ผู้เขียน | สุทธาสินี จิตรกรรมไทย เจียจันทร์พงษ์ |
---|---|
เผยแพร่ |
“ผมจำเป็นต้องเสียสัตย์” วาทะ พล. อ. สุจินดา คราประยูร สู่เหตุการณ์ “พฤษภาทมิฬ” ปี 2535
พล. อ. สุจินดา คราประยูร นายกรัฐมนตรีไทยคนที่ 19 ถึงแก่อสัญกรรมแล้ว เมื่อวันที่ 10 มิถุนายน 2568 ด้วยอายุ 91 ปี
พล. อ. สุจินดา เป็นหนึ่งในทหารที่เข้าสู่แวดวงการเมืองจากการรัฐประหาร 23 กุมภาพันธ์ 2534 ที่เวลานั้น คณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ (รสช.) นำโดย พล. อ. สุนทร คงสมพงษ์ และ พล. อ. สุจินดา นำคณะนายทหารรุ่น 5 ยึดอำนาจจากรัฐบาล พล. อ. ชาติชาย ชุณหะวัณ ซึ่งมาจากการเลือกตั้ง
จากนั้น พล. อ. สุจินดา ได้เสนอให้นายอานันท์ ปันยารชุน เป็นนายกฯ

ต่อมา มีการเลือกตั้งทั่วไปในวันที่ 22 มีนาคม 2535 ผลปรากฏว่า พรรคสามัคคีธรรม พรรคชาติไทย พรรคกิจสังคม พรรคประชากรไทย และพรรคราษฎร ร่วมมือกันจัดตั้งรัฐบาล และประกาศสนับสนุนให้ นายณรงค์ วงศ์วรรณ หัวหน้าพรรคสามัคคีธรรมเป็นนายกฯ แต่ต่อมามีข่าวอ้างว่า นายณรงค์ติดแบล็คลิสต์ไม่สามารถเดินทางเข้าสหรัฐอเมริกา เนื่องจากมีความใกล้ชิดกับเรื่องค้ายาเสพติด
เหตุนี้ ทำให้ทั้ง 5 พรรค ตัดสินใจเชิญ พล. อ. สุจินดา รับตำแหน่งนายกฯ ด้วยเหตุผลว่า พยายามให้มีนายกฯ จากการเลือกตั้งแล้ว แต่ไม่ประสบผลสำเร็จ ทำให้ พล. อ. สุจินดา เป็นนายกฯ คนที่ 19 ได้รับโปรดเกล้าฯ ให้ดำรงตำแหน่งเมื่อวันที่ 7 เมษายน 2535

“ผมจำเป็นต้องเสียสัตย์” วาทะ พล. อ. สุจินดา คราประยูร
วันรุ่งขึ้น คือ 8 เมษายน 2535 พล. อ. สุจินดา เดินทางไปยังห้องประชุมกองทัพบก เพื่ออำลาตำแหน่งทางทหาร พร้อมกล่าวสุนทรพจน์ต่อหน้านายทหารระดับสูงที่มาร่วมอำลา เป็นที่มาของวาทะ พล. อ. สุจินดา ที่ต่อมาจะเป็นส่วนหนึ่งของชนวนทำให้เกิดการชุมนุมทางการเมือง
เหตุการณ์วันนั้น หนังสือพิมพ์มติชน (ฉบับวันที่ 9 เมษายน 2535) รายงานว่า
“‘ชีวิตของผมมีความสุขที่สุด คือชีวิตที่ได้รับราชการอยู่ในกองทัพบก’ ถึงตอนนี้ พล.อ.สุจินดา มีอาการคล้ายกับอะไรจะไปจุกที่ลำคอ นิ่งอิ้ง ‘ผม…’ พล.อ.สุจินดากลั้นใจอยากจะพูดต่อแต่ก็พูดไม่ออก พลันน้ำตาก็เริ่มไหลออกมา มากขึ้น-มากขึ้นจนต้องยกมือขึ้นปาดน้ำตา กระนั้นก็ยังนิ่งอึ้งเช่นเดิม และเมื่อพยายามพูดต่อก็ไม่วายตะกุกตะกัก ‘ว่าผม…’ พล.อ.สุจินดายกผ้าเช็ดหน้าขึ้นซับน้ำตา
‘ผมไม่เคยหวังจะรับตำแหน่งใด ๆ หรือแม้แต่ตำแหน่งผู้บัญชาการทหารบก’ น้ำเสียงสั่นเครือ ‘ผมพอใจในสิ่งเดียวคือ รับราชการอยู่ในกองทัพบก แต่ขณะเดียวกัน ผมก็รู้ว่า วันหนึ่งผมต้องจากไป ซึ่งผมตั้งใจไว้ตั้งแต่รับตำแหน่งผู้บัญชาการทหารบกว่า จะออกจากกองทัพก่อนเกษียณอายุเพื่อเปิดทางให้ผู้อยู่ข้างหลังที่มีความสามารถได้เข้ามาแทนที่’…”
พล. อ. สุจินดา ยังกล่าวถึงการรับตำแหน่งนายกฯ ด้วยว่า
“…ผมจำเป็นต้องเสียสัตย์ที่เคยกล่าวไว้ว่า จะไม่รับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ทั้งนี้ก็ด้วยเหตุผลเดียวว่า เพราะความเป็นทหารที่เรามีคติประจำใจว่า เรายอมเสียสละได้แม้ชีวิตเพื่อประเทศชาติ เพราะฉะนั้นเมื่อเกิดความจำเป็นที่เราจะต้องทำงานเพื่อประเทศชาติ เพราะฉะนั้นการเสียชื่อเสียง เสียสัจจะวาจาก็อาจจะเป็นความจำเป็น…”
หนังสือพิมพ์มติชนฉบับดังกล่าวรายงานเพิ่มเติมว่า บางช่วงของวาทะ พล. อ. สุจินดา เขาได้หลั่งน้ำตา น้ำเสียงสั่นเครือและสะอึกเป็นระยะ เมื่อกล่าวจบและลงจากเวที พล. อ. สุจินดา ได้ทักทายนายทหารชั้นผู้ใหญ่ในกองทัพบก จนกลั้นน้ำตาไม่อยู่อีกครั้ง นายทหารติดตามจึงต้องส่งผ้าเช็ดหน้าให้ซับน้ำตา ก่อนจะเดินทางกลับ

วาทะ พล. อ. สุจินดา สร้างความไม่พอใจให้ประชาชนเป็นอย่างมาก เพราะก่อนหน้านี้เขาเคยกล่าวว่าจะไม่รับตำแหน่งใดๆ ทางการเมือง จนกระทั่งเกิดการต่อต้านจากหลายฝ่าย
ร. ต. ฉลาด วรฉัตร อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) พรรคประชาธิปัตย์ เริ่มอดข้าวประท้วงจนกว่าจะได้นายกฯ จากการเลือกตั้ง ขณะที่ พล. ต. จำลอง ศรีเมือง หัวหน้าพรรคพลังธรรมและอดีตผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ออกมาปราศรัยต่อต้าน
การเคลื่อนไหวประท้วง พล. อ. สุจินดา ขยายวงไปยังกลุ่มต่างๆ นอกจากนักการเมืองและกลุ่มที่เคลื่อนไหวทางการเมืองแล้ว ก็ยังมีกลุ่มนักวิชาการ คณะกรรมการรณรงค์เพื่อประชาธิปไตย (ครป.) สหพันธ์นิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทย (สนนท.) ประชาชนทั่วไป เรียกร้องให้นายกฯ ต้องมาจากการเลือกตั้งเท่านั้น และเห็นว่า พล. อ. สุจินดา คือสัญลักษณ์ของการสืบทอดอำนาจของคณะทหารที่ยึดอำนาจ

วันที่ 17 พฤษภาคม 2535 กลุ่มผู้ต่อต้าน พล. อ. สุจินดา เป็นนายกฯ นับแสนๆ คน รวมตัวกันที่สนามหลวง ประกาศเรียกร้องให้ พล. อ. สุจินดา ลาออกจากตำแหน่งภายในเวลา 21.00 น. ของวันนั้น
การชุมนุมครั้งนี้มีประชาชนคนชั้นกลางมาเข้าร่วมด้วยเป็นจำนวนมาก แตกต่างจากการชุมนุมทางการเมืองที่ผ่านๆ มา ซึ่งมีนิสิต นักศึกษา เป็นผู้นำ นอกจากนี้ กลุ่มผู้ชุมนุมยังนำโทรศัพท์เคลื่อนที่มาด้วย เพื่อติดต่อสื่อสารกันได้อย่างสะดวก จึงมักเรียกการชุมนุมดังกล่าวว่า “ม็อบมือถือ”
ต่อมา พล. ต. จำลอง นำกลุ่มผู้ชุมนุมมุ่งหน้าสู่รัฐสภา แต่ระหว่างนั้นที่ถนนราชดำเนิน ฝ่ายเจ้าหน้าที่ที่มาควบคุมสถานการณ์ใช้ความรุนแรงกับประชาชนจนบานปลายสู่เหตุรุนแรง มีประชาชนบาดเจ็บและเสียชีวิตจำนวนมาก

ความรุนแรงดำเนินไปถึง 4 วัน คือตั้งแต่วันที่ 17-20 พฤษภาคม 2535 ทำให้มีการเรียกเหตุการณ์นี้ว่า “พฤษภาทมิฬ”
กระทั่ง วันที่ 20 พฤษภาคม 2535 เวลาราว 21.30 น. พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร พระราชทานพระบรมราชวโรกาสให้นายสัญญา ธรรมศักดิ์ ประธานองคมนตรี และ พล. อ. เปรม ติณสูลานนท์ องคมนตรีและรัฐบุรุษ นำ พล. อ. สุจินดา และ พล. ต. จำลอง เข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท เพื่อให้ทั้งสองหาทางแก้ไขปัญหาร่วมกัน
จากนั้น วันที่ 24 พฤษภาคม พล. อ. สุจินดา ได้ลาออกจากตำแหน่งนายกฯ ปิดฉากระยะเวลาดำรงตำแหน่งที่ 48 วัน ตามด้วยการยุบสภาเพื่อจัดการเลือกตั้งทั่วไป ในวันที่ 13 กันยายน 2535
อ่านเพิ่มเติม :
- ผู้นำ “รัฐประหาร” ที่ต้องเลื่อนถึง 5 ครั้ง พอได้ลงมือก็แพ้กลายเป็น “กบฏ” คือใคร?
- ทำไม “พลโท ผิน ชุณหะวัณ” ผู้นำรัฐประหาร 2490 ไม่เป็นนายกรัฐมนตรีเสียเอง
- รัฐประหาร 19 กันยายน 2549 รัฐประหารไทยในรอบ 15 ปี
สำหรับผู้ชื่นชอบประวัติศาสตร์ ศิลปะ และวัฒนธรรม แง่มุมต่าง ๆ ทั้งอดีตและร่วมสมัย พลาดไม่ได้กับสิทธิพิเศษ เมื่อสมัครสมาชิกนิตยสารศิลปวัฒนธรรม 12 ฉบับ (1 ปี) ส่งความรู้ถึงบ้านแล้ววันนี้!! สมัครสมาชิกคลิกที่นี่
อ้างอิง :
รองศาสตราจารย์ ดร. ยุทธพร อิสรชัย, เรียบเรียง. “รัฐประหาร 2534 (รสช.)”.
สุมาลี พันธุ์ยุรา, เรียบเรียง. “คณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ”.
หนุ่มบางโพ. “ที่มาวาทะพลเอกสุจินดา ‘ผมจำเป็นต้องเสียสัตย์’ ก่อนนำสู่ “พฤษภาทมิฬ”.
“เปิดประวัติ พลเอกสุจินดา นายกฯคนที่ 19 เจ้าของวลี เสียสัตย์เพื่อชาติ จนนำไปสู่เหตุการณ์พฤษภาทมิฬ”.
เผยแพร่ในระบบออนไลน์ครั้งแรกเมื่อ 10 มิถุนายน 2568