รู้จัก “คนพวง” และการใช้งาน “คุก” กับ “ตะราง” สมัยอยุธยาที่แตกต่างกัน

คนพวง นักโทษ สมัย รัชกาลที่ 5
คนพวงสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ ต้นรัชกาลที่ 5 (ภาพจากหนังสือกรุงเทพฯ แห่งความหลัง)

“คนพวง” คือใคร? และการใช้งาน “คุก” กับ “ตะราง” ในสมัยอยุธยา แตกต่างกันอย่างไร”

ในสมัยโบราณ นักโทษที่ทางการจ่ายออกมาทำงานนอก “คุก” จะถูกใส่พวงคอ หรือร้อยด้วยโซ่ติดกันเป็นพวงๆ เพื่อสะดวกในการคุม ชาวบ้านเรียกนักโทษดังกล่าวว่า “คนพวง” คือเรียกตามลักษณะคนที่ถูกจองจำดังกล่าว

จากหนังสือ “ภูมิสถานกรุงศรีอยุธยา” ซึ่งกรมศิลปากรสันนิษฐานว่า ผู้แต่งเกิดทันสมัยครั้งกรุงศรีเป็นราชธานี แต่มาแต่งหนังสือในกรุงรัตนโกสินทร์ กรมศิลปากรส่งหนังสือให้พระยาโบราณราชธานินทร์เมื่อครั้งยังเป็นสมุหเทศาภิบาลมณฑลอยุธยาสอบสวน ในหนังสือกล่าวถึงนักโทษและคุกในกรุงศรีอยุธยาว่า

“…อนึ่งมีคุกสำหรับใส่คนโทษโจรผู้ร้ายปล้นสะดมแปดคุกมีตะรางหน้าคุกสำหรับใส่ลูกเมียผู้ร้ายทุกหน้าคุก ซึ่งโทษเบาเป็นแต่โทษเบดเสฐ ใส่โซ่พวงละเก้าคนสิบคนใช้ทำราชการเมืองที่ีโทษหนักต่อวันพระห้าค่ำแปดค่ำสิบเอ็ดค่ำสิบห้าค่ำ จึงใส่พวงคอละญี่สิบสามสิบคน และเมียผู้ร้ายนั้นใส่กรวนเชือกผูกเอวต่อกันไปผูกติดท้ายพวงคอออกมาเที่ยวขอทานกิน…”

จากข้อความดังกล่าว นอกจากจะทำให้เราทราบสภาพของนักโทษในสมัยนั้นแล้ว ยังทำให้เราทราบอีกด้วยว่า คุก กับ ตะราง เมื่อก่อนนั้นมีความหมายต่างกันคือ…

คุกใช้สำหรับกักขังนักโทษ ส่วนตะรางใช้สำหรับขังเมียของนักโทษ

แต่ตะรางดังกล่าวคงจะไม่ได้ขังเพียงเมียของนักโทษเท่านั้น คงจะขังญาติพี่น้องของนักโทษด้วยเป็นแน่ เพราะจากหนังสือ “เรื่องกฎหมายเมืองไทย” ฉบับพิมพ์ของหมอบรัดเล ใน “พระราชกำหนดเก่า” จุลศักราช 1094 (พ.ศ. 2275) ได้บัญญัติไว้ว่า ถ้าจับ “อ้ายผู้ร้าย” ไม่ได้ก็ให้จับลูกเมีย พ่อแม่ พี่น้อง พ่อตา แม่ยาย พวกพ้องเพื่อนฝูงมาจำแทน โดยถ้าเป็นชายก็ให้ใส่คาไว้ถ้าเป็นหญิงก็ให้ใส่ขื่อไว้

อนึ่ง ในพระราชกำหนดเก่าได้บัญญัติไว้ด้วยว่า ถ้าอ้ายผู้ร้ายลักของพระหรือโจรปล้นสะดมลักช้าง ม้า รับเป็นสัตย์ให้ขังคุกไว้และจำ 5 ประการคือ คา, โซ่, ตรวน ร้อยคอและร้อยเท้าจนกว่าจะตาย เท่ากับติดคุกไม่มีวันออกนั่นเอง

นอกจากนั้นยังบัญญัติการลงโทษอีกว่า ถ้าโทษปล้นสะดมครั้งหนึ่งให้ตัดหูข้างหนึ่ง ถ้าครั้งสองให้ตัดหูอีกข้างหนึ่ง ถ้าครั้งที่สามให้ฆ่าเลย ส่วนโทษเบาลงก็ให้สักหน้าสักอก แล้วให้ติดพวงคือเป็น “คนพวง” จ่ายใช้ราชการในคุก นอกคุกเฉพาะเวลากลางวันส่วนกลางคืนให้จำใส่คุกไว้ แต่โทษปล้นสะดมให้จำคุกไว้ทั้งกลางวันกลางคืนคือ ห้ามไม่ให้พาออกมานอกคุกอย่างเด็ดขาด

ถ้าโทษลักพระราชทรัพย์ในพระราชวัง โดยซื้อขายกันในพระราชวังให้ตัดตีนตัดมือ ให้ตัดตรงคุ้งข้อหรือที่ข้อตีนข้อมือ ถ้าลักออกไปนอกพระราชวังให้ฆ่าทั้งโจรและนายประตู “ถ้าทรงพระกรุณาบให้ฆ่าตี…ให้ไหมโจรจัตรคูณ….”

ดังนั้น “คนพวง” ที่ทางคุกจ่ายออกมาทำงานนอกคุกบางคนจึงเป็นคนพิการ หูขาด มือขาด หลังลาย เพราะถูกทวน (ตี) ด้วยลวดหนัง และผอมโซด้วยความอดอยาก

คนพวงมีมาจนกระทั่งสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ และเมื่อต้นรัชกาลที่ 5 ก็ยังมีคนพวงอยู่ แต่เมื่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างคุกใหม่ (ปัจจุบันเป็นเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร) โดยรื้อคุกเก่าที่สวนเจ้าเชตุ (ปัจจุบันเป็นกรมการรักษาดินแดน) คนพวงจึงหมดไป

สำหรับการจ่ายคนพวงออกมาทำงานนั้น ในสมัยอยุธยากรมพระนครบาลใช้ให้ทำนา ทำสวน เลี้ยงช้าง ม้า โค กระบือ แต่ในสมัยรัชกาลที่ 5 ใช้ให้ทำงานโยธาต่าง ๆ เช่น ทำความสะอาดวัด และถนนหนทาง เป็นต้น แต่คนพวงสมัยหลังนี้มือเท้าไม่ขาดเหมือนสมัยโบราณแล้ว

อ่านเพิ่มเติม :

สำหรับผู้ชื่นชอบประวัติศาสตร์ ศิลปะ และวัฒนธรรม แง่มุมต่าง ๆ ทั้งอดีตและร่วมสมัย พลาดไม่ได้กับสิทธิพิเศษ เมื่อสมัครสมาชิกนิตยสารศิลปวัฒนธรรม 12 ฉบับ (1 ปี) ส่งความรู้ถึงบ้านแล้ววันนี้!! สมัครสมาชิกคลิกที่นี่ 


อ้างอิง :

เทพชู ทับทอง. กรุงเทพฯ แห่งความหลัง. อักษรบัณฑิต (ไม่ได้ระบุปีพิมพ์).


เผยแพร่ในระบบออนไลน์ครั้งแรกเมื่อ 19 กันยายน 2559