“วังจะบังติกอ” วังเก่าอายุเกือบ 200 ปี สมัยปัตตานีแบ่งเป็น 7 หัวเมือง!

วังจะบังติกอ
วังจะบังติกอ บริเวณหน้าประตูวัง (ภาพโดย ปณทัศน์ ชัยมาลิก, ถ่ายเมื่อ 11 เมษายน 2568)

“วังจะบังติกอ” วังเก่าอายุเกือบ 200 ปี สมัยสยามแบ่งการปกครองปัตตานีออกเป็น 7 หัวเมือง

เมื่อพูดถึง “วัง” ผู้อ่านหลายท่านมักนึกถึงศูนย์กลางอำนาจและเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ ในเมืองปัตตานีเองก็มี “วังจะบังติกอ” ที่บอกเล่าอดีตของหัวเมืองมลายูชายแดนใต้ ก่อนที่การปฏิรูปการปกครองในรัชกาลที่ 5 จะเปลี่ยนแปลงภูมิภาคนี้ไปอย่างสิ้นเชิง 

วังแห่งนี้ไม่เพียงเป็นสัญลักษณ์ของอำนาจ แต่ยังสะท้อนรากเหง้าของความสัมพันธ์ระหว่างรัฐไทยกับประชาชนมลายูมุสลิมที่สืบทอดมาจนถึงปัจจุบัน

ประวัติความเป็นมา

จะบังติกอเป็นวังที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ปัตตานีอย่างยิ่ง ย้อนกลับไปใน พ.ศ. 2329 ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช (รัชกาลที่ 1) เมื่อสยามสามารถเข้ายึดครองปัตตานีได้สำเร็จ สยามได้แต่งตั้งผู้นำเชื้อสายมลายูที่ไว้ใจให้เป็นเจ้าเมือง 2 คน ชื่อ เติงกูลามีดีน และ ดาโต๊ะปังกาลัน ซึ่งเคยทำงานให้สยาม 

อย่างไรก็ตาม การตั้งผู้นำท้องถิ่นที่มีเชื้อพระวงศ์รัฐมลายูมาปกครองปัตตานีหลังจากสามารถพิชิตมาได้ ส่งผลให้สยามต้องพบกับการต่อต้านของเจ้าเมือง สุดท้ายใน พ.ศ. 2352 ชาวปัตตานีและดาโต๊ะปังกาลันได้ก่อกบฏต่อสยาม

พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่ 2
พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่ 2

บทเรียนดังกล่าวเป็นผลให้ พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย (รัชกาลที่ 2) ทรงเปลี่ยนนโยบายในการปกครองหัวเมืองมลายู พระองค์ทรงแต่งตั้งชาวสยามชื่อว่า นายขวัญซ้าย ขึ้นเป็นเจ้าเมือง นับเป็นเจ้าเมืองปัตตานีคนแรกที่มิได้มีเชื้อสายมลายู 

หลังจากนายขวัญซ้ายเสียชีวิตเมื่อ พ.ศ. 2358 พระองค์ทรงเปลี่ยนแนวทางการปกครองอีกครั้งหนึ่ง โดยหันมาใช้นโยบายเชิง “แบ่งแยกและปกครอง” เพื่อสร้างการคานอำนาจภายในท้องถิ่นด้วยการกระจายอำนาจ ไม่ให้เมืองใดเมืองหนึ่งแข็งเมือง รวมถึงเพิ่มจำนวนเจ้าเมืองที่มีความภักดีต่อราชวงศ์จักรี ดังเช่นที่เป็นอยู่ในล้านนา ลาว และกัมพูชาในสมัยนั้น

ด้วยเหตุข้างต้น พระองค์จึงทรงมีรับสั่งให้เจ้าเมืองสงขลาลงมาศึกษาสภาพโครงสร้างทางการเมืองปัตตานี

ท้ายที่สุดใน พ.ศ. 2359  เจ้าเมืองสงขลาจึงได้จัดการแบ่งปัตตานีออกเป็นหัวเมืองย่อย 7 หัวเมือง อันได้แก่ หนองจิก ยะหริ่ง ยะลา สายบุรี ระแงะ รามัน และปัตตานี ครอบคลุมพื้นที่ในปัจจุบัน คือ ปัตตานี ยะลา นราธิวาส เพื่อง่ายแก่การปกครองและควบคุมของสยาม โดยเจ้าเมืองแต่ละหัวเมืองมีสถานะเท่ากัน และขึ้นตรงกับเจ้าเมืองสงขลา มิได้ขึ้นต่อเมืองศูนย์กลางปัตตานีอย่างในอดีต

ในระยะแรกสยามได้แต่งตั้ง เต็งกูสุหลง (Tengku Sulong) เป็นเจ้าเมืองปัตตานี แต่ก็เกิดการก่อกบฏขึ้นอีกครั้ง จึงได้แต่งตั้งชาวบ้านกรือเซะขึ้นมาเป็นเจ้าเมืองปัตตานีแทนในช่วงเวลาหนึ่ง ก่อนจะแต่งตั้งบุตรของเจ้าเมืองกลันตันมาเป็นเจ้าเมืองปัตตานี นามว่า ตนกูมูฮัมหมัด (พ.ศ. 2388-2399) หรือตนกูบือซาร์ ใน พ.ศ. 2388

เมื่อทางการแต่งตั้งให้เขาเป็นเจ้าเมือง ตนกูมูฮัมหมัดก็ได้เดินทางมายังปัตตานีทันที โดยได้ย้ายศูนย์กลางการปกครองใหม่มายัง “จะบังติกอ” จากเดิมอยู่ที่กรือเซะ และได้สร้างวังขึ้นใหม่ เพื่อเป็นที่พำนักสำหรับพระองค์และบุตรหลาน พร้อมกับเป็นสถานที่ทำงานรับแขกเมืองและว่าราชการของเจ้าเมือง

วันและเวลาในการสร้างไม่เป็นที่ปรากฏแน่ชัด ทราบแต่เพียงว่าผู้ออกแบบเป็นชาวจีน ใช้เวลาสร้างแล้วเสร็จราว 3 เดือน สันนิษฐานว่าสร้างเสร็จภายในช่วงเวลาที่ตนกูมูฮัมหมัดมีชีวิตอยู่ เพราะตนกูมูฮัมหมัดเองก็ได้มีโอกาสอาศัยอยู่ในวังแห่งนี้

การวางผังและที่ตั้ง

ที่ตั้งวังจะบังติกออยู่ริมแม่น้ำปัตตานี ตรงสามแยกตำบลจะบังติกอ ในเขตเทศบาลเมืองปัตตานี ตัววังหันหน้าไปทางทิศตะวันออก มีเนื้อที่ 7 ไร่ ล้อมรอบด้วยกำแพงทึบก่ออิฐถือปูน 

รูปทรงของวังเป็นบ้านชั้นเดียวขนาดใหญ่ มีหลังคาเป็นทรงปั้นหยา หรือแบบลีมะ ซึ่งเป็นรูปทรงหลังคาที่ได้รับอิทธิพลจากถาปัตยกรรมแบบอาณานิคมของชาวตะวันตก หลังคาทรงปั้นหยานี้นับได้ว่าเป็นเอกลักษณ์ของภาคใต้ และพบได้ทั่วไปในจังหวัดภาคใต้ โดยเฉพาะในจังหวัดปัตตานี

ตัวอาคารวังเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า ยกพื้นสูงราว 1 เมตร สร้างด้วยไม้ ภายในอาคารมีห้องโถงขนาดใหญ่ ใช้เป็นที่ทำการของเจ้าเมือง ลวดลายตามผนังเป็นอิทธิพลจากศิลปะจีน ส่วนด้านหลังของห้องโถงจะเป็นที่อยู่อาศัยของภรรยาและบริวาร

บริเวณหน้าวังหรือทางทิศใต้ เจ้าเมืองคนที่สองชื่อ ตนกูปูเต๊ะ (พ.ศ. 2399-2424) ได้สร้างมัสยิดแห่งหนึ่งขึ้นมา ปัจจุบันชื่อว่า มัสยิดรายอฟาฏอนี

ภาพมัสยิดรายอฟาฏอนี หรือมัสยิดรายอปัตตานี
ภาพมัสยิดรายอฟาฏอนี หรือมัสยิดรายอปัตตานี (ภาพโดย ปณทัศน์ ชัยมาลิก, ถ่ายเมื่อ 6 ตุลาคม 2565)

ถัดจากมัสยิดเป็นสถานที่หลอมโลหะทำต้นไม้เงิน ต้นไม้ทอง เพื่อใช้เป็นเครื่องราชบรรณาการส่งไปยังกรุงเทพฯ อีกทั้งยังมีการผลิตเงินเหรียญของเมืองปัตตานีในที่แห่งนี้ เพื่อใช้ในการแลกเปลี่ยน เพราะเมืองปัตตานีก็เป็นเมืองท่าค้าขายที่สำคัญ ความต้องการใช้งานเหรียญก็เยอะตาม จึงได้มีการผลิตเพิ่มขึ้นเพื่อใช้ร่วมกับเหรียญอื่น ๆ

ปรากฏหลักฐานว่าพบแม่พิมพ์สำหรับผลิตเงินเหรียญในบริเวณวังแห่งนี้ และยังมีตัวอย่างเงินเหรียญที่ใช้ในเมืองปัตตานีที่ทำขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2432 ลักษณะคล้ายอีแปะของจีน รูปร่างกลม มีเจาะรูตรงกลาง ด้านหน้าเขียนเป็นภาษามลายูความว่าเหรียญนี้ใช้จ่ายในปัตตานี ด้านหลังเขียนเป็นภาษาอาหรับ ซึ่งมีความหมายเหมือนกับด้านหน้า แต่เพิ่มคำว่า “สะนะฮฺ 1309” หมายถึง ปีฮิจญ์เราะฮฺ 1309 ในศาสนาอิสลาม เทียบเท่ากับ พ.ศ. 2432 (ตรงกับรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5)

เหรียญอีแปะ
เหรียญอีแปะ (ภาพจาก แหล่งเรียนรู้ด้านศิลปะและวัฒนธรรม ภาคใต้และคาบสมุทรสยาม-มลายู)

จะบังติกอเป็นศูนย์กลางการปกครองในท้องถิ่นอยู่ช่วงระยะเวลาหนึ่ง และเป็นที่อยู่อาศัยของเจ้าเมืองปัตตานีคนต่อ ๆ มา ได้แก่ ตนกูปูเต๊ะ บุตรชายคนโตของตนกูมูฮัมหมัด เมื่อตนกูปูเต๊ะถึงแก่กรรม บุตรชายคนโตก็ได้เป็นเจ้าเมืองต่อ จนกระทั่งถึงเจ้าเมืองคนสุดท้ายคือ ตนกูอับดุลกอร์เดร์ (พ.ศ. 2442-2445)

ท้ายสุด รัชกาลที่ 5 โปรดเกล้าฯ ให้จัดการปฏิรูปการปกครองทั่วประเทศขึ้น จึงได้ยุบเมืองต่าง ๆ และรวมเป็นมณฑล เช่นกันกับเมืองทั้ง 7 ที่โดนแบ่งแยกไปก่อนหน้าด้วย เมื่อรวมกันแล้วจึงเรียกว่า มณฑลปัตตานี 

วังจะบังติกอจึงเปลี่ยนจากการเป็นศูนย์กลางอำนาจและการปกครอง เป็นเพียงที่อยู่อาศัยของบุตรหลานตนกูมูฮัมหมัด และตำแหน่งพระยาตานี ซึ่งสืบทอดโดยราชวงศ์กลันตันก็ได้สิ้นสุดลงในยุคสมัยนี้

กล่าวสรุปได้ว่า วังจะบังติกอนั้นมีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ปัตตานี โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงการแบ่งการปกครองออกเป็น 7 หัวเมือง วังนี้ได้สร้างขึ้นเพื่อเป็นที่ประทับแก่เชื้อสกุลราชวงศ์กลันตันที่ได้มาเป็นเจ้าเมืองปัตตานีในช่วงระยะเวลาหนึ่ง ก่อนจะสิ้นสุดลงภายหลังในช่วงการปฏิรูปการปกครองในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวนั่นเอง

อ่านเพิ่มเติม : 

สำหรับผู้ชื่นชอบประวัติศาสตร์ ศิลปะ และวัฒนธรรม แง่มุมต่าง ๆ ทั้งอดีตและร่วมสมัย พลาดไม่ได้กับสิทธิพิเศษ เมื่อสมัครสมาชิกนิตยสารศิลปวัฒนธรรม 12 ฉบับ (1 ปี) ส่งความรู้ถึงบ้านแล้ววันนี้!! สมัครสมาชิกคลิกที่นี่


อ้างอิง : 

มูลนิธิสารานุกรมวัฒนธรรมไทย ธนาคารไทยพาณิชย์. (1999). สารานุกรมวัฒนธรรมไทย ภาคใต้  (เล่มที่ 15). สยามเพรส แมเนจเม้นท์.

วันอิฮซาน ตูแวสิเดะ. (2024). ปาตานีฉบับชาติ(ไม่นิยม) : สงครามช่วงชิงอำนาจก่อนปักปันเส้นเขตแดน. มติชน.

จุรีรัตน์ บัวแก้ว. (2531). การสำรวจโบราณสถานเบื้องต้นเมืองปัตตานี :ศึกษาเฉพาะกรณี วังจะบังติกอ . ปัตตานี :คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์

Al-Fatani, A. F. (2000). ประวัติศาสตร์ปัตตานี Pengantar Sejarah Patani. แปลโดย Nik Abdul Rakib Sirimethakul. มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี. เรียกใช้เมื่อ เมษายน 11, 2568


เผยแพร่ในระบบออนไลน์ครั้งแรกเมื่อ  เมษายน 2568