
ที่มา | ศิลปวัฒนธรรม กรกฎาคม 2561 |
---|---|
ผู้เขียน | อรวินท์ ลิขิตวิเศษกุล |
เผยแพร่ |
การหลอมรวมและแลกเปลี่ยนกันทางวัฒนธรรม เป็นปฏิสัมพันธ์ซึ่งเกิดขึ้นเสมอในสังคมมนุษย์ ไม่ว่าจะด้วยเงื่อนไขใด เมื่อมีการอพยพหรือโยกย้ายถิ่นฐาน สภาพแวดล้อมและวิถีความเป็นอยู่ภายในชุมชนย่อมเป็นแรงผลักดันพฤติกรรมของบุคคล เมื่อเกิดความคุ้นชิน จึงเริ่มยอมรับปรับเปลี่ยน และผสมผสานจนกระทั่งเชื่อมโยงกันได้ในที่สุด
เฉกเช่นผู้คนจากกรุงศรีอยุธยาฯ ซึ่งเคยอาศัยอยู่ร่วมกันกับผู้คนจากหลากหลายเชื้อชาติ อาทิ ชาวฉาน ลีนซีน (ล้านช้าง) ตะโย๊ะ (จีน) กะหยิ่น (กะเหรี่ยง) เต้ากะแต ยูน (เชียงใหม่) และชาวพม่า เมื่อราวต้นพุทธศตวรรษที่ 23 ณ บริเวณเมืองสะกาย เมืองอังวะ อีกทั้งยังกระจัดกระจายออกไปตามภูมิภาคอื่นๆ ซึ่งจากหลักฐานทางประวัติศาสตร์ของพม่าในสมัยยองยาน (กฎอเม่งดอ) ได้ระบุถึงการแบ่งกลุ่มประชากร โดยจัดสรรให้ชาว “โยดยา” อยู่ในกลุ่มที่ทางการพม่าเรียกว่า “ชาน” หรือ “ฉาน” (Shan) ถือเป็นผู้คนอีกกลุ่มหนึ่งซึ่งรวมอยู่ในเมืองพม่า ณ ขณะนั้น
เมืองที่มีการค้นพบหลักฐานทางศิลปกรรมอิทธิพลแบบอยุธยา
จากการเก็บข้อมูลเท่าที่ได้จากการสำรวจพบว่า หลักฐานทางศิลปกรรมที่คาดว่ามีอิทธิพลของงานช่างจากกรุงศรีอยุธยา ปรากฏกระจัดกระจายอยู่ตามเมืองต่าง ๆ เช่น เมืองพะโค สะกาย อังวะ มินบู อมรปุระ เซกู มนโยว และเมืองมัณฑะเลย์ ทั้งที่เคยเป็นเมืองหลวงเก่าของพม่า และพื้นที่รกร้างในเมืองห่างไกล โดยมีการค้นพบข้อมูลทั้งในรูปแบบของคำบอกเล่าเอกสารโบราณเช่นสมุดดำและงานศิลปกรรมซึ่งมีหลายประเภทดังนี้ อาทิ งานจิตรกรรมฝาผนังที่เมืองสะกายเมืองมินบูรวมถึงเมืองอมรปุระประเภทงานปูนปั้นประดับผนังงานแกะสลักเครื่องไม้ในวังหงสาวดีเมืองพะโคและวัดร้างในเมืองอังวะงานจำหลักหินทรายเรื่องรามเกียรติ์ในเมืองมนโยวตัวอักษรไทยพบในงานจิตรกรรมฝาผนังและในงานพระพุทธรูปองค์เล็กในเมืองอมรปุระเป็นต้น
อิทธิพลของศิลปะแบบอยุธยาตอนปลายในศิลปกรรมเมืองพม่า
งานประเภทงานจิตรกรรมฝาผนัง ปัจจุบันค้นพบหลักฐานที่เป็นประเภทงานจิตรกรรมฝาผนังทั้งในช่วงต้นพุทธศตวรรษที่ 24 และพุทธศตวรรษที่ 25 แสดงรูปแบบของอิทธิพลอยุธยาอย่างชัดเจนในเมืองสะกายและเมืองมินบูยกตัวอย่างงานจิตรกรรมฝาผนังภายในวัดมหาเตงดอจีเมืองสะกายและกู่วุดจีกูพญาเมืองมินบูอีกทั้งประเภทที่พบว่าปรากฏอิทธิพลที่มีการผสมผสานระหว่างงานช่างแบบพม่าปะปนร่วมกับศิลปะแบบอยุธยาเช่นในวัดพญาตงซูและเจติยวิหารจอกตอจีเมืองอมรปุระซึ่งจะพยายามสรุปแนวคิดให้เห็นได้อย่างพอสังเขปดังจะยกตัวอย่างต่อไปนี้คือ แนวคิดเรื่องอิทธิพลไทยในงานจิตรกรรมฝาผนังในเมืองสะกาย เมืองมินบู และเมืองอมรปุระ

หลักฐานงานจิตรกรรมฝาผนังที่ค้นพบได้แก่อุโบสถวัดมหาเตงดอจีเมืองสะกายกู่วุดจีกูพญาเมืองมินบูภายในวัดพญาตงซูเมืองอมรปุระและภายในเจติยวิหารจอกตอจีเมืองอมรปุระโดยสามารถสังเกตได้จากรูปแบบซึ่งสรุปได้ดังนี้คือ
- การใช้ลักษณะของสีแดงชาด ในงานจิตรกรรมฝาผนัง
- การใช้เส้นสินเทา หรือแถบหยักฟันปลา คั่นแบ่งภาพในงานจิตรกรรม
- ลวดลายพันธุ์พฤกษา หรือลายกระหนกแบบอยุธยาตอนปลาย
- ลักษณะการวาดเทพนม และเครื่องทรงของบุคคลชั้นสูง
- ลักษณะการวาดภาพปราสาท (เรือนยอด) แบบปลายอยุธยาในงานจิตรกรรม
- ภาพของพระอดีตพุทธ พระพักตร์แบบปลายอยุธยา
- ลักษณะการวาดนักสิทธ์ วิทยาธร เหาะเหินเดินอากาศอยู่บนท้องฟ้า (ก้อนเมฆ)
- การวาดจำลองภาพของเจดีย์ทรงเครื่อง แบบอยุธยาตอนปลาย

แนวคิดเรื่องอิทธิพลไทยในงานปูนปั้น งานแกะสลักไม้และงานศิลาจำหลักหินทรายเรื่องรามเกียรติ์ ในพะโค เมืองอังวะ และเมืองมนโยว
อิทธิพลแบบปลายอยุธยาปรากฏการผสมผสานกับรูปแบบงานช่างของพม่า นอกจากจะสืบค้นได้จากการงานจิตรกรรมฝาผนังแล้ว ยังพบได้อีกในหลักฐานงานปูนปั้น ภาพสมุดข่อย (พุทธศตวรรษที่ 24 – 25) ภาพศิลาจำหลักเรื่องรามเกียรติ์ งานแกะสลักไม้ ลวดลายคล้ายกระจังที่ประดับบุษบก ธรรมาสน์ในประเทศไทย หลักฐานดังยกตัวอย่างมานี้ สามารถเปรียบเทียบได้กับศิลปกรรมในประเทศไทย ซึ่งกำหนดอายุได้ในช่วงพุทธศตวรรษที่ 22 – 23 หรือจนกระทั่งงานในช่วงต้นพุทธศตวรรษที่ 24 ยกตัวอย่าง ดังนี้ลักษณะของลายกระจังแบบอยุธยาตอนปลาย พบในศิลปกรรมเมืองพม่า อาทิ
แผ่นแกะสลักงานเครื่องไม้ ภายในวังหงสาวดี เมืองพะโค ลักษณะรูปแบบของลายกระจังใกล้เคียงกับลายกระจังบุษบก ในงานจิตรกรรมฝาผนังภายในวัดมหาเตงดอจี เมืองสะกาย ซึ่งสอดคล้องและอาจเปรียบเทียบได้กับงานเครื่องไม้ “กระจังปฏิญาณ” ประดับบุษบก หรือธรรมาสน์ ศิลปะแบบปลายอยุธยา–ต้นรัตนโกสินทร์เป็นต้น

เจดีย์จุฬามณี งานปูนปั้นประดับผนังวัดร้าง ในเมืองอังวะ
จากการเก็บข้อมูลสำรวจซึ่งนำโดยสมาคมสถาปนิกสยามและนักวิชาการชาวพม่า ได้มีการค้นพบหลักฐานใหม่ คือ งานปูนปั้น ภาพของเจดีย์ทรงสี่เหลี่ยมเพิ่มมุมบนฐานสิงห์ (เจดีย์แบบย่อมุม) และภาพจำลองเขาสัตบริภัณฑ์ อัตลักษณ์สำคัญที่สอดคล้องกับงานสถาปัตยกรรมแบบอยุธยา ราวปลายพุทธศตวรรษที่ 23 พบได้ในประเทศไทย เช่น เจดีย์รายวัดภูเขาทอง เจดีย์รายวัดโพธิ์ประทับช้าง จังหวัดพิจิตร ฯลฯ อิทธิพลดังกล่าวพบในงานปูนปั้นจำลองภาพของเจดีย์จุฬามณี บนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ภายในวัดร้างเมืองอังวะ เป็นตัวอย่างงานปูนปั้นที่สำคัญ และมีการค้นพบเพียงแห่งเดียวในสหภาพพม่าในปัจจุบัน
(หมายเหตุ : เนื้อหานี้คัดลอกส่วนหนึ่งจากบทความ“อิทธิพลของศิลปะแบบอยุธยาตอนปลายในศิลปกรรมเมืองพม่า” เขียนโดย อรวินท์ ลิขิตวิเศษกุล ในนิตยสารศิลปวัฒนธรรม กรกฎาคม 2561)
* อ่านเพิ่มเติมได้จากหนังสือ “รอยศิลป์ อยุธยาในพม่า” อรวินท์ ลิขิตวิเศษกุล, สมาคมสถาปนิกสยามในพระบรมราชูปถัมภ์ : บริษัท ศิริวัฒนาอินเตอร์พริ้น จำกัด (มหาชน)

เผยแพร่ครั้งแรกในระบบออนไลน์ เมื่อ 7 กรกฎาคม พ.ศ.2563