ผู้เขียน | เอนก นาวิกมูล |
---|---|
เผยแพร่ |
สมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ ทรงชม ภาพ “แย่งกัลปพฤกษ์” ที่ วัดพระแก้ววังหน้า
คนไทย+นักท่องเที่ยวฝรั่ง-จีน ฯลฯ เข้าวัดพระแก้ววังหลวงกันปีหนึ่งไม่รู้กี่ล้านคน
แต่ผมว่าน้อยคนจะได้เข้าไปวัดพระแก้ววังหน้า เชิงสะพานพระปิ่นเกล้า ทั้งๆ ที่อยู่ไม่ไกลกัน เดินสัก 500 เมตรก็ถึงแล้ว
นักเรียนช่างศิลป์ นักเรียนนาฏศิลป์เขาเรียนศิลปะตรงนั้น อาจจะมีโอกาสมากกว่าคนอื่น
แต่ผมก็ไม่แน่ใจอยู่ดี ว่าจบออกมาแล้วจะมีใครเขียนถึงวัดพระแก้ววังหน้าบ้าง โดยเฉพาะเรื่องจิตรกรรมฝาผนังที่มีเรื่องราวน่าสนใจมากมาย
ที่พูดนี่ไม่ใช่ว่าผมรู้เรื่องดี พูดก็เพราะไม่รู้เรื่อง+หาหนังสืออ้างอิงไม่ได้
มีแต่ประชุมพงศาวดารภาคที่ 13 ตำนานวังหน้า พระนิพนธ์สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ พิมพ์ครั้งแรก พ.ศ. 2461 ซึ่งกล่าวถึงเรื่องวัดพระแก้ววังหน้าแต่เพียงสั้นๆ
น้องชาย ร.1 ทรงสร้างวังหน้า พร้อมๆ วังหลวง… เริ่ม 2325 เสร็จ 2328 แต่ตอนนั้นยังไม่มีโบสถ์วัดพระแก้ววังหน้า
โบสถ์วัดพระแก้ววังหน้าเพิ่งมาสร้างเอาเมื่อสมัย ร.3 (ครองราชย์ พ.ศ. 2367-2394)

วังหน้าสมัย ร.3 คือกรมพระราชวังบวรมหาศักดิพลเสพ น้องชายองค์หนึ่งของ ร.2 ซึ่งเท่ากับเป็นอาของ ร.3 เป็นผู้สร้าง
เรียกอย่างเป็นทางการว่า “วัดบวรสถานสุทธาวาส”
นัยว่าสร้างแก้บนครั้งเสด็จยกกองทัพไปปราบขบถเจ้าอนุวงศ์ เวียงจันทน์
ทรงประชวรโรคมานน้ำ หรือโรคท้องมานอยู่ 8 ปี ก็สวรรคต พ.ศ. 2375
พ.ศ. 2394 สิ้นรัชกาลที่ 3 พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว เข้าไปอยู่วังหน้า ซึ่งกำลังรกร้างมาก ทรงออกพระโอษฐ์ว่า
“เออ อยู่ดีดีก็ให้มาเป็นสมภารวัดร้าง”
เล่ามาถึงตอนนี้ สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงฯ ก็ทรงให้ข้อมูลว่า ในสมัย ร.4 โปรดให้เชิญพระพุทธสิหิงค์ไปเป็นพระประธานในโบสถ์วัดพระแก้ววังหน้า (เดี๋ยวนี้ตั้งที่พระที่นั่งพุทไธสวรรย์ ขึ้นไปก็ได้ดู)
“โปรดให้ก่อฐานชุกชีที่จะตั้งบุษบกกลางพระอุโบสถ และเขียนเรื่องตำนานพระพุทธสิหิงค์ที่ฝาผนัง”
ตรงนี้สำคัญมาก เพราะเป็นเบาะแสให้รู้ว่า อ้อ… บนผนังเขียนเรื่องตำนานพระพุทธสิหิงค์และเขียนกันเมื่อสมัย ร.4 นี่เอง…
อ้างพระนิพนธ์แค่นี้ก่อน จะไม่ลงรายละเอียดอื่นต่อ เกรงจะยาว… ขอกลับมาเพ่งที่เรื่องจิตรกรรมอย่างเดียว
ที่ว่าเพ่งก็เพราะบังเอิญไปหยิบสาส์นสมเด็จ เล่ม 11 ฉบับคุรุสภามาพลิกเล่น
พบในหน้า 168 สมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ ทรงกล่าวในจดหมายฉบับ 22 พ.ค. 2480 ว่าทรงติดใจรูปในวัดบวรสถานรูปหนึ่ง
ทรงเห็นว่าดีล้ำเลิศกว่าที่เคยเห็นมา คือช่างเขียน เขียนรูปพนักงานกำลังทิ้งผลกัลปพฤกษ์ มีคนเป็นร้อยกำลังโก้งโค้งแย่งลูกกัลปพฤกษ์เป็นกลุ่มๆ
ช่างไม่ได้เขียนให้เห็นลูกมะนาว แต่เราดูแล้วรู้ได้ว่าลูกมะนาวตกลงที่ตรงไหน
เพราะตรงนั้นจะมีคนรุมกันเป็นวงๆ
“ดูเหมือนจริงอย่างที่สุด ไม่เคยเห็นฝีมือช่างผู้นี้ที่ไหนมาก่อนเลย กรมหมื่นวรวัฒน์บอกว่าชื่อนายมั่นเป็นคนของเจ้าฟ้า” (….)

ตรงนี้สำคัญมาก เพราะนอกจากจะได้รู้ว่าในวัดพระแก้ววังหน้าเขียนเรื่องพระพุทธสิหิงค์ (มีรูปคนไว้ผมอย่างชาวเหนือกันมาก) ยังได้รู้ชื่อช่างเขียนซึ่งปกติมักไม่มีใครเอ่ยถึงด้วย ว่าชื่อ “นายมั่น”
แต่นายมั่นมีลูกหลานสืบสกุล ใช้นามสกุลอะไรหรือไม่ แหะแหะ… ไม่รู้อีกเช่นเคย…

ต่อไปเป็นของแถม
สมเด็จฯ ทรงกล่าวต่อว่า ปกติช่างวาดมักขี้เกียจ ทำเพียงสุกเอาเผากินเป็นพื้น เขียนแต่ตัวที่เป็นเนื้อเรื่องหรือตัวสำคัญเป็นหลัก
ถ้าตัวละครสำคัญมีน้อยก็ทำพื้นว่างๆ ไว้ ไม่เขียนอย่างอื่นให้เต็ม
หากเสียไม่ได้ มีที่ว่างก็เขียนคนใส่ลงไปสักสองสองสามคนพอให้มีอะไรบ้าง
ทรงอ้างถึงกรมหมื่นวรวัฒน์สุภาภรณ์. เจ้านายวังหน้าอีกว่า ท่านเคยขอดค่อนเรื่องนี้ ว่าเขียนคนบ้าคนใบ้ไว้ทั้งนั้น ไม่พูดกัน ไม่ดูกัน ไม่ทำอะไรกัน ได้แต่นั่งและยืนเหม่อๆ กันตามบุญตามกรรม
ข้อนี้สมเด็จฯ ทรงเห็นด้วย “แต่ของนายมั่นหาเป็นเช่นนั้นไม่ จึงได้เห็นว่าดีนัก”
ย้อนไปเมื่อสิบปีก่อน… คือวันพุธที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2550
ผมมีโอกาสได้ติดตามผู้ใหญ่ที่น่าเคารพคือคุณชายศุภวัฒย์ เกษมศรี กับ อ.จุลทัศน์ พยาฆรานนท์ ไปเที่ยวพิพิธภัณฑ์ แล้วต่อไปยังวัดพระแก้ววังหน้า

เป็นการได้เข้าโบสถ์วัดพระแก้ววังหน้าเป็นครั้งแรกในชีวิต
เพราะเคยหาทางเข้าชมก็เป็นเวลาปิดซ่อมเสียบ้าง ไม่รู้จะไปหาใครช่วยเปิดบ้าง กลัวครูบาอาจารย์เจ้าของที่เขาดุ ก็เลยอดดูเรื่อยมา
เคยเห็น อ.จาตุรนค์ มนตรีศาสตร์ ถ่ายรูปกะอั้วแทงควาย บนช่องไหนไม่รู้มาลงหนังสือร้องรำของท่าน ผมติดใจก็จดจำเอาไว้แต่ครั้งกระโน้น พอไปถึงก็รีบยกกล้องถ่ายสุ่มไปเรื่อยโดยไม่มีเวลาดูหรอกว่าภาพอะไรอยู่ตรงไหน
ถ่าย ถ่าย ถ่ายและรีบถ่ายด้วยกล้องที่ไม่ได้มีคุณภาพมากนัก เวลามีน้อย… ไม่ได้นั่งพักเหมือนท่านอื่นๆ
หลังจากนั้นก็ไม่ได้เอามาใช้งานเลย เพราะเดินต่อไปไม่ถูก ไม่รู้จะหาหนังสือเล่มไหนมาอ้างอิง
การที่บังเอิญหยิบสาส์นสมเด็จมาอ่าน จึงนับเป็นความโชคดี
เมื่อคืนนี้เปิดคอม หารูป แย่งกัลปพฤกษ์ พบว่าถ่ายมาพอสมควร และได้แถมถ่ายกระอั้วแทงควายมา 1 รูปไกลๆ ด้วยเพิ่งเห็นจริงๆ ก็วันนี้แหละ
วัดพระแก้ววังหน้า เปิดให้คนดูตอนไหนอีกบ้างหรือไม่ ผมไม่รู้ ถ้าได้ไปดูอีกก็คงเป็นบุญ
อ่านเพิ่มเติม :
- ตราราชสีห์ถือดาบ ตราประจำพระองค์เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ ที่ “สาบสูญ”
- ค้นหลักฐาน คำว่า “กู” เป็น “คำหยาบ” ตั้งแต่เมื่อไหร่?
เผยแพร่ในระบบออนไลน์ครั้งแรกเมื่อ 10 มีนาคม 2562