ผู้เขียน | สุทธาสินี จิตรกรรมไทย เจียจันทร์พงษ์ |
---|---|
เผยแพร่ |
เปิดชีวิตนักโทษสมัยรัชกาลที่ 5 แต่ละชนชั้นทำงานในคุกหนักแค่ไหน?
รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 5) มีการปฏิรูปงานราชทัณฑ์ เปลี่ยนระบบการลงโทษผู้กระทำผิดจากแบบจารีตไปสู่ความเป็นสมัยใหม่

ผศ. ดร. ศรัญญู เทพสงเคราะห์ เจ้าของผลงาน “รัฐราชทัณฑ์ อำนาจลงทัณฑ์ในยุคสมัยใหม่” (สำนักพิมพ์มติชน) เล่าประเด็นนี้ไว้ในหนังสือตอนหนึ่งว่า
จุดเริ่มต้นการปรับปรุงงานราชทัณฑ์ให้เป็นสมัยใหม่เริ่มปรากฏเด่นชัด เมื่อ พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหมื่นนเรศรวรฤทธิ์ (ต่อมาคือ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระนเรศรวรฤทธิ์) ทรงจัดทำ “ความเหนที่จะจัดราชการกรมรักษานักโทษ” ลงวันที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2431 เพื่อวางแนวทางในการจัดโครงสร้างหน่วยราชการใหม่ของกรมพระนครบาล หลังจากรัชกาลที่ 5 ทรงแถลงพระบรมราชาธิบายแก้ไขการปกครองแผ่นดินใน พ.ศ. 2430 ที่กำหนดให้กรมพระนครบาลรับผิดชอบการรักษานักโทษ
ความเห็นของกรมหมื่นนเรศรวรฤทธิ์กล่าวถึงความจำเป็นในการจัดระบบการควบคุมนักโทษใหม่ เนื่องจากนักโทษสมัยรัชกาลที่ 5 ประมาณ 2,560 คน ถูกคุมขังในคุก 1 แห่ง และตะราง 43 แห่ง ซึ่งกระจัดกระจายตามกรมกองต่างๆ ที่ไม่มีกฎระเบียบชัดเจน

เมื่อเป็นเช่นนี้ ทำให้เจ้าพนักงานแต่ละกรมกองปกครองนักโทษอย่างไม่มีแบบแผน เป็นช่องทางให้เจ้าพนักงานบางคนใช้อำนาจในทางทุจริต จนสร้างผลเสียต่อราชการแผ่นดิน
แนวทางการปฏิรูปงานราชทัณฑ์ตามทัศนะของกรมหมื่นนเรศรวรฤทธิ์ จึงมีเป้าหมายเพื่อยุติการคุมขังนักโทษที่ไร้ระเบียบแบบแผนของบรรดาขุนนาง และรวมอำนาจการคุมขังนักโทษกลับมาสู่กษัตริย์แต่เพียงพระองค์เดียว
กรมหมื่นนเรศรวรฤทธิ์ทรงเสนอให้ตั้งหน่วยราชการขึ้นใหม่สำหรับควบคุมนักโทษ และออกกฎระเบียบควบคุมทั้งนักโทษและเจ้าพนักงานคุก เริ่มต้นจากให้กรมพระนครบาลรวมการคุมขังนักโทษที่กระจัดกระจายตามกรมกองต่างๆ มาอยู่ภายใต้อำนาจของ 2 หน่วยงานใหม่ คือ กองมหันตโทษ และ กองลหุโทษ
กองมหันตโทษจะควบคุมนักโทษหนัก ที่มีกำหนดโทษตั้งแต่ 3 ปีขึ้นไป ส่วนกองลหุโทษจะควบคุมนักโทษเบา ที่มีกำหนดโทษจำคุกต่ำกว่า 3 ปี นักโทษที่ถูกจองจำจากการเป็นหนี้ และผู้ที่ถูกคุมขังระหว่างพิจารณาคดี
กรมหมื่นนเรศรวรฤทธิ์ยังทรงเสนอให้นักโทษทุกคนต้องทำงานสร้างผลประโยชน์ให้หลวง เนื่องจากการควบคุมนักโทษต้องใช้งบประมาณและทรัพยากรของรัฐในการดำเนินงาน ดังนั้น รัฐย่อมมีอำนาจในการบังคับใช้แรงงานนักโทษในกิจการต่างๆ ของรัฐเป็นการตอบแทน
นักโทษสมัยรัชกาลที่ 5 ต้องทำงานหนักแค่ไหน?
การควบคุมนักโทษในกองมหันตโทษ รัฐแบ่งนักโทษเป็น 3 กลุ่มตามเพศและช่วงชั้นทางสังคม ได้แก่ นักโทษชาย นักโทษหญิง และผู้มีบรรดาศักดิ์
กรณี “นักโทษชาย” แบ่งประเภทลำดับชั้นเป็น 3 ระดับ ได้แก่ 1. นักโทษชั้นต่ำ เป็นนักโทษที่เพิ่งส่งมาจำคุกไม่น้อยกว่า 2 ปี จะต้องทำงานหนักทั้งหมด 2. นักโทษชั้นกลาง เป็นนักโทษที่มีความประพฤติดี ทำงานเบากว่านักโทษชั้นต่ำ 3. นักโทษชั้นสูง เป็นนักโทษที่มีความประพฤติดีและขยันขันแข็ง ทำงานเป็นผู้กำกับนักโทษ หรือทำงานเบาภายในคุก

กรณี “นักโทษหญิง” จะถูกคุมขังและทำงานแยกจากนักโทษชาย มีการจัดลำดับชั้นในคุกเพียง 2 ระดับ คือ นักโทษชั้นกลาง และ นักโทษชั้นสูง
ส่วน “ผู้มีบรรดาศักดิ์” ที่ต้องโทษ จะถูกจัดให้อยู่ในกลุ่มนักโทษชั้นสูง มีการคุมขังแยกออกจากนักโทษทั่วไป และไม่มีการกำหนดหน้าที่การงานชัดเจน
การทำงานของนักโทษในกองมหันตโทษเน้นการบังคับใช้แรงงานมากกว่าการฝึกทักษะอาชีพ แบ่งงานเป็น 2 ประเภท ได้แก่ งานหนัก อย่างงานย่อยหิน งานถีบจักร งานเลื่อยไม้ งานทำกระเบื้อง งานสีข้าว และงานโยธา และ งานเบา อย่างงานช่างไม้ ช่างเหล็ก ช่างทองเหลือง ช่างเย็บผ้า ช่างย้อม ช่างทอ ช่างจักสาน
ส่วนนักโทษในกองลหุโทษ การทำงานจะยึดตามสถานภาพของผู้ถูกคุมขัง
อย่างนักโทษที่มีคำพิพากษาแล้วทุกคนต้องทำงานภายในกองลหุโทษ ผู้ที่ถูกขังระหว่างพิจารณาคดีทำงานเพียงทำความสะอาดห้องขังของตน ส่วนนักโทษที่ถูกจองจำเพราะเป็นลูกหนี้ ถ้าจ่ายค่าอาหารเองก็ไม่ต้องทำงาน แต่ถ้าเจ้าหนี้เสียค่าอาหารให้ก็ต้องทำงานให้เจ้าหนี้ภายในกองลหุโทษ
สรุปแล้วนักโทษสมัยรัชกาลที่ 5 ต้องทำงานตามลำดับชั้น ที่มีภาระงานหนักเบาแตกต่างกันไปนั่นเอง
อ่านเพิ่มเติม :
- รู้จัก “คนพวง” และการใช้งาน “คุก” กับ “ตะราง” สมัยอยุธยาที่แตกต่างกัน
- กำเนิดกรมราชทัณฑ์ เรือนจำกลางบางขวาง-คลองเปรม และการเลิกธรรมเนียมเก็บเงินนักโทษ
- “นักโทษชาวต่างชาติ” ในสยามเมื่อ 100 กว่าปีก่อน ได้เบี้ยเลี้ยงเท่าไหร่ เชื้อชาติไหนมากสุด
สำหรับผู้ชื่นชอบประวัติศาสตร์ ศิลปะ และวัฒนธรรม แง่มุมต่าง ๆ ทั้งอดีตและร่วมสมัย พลาดไม่ได้กับสิทธิพิเศษ เมื่อสมัครสมาชิกนิตยสารศิลปวัฒนธรรม 12 ฉบับ (1 ปี) ส่งความรู้ถึงบ้านแล้ววันนี้!! สมัครสมาชิกคลิกที่นี่
อ้างอิง :
ศรัญญู เทพสงเคราะห์. รัฐราชทัณฑ์ อำนาจลงทัณฑ์ในยุคสมัยใหม่. กรุงเทพฯ: มติชน, 2568
เผยแพร่ในระบบออนไลน์ครั้งแรกเมื่อ 24 มิถุนายน 2568