อิทธิพลศิลปะอยุธยาตามเมืองต่างๆ ในความทรงจำของช่างเชื้อสาย “โยเดีย”

จิตรกรรมฝาผนังภายในวัดมหาเตงดอจี เมืองสะกาย ลักษณะแบบศิลปะไทย เช่น (แถบหยักฟันปลา) หรือเส้นสินเทา เรือนยอดของบุษบก ลวดลายพันธุ์พฤกษา สามารถเปรียบเทียบได้กับศิลปะแบบปลายอยุธยา-ต้นรัตนโกสินทร์ กำหนดอายุประมาณช่วงต้นพุทธศตวรรษที่ 24

การหลอมรวมและแลกเปลี่ยนกันทางวัฒนธรรม เป็นปฏิสัมพันธ์ซึ่งเกิดขึ้นเสมอในสังคมมนุษย์ ไม่ว่าจะด้วยเงื่อนไขใด เมื่อมีการอพยพหรือโยกย้ายถิ่นฐาน สภาพแวดล้อมและวิถีความเป็นอยู่ภายในชุมชนย่อมเป็นแรงผลักดันพฤติกรรมของบุคคล เมื่อเกิดความคุ้นชิน จึงเริ่มยอมรับปรับเปลี่ยน และผสมผสานจนกระทั่งเชื่อมโยงกันได้ในที่สุด

เฉกเช่นผู้คนจากกรุงศรีอยุธยาฯ ซึ่งเคยอาศัยอยู่ร่วมกันกับผู้คนจากหลากหลายเชื้อชาติ อาทิ ชาวฉาน ลีนซีน (ล้านช้าง) ตะโย๊ะ (จีน) กะหยิ่น (กะเหรี่ยง) เต้ากะแต ยูน (เชียงใหม่) และชาวพม่า เมื่อราวต้นพุทธศตวรรษที่ 23 ณ บริเวณเมืองสะกาย เมืองอังวะ อีกทั้งยังกระจัดกระจายออกไปตามภูมิภาคอื่นๆ ซึ่งจากหลักฐานทางประวัติศาสตร์ของพม่าในสมัยยองยาน (กฎอเม่งดอ) ได้ระบุถึงการแบ่งกลุ่มประชากร โดยจัดสรรให้ชาว โยดยาอยู่ในกลุ่มที่ทางการพม่าเรียกว่า ชาน หรือ ฉาน (Shan) ถือเป็นผู้คนอีกกลุ่มหนึ่งซึ่งรวมอยู่ในเมืองพม่า ณ ขณะนั้น

เมืองที่มีการค้นพบหลักฐานทางศิลปกรรมอิทธิพลแบบอยุธยา

จากการเก็บข้อมูลเท่าที่ได้จากการสำรวจพบว่า หลักฐานทางศิลปกรรมที่คาดว่ามีอิทธิพลของงานช่างจากกรุงศรีอยุธยา ปรากฏกระจัดกระจายอยู่ตามเมืองต่าง ๆ เช่น เมืองพะโค สะกาย อังวะ มินบู อมรปุระ เซกู มนโยว และเมืองมัณฑะเลย์ ทั้งที่เคยเป็นเมืองหลวงเก่าของพม่า และพื้นที่รกร้างในเมืองห่างไกล โดยมีการค้นพบข้อมูลทั้งในรูปแบบของคำบอกเล่าเอกสารโบราณเช่นสมุดดำและงานศิลปกรรมซึ่งมีหลายประเภทดังนี้ อาทิ งานจิตรกรรมฝาผนังที่เมืองสะกายเมืองมินบูรวมถึงเมืองอมรปุระประเภทงานปูนปั้นประดับผนังงานแกะสลักเครื่องไม้ในวังหงสาวดีเมืองพะโคและวัดร้างในเมืองอังวะงานจำหลักหินทรายเรื่องรามเกียรติ์ในเมืองมนโยวตัวอักษรไทยพบในงานจิตรกรรมฝาผนังและในงานพระพุทธรูปองค์เล็กในเมืองอมรปุระเป็นต้น

อิทธิพลของศิลปะแบบอยุธยาตอนปลายในศิลปกรรมเมืองพม่า

งานประเภทงานจิตรกรรมฝาผนัง ปัจจุบันค้นพบหลักฐานที่เป็นประเภทงานจิตรกรรมฝาผนังทั้งในช่วงต้นพุทธศตวรรษที่ 24 และพุทธศตวรรษที่ 25 แสดงรูปแบบของอิทธิพลอยุธยาอย่างชัดเจนในเมืองสะกายและเมืองมินบูยกตัวอย่างงานจิตรกรรมฝาผนังภายในวัดมหาเตงดอจีเมืองสะกายและกู่วุดจีกูพญาเมืองมินบูอีกทั้งประเภทที่พบว่าปรากฏอิทธิพลที่มีการผสมผสานระหว่างงานช่างแบบพม่าปะปนร่วมกับศิลปะแบบอยุธยาเช่นในวัดพญาตงซูและเจติยวิหารจอกตอจีเมืองอมรปุระซึ่งจะพยายามสรุปแนวคิดให้เห็นได้อย่างพอสังเขปดังจะยกตัวอย่างต่อไปนี้คือ แนวคิดเรื่องอิทธิพลไทยในงานจิตรกรรมฝาผนังในเมืองสะกาย เมืองมินบู และเมืองอมรปุระ

จิตรกรรมฝาผนังกู่วุดจีกูพญา สำนักสงฆ์หมั่นกินจอง เมืองมินบู

หลักฐานงานจิตรกรรมฝาผนังที่ค้นพบได้แก่อุโบสถวัดมหาเตงดอจีเมืองสะกายกู่วุดจีกูพญาเมืองมินบูภายในวัดพญาตงซูเมืองอมรปุระและภายในเจติยวิหารจอกตอจีเมืองอมรปุระโดยสามารถสังเกตได้จากรูปแบบซึ่งสรุปได้ดังนี้คือ

  • การใช้ลักษณะของสีแดงชาด ในงานจิตรกรรมฝาผนัง
  • การใช้เส้นสินเทา หรือแถบหยักฟันปลา คั่นแบ่งภาพในงานจิตรกรรม
  • ลวดลายพันธุ์พฤกษา หรือลายกระหนกแบบอยุธยาตอนปลาย
  • ลักษณะการวาดเทพนม และเครื่องทรงของบุคคลชั้นสูง
  • ลักษณะการวาดภาพปราสาท (เรือนยอด) แบบปลายอยุธยาในงานจิตรกรรม
  • ภาพของพระอดีตพุทธ พระพักตร์แบบปลายอยุธยา
  • ลักษณะการวาดนักสิทธ์ วิทยาธร เหาะเหินเดินอากาศอยู่บนท้องฟ้า (ก้อนเมฆ)
  • การวาดจำลองภาพของเจดีย์ทรงเครื่อง แบบอยุธยาตอนปลาย
กู่วุดจีกูพญา สำนักสงฆ์หมั่นกินจอง เมืองมินบู พบงานจิตรกรรมฝาผนังภายในกู่ทั้ง 9 ห้อง เกือบทุกห้องปรากฏอิทธิพลแบบไทยอย่างชัดเจน เช่น ตัวอักษรไทย เขียนว่า “_สังคาตต_รก” หรือการเขียนภาพของ นางรำ เทพนมบนดอกบัว เจดีย์ทรงเครื่องแบบอยุธยาตอนปลาย ภาพของเส้นสินเทาและปราสาท สามารถเปรียบเทียบได้กับงานช่างไทยสมัยอยุธยาตอนปลายถึงต้นรัตนโกสินทร์ ซึ่งยังปรากฏตัวอย่างให้เทียบเคียงได้ในปัจจุบัน

แนวคิดเรื่องอิทธิพลไทยในงานปูนปั้น งานแกะสลักไม้และงานศิลาจำหลักหินทรายเรื่องรามเกียรติ์ ในพะโค เมืองอังวะ และเมืองมนโยว

อิทธิพลแบบปลายอยุธยาปรากฏการผสมผสานกับรูปแบบงานช่างของพม่า นอกจากจะสืบค้นได้จากการงานจิตรกรรมฝาผนังแล้ว ยังพบได้อีกในหลักฐานงานปูนปั้น ภาพสมุดข่อย (พุทธศตวรรษที่ 24 – 25) ภาพศิลาจำหลักเรื่องรามเกียรติ์ งานแกะสลักไม้ ลวดลายคล้ายกระจังที่ประดับบุษบก ธรรมาสน์ในประเทศไทย หลักฐานดังยกตัวอย่างมานี้ สามารถเปรียบเทียบได้กับศิลปกรรมในประเทศไทย ซึ่งกำหนดอายุได้ในช่วงพุทธศตวรรษที่ 22 – 23 หรือจนกระทั่งงานในช่วงต้นพุทธศตวรรษที่ 24 ยกตัวอย่าง ดังนี้ลักษณะของลายกระจังแบบอยุธยาตอนปลาย พบในศิลปกรรมเมืองพม่า อาทิ

แผ่นแกะสลักงานเครื่องไม้ ภายในวังหงสาวดี เมืองพะโค ลักษณะรูปแบบของลายกระจังใกล้เคียงกับลายกระจังบุษบก ในงานจิตรกรรมฝาผนังภายในวัดมหาเตงดอจี เมืองสะกาย ซึ่งสอดคล้องและอาจเปรียบเทียบได้กับงานเครื่องไม้กระจังปฏิญาณประดับบุษบก หรือธรรมาสน์ ศิลปะแบบปลายอยุธยาต้นรัตนโกสินทร์เป็นต้น

แผ่นไม้ จัดแสดงภายในวังหงสาวดี พะโค

เจดีย์จุฬามณี งานปูนปั้นประดับผนังวัดร้าง ในเมืองอังวะ

จากการเก็บข้อมูลสำรวจซึ่งนำโดยสมาคมสถาปนิกสยามและนักวิชาการชาวพม่า ได้มีการค้นพบหลักฐานใหม่ คือ งานปูนปั้น ภาพของเจดีย์ทรงสี่เหลี่ยมเพิ่มมุมบนฐานสิงห์ (เจดีย์แบบย่อมุม) และภาพจำลองเขาสัตบริภัณฑ์ อัตลักษณ์สำคัญที่สอดคล้องกับงานสถาปัตยกรรมแบบอยุธยา ราวปลายพุทธศตวรรษที่ 23 พบได้ในประเทศไทย เช่น เจดีย์รายวัดภูเขาทอง เจดีย์รายวัดโพธิ์ประทับช้าง จังหวัดพิจิตร ฯลฯ อิทธิพลดังกล่าวพบในงานปูนปั้นจำลองภาพของเจดีย์จุฬามณี บนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ภายในวัดร้างเมืองอังวะ เป็นตัวอย่างงานปูนปั้นที่สำคัญ และมีการค้นพบเพียงแห่งเดียวในสหภาพพม่าในปัจจุบัน 

(หมายเหตุ : เนื้อหานี้คัดลอกส่วนหนึ่งจากบทความอิทธิพลของศิลปะแบบอยุธยาตอนปลายในศิลปกรรมเมืองพม่า เขียนโดย อรวินท์ ลิขิตวิเศษกุล ในนิตยสารศิลปวัฒนธรรม กรกฎาคม 2561)

* อ่านเพิ่มเติมได้จากหนังสือ รอยศิลป์ อยุธยาในพม่า อรวินท์ ลิขิตวิเศษกุล, สมาคมสถาปนิกสยามในพระบรมราชูปถัมภ์ : บริษัท ศิริวัฒนาอินเตอร์พริ้น จำกัด (มหาชน

ปกหนังสือ “รอยศิลป์ อยุธยาในพม่า” จัดพิมพ์โดยสมาคมสถาปนิกสยามในพระบรมราชูปถัมภ์ สอบถามเพิ่มเติม โทร. 02 319 6555 หรือ E-mail : [email protected] หรือ [email protected]

เผยแพร่ครั้งแรกในระบบออนไลน์ เมื่อ 7 กรกฎาคม พ.ศ.2563