิบูลสงคราม อย่าให้ขาดตกบกพร่อง หลังจากนั้น 2 วัน ผู้บังคับการค่ายทหารแจ้งแก่จอมพล ป. พิบูลสงคราม ว่ารัฐบาลยินดีให้ลี้ภัยได้และรัฐบาลจะจัดรถมารับไปยังกรุงพนมเปญในวันรุ่งขึ้น
รุ่งเช้าของวันที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2500 รัฐบาลจัดเรือรบมารับจอมพล ป. พิบูลสงคราม และคณะ จนกระทั่งบ่ายโมงเรือรบเดินทางถึงเมืองเสียมเรียบซึ่งเป็นเมืองชายทะเลของเขมร และคณะต้องเดินทางต่อด้วยรถยนต์อีก 4 ชั่วโมง จึงถึงกรุงพนมเปญ สมเด็จเจ้านโรดมสีหนุรับสั่งให้คณะพักที่บ้านหลังใหญ่ครึ่งตึกครึ่งไม้หลังพอเหมาะในบริเวณพระราชวังของพระองค์
วันที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2500 พันตํารวจเอก ชุมพล โลหะชาละ นายตํารวจอารักขานายกรัฐมนตรีผู้ลี้ภัยได้เดินทางไปยังสถานทูตไทย ณ กรุงพนมเปญเพื่อรายงานตัวและตั้งใจจะเล่าเรื่องราวการเดินทางให้ทูตรับทราบและถูกทูตปฏิเสธไม่ให้เข้าพบ โดยแจ้งผ่านเจ้าหน้าที่ว่าไม่อยู่ บังเอิญที่ในเย็นวันนั้นทูตทหารไทยประจํากรุงพนมเปญได้มาเยี่ยมจอมพล ป. พิบูลสงคราม เพื่อเอาบุหรี่นาวีคัทมามอบให้จอมพล ป. พิบูลสงคราม เพราะท่านชอบสูบบุหรี่ยี่ห้อนี้
พันตํารวจเอกชุมพล โลหะชาละ จึงมีโอกาสพูดคุยกับทูตทหารท่านนี้และรับทราบว่าผู้มีอํานาจที่แท้จริงของไทยคือจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ทูตทหารจะเดินทางกลับประเทศไทยในวันรุ่งขึ้น พันตํารวจเอกชุมพล โลหะชาละ จึงถือโอกาสขอร้องให้ทูตทหารช่วยเรียนกับจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ หรือพลโทถนอม กิตติขจร หรือพลโทประภาส จารุเสถียร ท่านใดท่านหนึ่งถึงการทําหน้าที่อารักขานายกรัฐมนตรี และเมื่อหมดหน้าที่แล้วจะขอเดินทางกลับประเทศไทย พันตํารวจเอกชุมพล โลหะชาละ พูดกับท่านทูตทหารว่าถึงรัฐบาลไม่ให้กลับก็จะกลับเพราะไม่มีความรู้อื่นใด จอมพล ป. พิบูลสงคราม ไม่มีเงินพอที่จะอุปการะได้โดยตลอด และยินดีให้รัฐบาลจับถ้าเห็นว่ามีความผิดที่ทําหน้าที่อารักขา
1 สัปดาห์ผ่านไป ทูตทหารกลับจากไทยมาบอกกับพันตํารวจเอกชุมพล โลหะชาละ ว่าได้ไปรายงานต่อนายพลตํารวจเอกไสว ไสวแสนยากร อธิบดีกรมตํารวจ ทหารชั้นผู้ใหญ่ถึงการลี้ภัยของจอมพล ป. พิบูลสงคราม คณะปฏิวัติพิจารณาแล้วเห็นว่าพันตํารวจเอกชุมพล โลหชาละ ไม่มีความผิดอะไร ให้เดินทางกลับประเทศไทยได้
สถานทูตไทยประจํากรุงพนมเปญได้ออกหนังสือรับรองสัญชาติไทยให้พันตํารวจเอกชุมพล โลหะชาละ เพื่อใช้ซื้อตั๋วเครื่องบินเดินทางกลับประเทศไทย ซึ่งจอมพล ป. พิบูลสงคราม เป็นคนออกค่าตั๋วเครื่องบินของบริษัทเดินอากาศไทย จํากัด ให้ วันเดียวกันนี้ท่านผู้หญิงละเอียด พิบูลสงคราม พลตรีนิตย์ พิบูลสงคราม บุตรชาย และนาวาไททินกร พันธ์กวี กลับจากประชุมสภาสตรีสากลที่ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ได้ไปพบกับจอมพล ป. พิบูลสงคราม ที่เขมร ซึ่งพันตำรวจเอกชุมพล โลหะชาละ ถือว่าได้เสร็จสิ้นภารกิจการเป็นนายตำรวจอารักขาของตนเองแล้ว
วันที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2500 เวลา 16.00 น. พันตํารวจเอกชุมพล โลหะชาละ ได้กราบลาจอมพล ป. พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรีผู้ลี้ภัย และเดินทางถึงสนามบินดอนเมืองในช่วงค่ํา ซึ่งต้องเผชิญกับกองทัพนักข่าว พันตํารวจเอกชุมพล โลหะชาละ ต้องการรายงานให้ผู้บังคับบัญชารับทราบก่อนให้ข่าวกับสื่อมวลชน จึงคิดหนีกองทัพนักข่าว โชคดีได้พบกับนาวาอากาศเอกกระแสร์ อินทรัตน์ (ภายหลังเป็นพลอากาศเอก อดีตรองผู้บัญชาการทหารสูงสุด) ผู้บังคับการ กรมอากาศโยธิน จึงปรึกษากันว่าจะทําอย่างไร
นาวาอากาศ เอกกระแสร์ อินทรัตน์ จึงนําขึ้นรถจี๊ปของทหารอากาศออกมาทางกองบิน บน. 6 แล้วออกถนนพหลโยธิน ไม่มีนักข่าวคนใดตามมาเลย จากนั้นได้ไปรายงานตัวต่อพลตํารวจโทหลวงแผ้วพาลชน ผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ซึ่งได้สอบถามเพียงไม่กี่คำ จากนั้นได้มอบหมายให้เจ้าหน้าที่ตำรวจกองกำกับการ 2 สันติบาล เป็นผู้สอบสวน ซึ่งถูกสอบอยู่ 8 ชั่วโมง ไม่ได้เข้าประเด็นอะไร รุ่งขึ้นพันตำรวจเอกชุมพล โลหะชาละ จึงขอพบพลตำรวจเอกไสว ไสวแสนยากร อธิบดีกรมตำรวจคนใหม่ แทนพลตำรวจเอกเผ่า ศรียานนท์ และเล่าเรื่องต่างๆ ให้ฟัง
พลตํารวจเอกไสว ไสวแสนยากร อธิบดีกรมตํารวจ แจ้งว่าไม่มีใครติดใจอะไร และแจ้งว่านายพจน์ สารสิน นายกรัฐมนตรีคนใหม่ต้องการให้เป็นนายตํารวจอารักขา พันตํารวจเอกชุมพล โลหะชาละ ปฏิเสธขอไปทําหน้าที่ตํารวจตามวิชาชีพแต่ไม่อาจปฏิเสธได้คงต้องเป็นตํารวจอารักขานายกรัฐมนตรีอีก 2 ท่าน นายพจน์ สารสิน และพลเอกถนอม กิตติขจร ซึ่งได้ลาออกจากตําแหน่งนายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2501 หน้าที่การเป็นตํารวจอารักขาของพันตํารวจเอกชุมพล โลหะชาละ จึงสิ้นสุดลง
อนึ่งหลังจากลี้ภัยอยู่ในเขมรเป็นเวลา 6 เดือน จอมพล ป. พิบูลสงคราม ได้เดินทางลี้ภัยที่ประเทศญี่ปุ่นพร้อมท่านผู้หญิงละเอียด พิบูลสงคราม ภริยา ได้ อุปสมบทที่พุทธคยาและเดินทางไปต่างประเทศเป็นครั้งคราว และถึงอสัญกรรมที่บ้านพักชานกรุงโตเกียว เมื่อวันที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2507 ขณะอายุได้ 67 ปี ส่วนพันตํารวจเอกชุมพล โลหะชาละ ครองยศสูงสุดคือ พลตํารวจเอก และดํารงตําแหน่งรองอธิบดีกรมตํารวจ และรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทยในรัฐบาลนายสัญญา ธรรมศักดิ์ 2 สมัย และในรัฐบาลพลเอก เกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์ 2 สมัย และถึงอนิจกรรมเมื่อ วันที่ 6 กรกฎาคม 2544 ขณะอายุได้ 83 ปี
ข้อมูลจาก :
“ตำรวจอารักขา” ซองพลตำรวจเอก ชุมพล โลหะชาละ หนังสือที่ระลึกงานพระราชทานเพลิงศพพลตํารวจเอกชุมพล โลหะชาละ ณ เมรุหลวงหน้าพลับพลาอิศริยาภรณ์ วัดเทพศิรินทราวาส กรุงเทพมหานคร วันจันทร์ที่ 29 ตุลาคม 2544
แก้ไขปรับปรุงเนื้อหาครั้งล่าสุดเมื่อ 25 มีนาคม 2562