ตำนาน “โรมูลุส-เรมุส” บุตรแห่งหมาป่า สู่พระบิดาแห่งกรุงโรม

ข่าวการคืนชีพ “ไดร์วูลฟ์” (Direwolf) หรือหมาป่าโลกันตร์ โดย บริษัท Colossal Biosciences โด่งดังไปทั่วโลก เพราะนี่คือการคืนชีพสัตว์โบราณที่สูญพันธุ์ไปเมื่อ 10,000 ปีก่อนให้กลับมามีชีวิตอีกครั้ง ด้วยเทคโนโลยีการตัดต่อพันธุกรรม เป็นก้าวอันยิ่งใหญ่ของวงการวิทยาศาสตร์ด้านพันธุกรรมศาสตร์

ไดร์วูลฟ์เหล่านี้มีทั้งหมด 3 ตัว น้องเล็กสุดมีอายุเพียง 2 เดือน คือ คาลีซี (Khaleesi) กับพี่ ๆ ที่เป็นหมาป่าชุดแรกซึ่งมีอายุครบ 6 เดือนแล้ว ชื่อ โรมูลุส (Romulus) กับ เรมุส (Remus) เกิดเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2567

ชื่อของเจ้า 2 ตัวแรกค่อนข้างน่าสนใจทีเดียว เชื่อได้ว่าคนตั้งชื่อจงใจผูกพวกมันชื่อเข้ากับตำนานกำเนิดกรุงโรมของชาวโรมัน เพราะโรมูลุส-เรมุส ก็คือมนุษย์ที่ถูกแม่หมาป่าเลี้ยงดูก่อนจะกลายเป็นผู้สถาปนากรุงโรม มหานครแห่งโลกยุคโบราณที่สถาปนาขึ้นเมื่อ 753 ปีก่อนคริสกาล ณ บริเวณเนินเขาพาลาไทน์ ใจกลางคาบสมุทรอิตาลี

เรียกว่า 1 ใน 2 คนนี้ คือปฐมกษัตริย์ “พระบิดา” แห่งกรุงโรมก็ว่าได้

TIME ฉบับเมษายน 2025
TIME ฉบับเมษายน 2025 (ภาพโดย Robert Clark, TIME)

ตำนาน “โรมูลุส-เรมุส”

เรื่องราวของโรมูลุสกับเรมุสแนบสนิทเป็นเนื้อเดียวกับตำนานข้างต้น ทั้งคู่เป็นลูกชายฝาแฝดของ เจ้าหญิงรีอา ซิลเวีย (Rhea Silvia) มีตาคือ นูมิเตอร์ (Numitor) กษัตริย์แห่งอัลลา ลองกา เมืองโบราณอีกเมืองในอิตาลี

ก่อนทั้งคู่จะถือกำเนิดในครรภ์ของรีอา กษัตริย์นูมิเตอร์ถูกพี่ชายแท้ ๆ ชื่อ อะมูลิอุส (Amulius) ยึดอำนาจไป เขาสังหารรัชทายาท (พี่ชายของรีอา) แล้วขับไล่หลานสาวของตนไปเป็นนักบวชหญิงทำงานในวิหารเทพีเวสตา (Vesta) เทพีผู้อุปถัมภ์เตาไฟและการครองเรือน คอยทำหน้าที่ดูแลไฟศักดิ์สิทธิ์ที่ไม่มีวันดับ ซึ่งมีแค่หญิงพรหมจารีเท่านั้นที่ทำหน้าที่ดังกล่าวได้

แล้ว รีอา ซิลเวีย มีบุตรได้อย่างไร ? ตำนานเล่าว่า เธอไม่ได้มีสัมพันธ์กับมนุษย์หน้าไหนทั้งสิ้น แต่เป็นเทพเจ้า มาร์ (Mars) หรืออาเรส เทพแห่งสงคราม (บางตำนานว่าเป็น เฮอร์คิวลีส วีรบุรุษลูกครึ่งเทพเจ้า-มนุษย์) ผู้บันดาลลูกชายฝาแฝดเข้าท้องของรีอา โดยที่เธอไม่ได้แปดเปื้อนมลทินใด ๆ

เมื่อจอมทรราชอะมูลิอุสจับได้ว่ารีอาให้กำเนิดลูกชาย เขาไม่กล้าสังหารเด็ก ๆ ให้มือเปื้อนเลือดโดยตรง เพราะกลัวพิโรธเทพเจ้า จึงสั่งให้เอาทั้งคู่ไปฝังทั้งเป็น ทิ้งกลางแดด หรือไม่ก็โยนลงแม่น้ำไทเบอร์ แต่คนรับใช้เกิดสงสารเด็กแฝดขึ้นมา จึงฝ่าฝืนคำสั่งด้วยการวางทั้ง 2 คนลงบนกะกร้าแล้วปล่อยให้สายน้ำพัดพาไป 

เทพแห่งแม่น้ำไทเบอร์ยังบันดาลสายน้ำอันเชียวกรากสงบลง ตะกร้าจึงลอยไปเรื่อย ๆ จนไปติดอยู่กับรากของต้นมะกอกที่ขึ้นริมน้ำ จังหวะเดียวกับที่มี “หมาป่าเพศเมีย” ซึ่งอาศัยอยู่แถบเนินเขาพาลาไทน์มาพบทั้งคู่เข้าแล้วเกิดเอ็นดู รับเด็ก ๆ มาเลี้ยงและคอยให้นมจนทั้งคู่รอดตาย

การปรากฏตัวของแม่หมาป่า (ภาษาละตินเรียก Lupa) นับเป็นฉากสำคัญของตำนานเรื่องนี้ เพราะหากไม่ได้นาง โรมูลุส-เรมุส ที่อิดโรยคงอดตายไปแล้ว และกรุงโรมคงไม่อุบัติขึ้นบนโลก

โรมูลุส-เรมุส
ประติมากรรมแม่หมาป่าให้นมโรมูลุสกับเรมุส, Museo Nuovo in the Palazzo dei Conservatori, Rome (ภาพจาก Wikimedia Commons)

แม่หมาป่าเลี้ยงดูทั้งคู่อยู่ระยะหนึ่งจนมีคนเลี้ยงแกะมาพบพวกเขาและเก็บมาเลี้ยงดู โรมูลุส-เรมุสจึงโตเป็นหนุ่มในฐานะคนเลี้ยงแกะ จนเมื่อได้รู้ภูมิหลังของตนเองก็เจ็บแค้นอะมูลิอุส ร่วมกันสังหารจอมทรราชและถวายคืนบัลลังให้พระอัยกานูมิเตอร์เป็นผลสำเร็จ

อย่างไรก็ตาม ฝาแผดไม่ต้องการสิทธิสืบราชบัลลังก์อัลบา ลองกา พวกเขาเลือกออกไปสร้างบ้านสร้างเมืองของตนเอง ด้วยการเดินทางไปทางตะวันออกของแม่น้ำไทเบอร์ ดินแดนที่พวกเขาเติบโตขึ้นมา โรมูลุสอยากสร้างเมืองที่เนินเขาพาลาไทน์ ที่อยู่ของแม่หมาป่า แต่เรมุสไม่เห็นด้วย เขาอยากสร้างเมืองที่เนินเขาอเวนไทน์ ทางใต้ของเนินเขาทั้ง 7 ลูกมากกว่า

สุดท้ายความขัดแย้งของทั้งคู่ลุกลามใหญ่โต ถึงขั้นเลือกประลองกันแบบเดิมพันด้วยชีวิต บทสรุปของเรื่องราวน่าเศร้านี้คือ โรมูลุสเป็นฝ่ายชนะ เขาสังหารแฝดของตนได้ บรรลุวัตถุประสงค์ที่จะสร้างเมืองบนถิ่นของแม่นมผู้ชุบเลี้ยงตนในวัยเยาว์และกลายเป็นปฐมกษัตริย์แห่งโรม

ชื่อของเขายังเป็นที่มาของคำว่า Roma หรือ “โรม” (Rome) และสัญลักษณ์แม่หมาป่าให้นมเด็ก 2 คน ก็กลายเป็นสัญลักษณ์ประจำเมืองของโรมมานับแต่นั้น

เรมุส
เรมุส วัย 2 เดือน (ภาพจาก TIME)

ย้อนกลับมาเรื่องไดร์วูลฟ์กันอีกหน่อย แม้ลักษณะทางกายภาพของลูกหมาทั้ง 3 จะค่อนข้างเด่นชัดว่าพวกมันต่างจากหมาป่าสายพันธุ์อื่น ๆ แต่ยังมีข้อสังเกตอยู่ว่าการใช้ยีนของหมาป่าสีเทา (Gray Wolf) เครือญาติที่ยังอยู่ในโลกยุคปัจจุบัน มาสกัดและดัดแปลงจนรหัสพันธุกรรมเหมือนไดร์วูลฟ์ ก็ยังไม่สามารถยืนยันได้ว่าพวกมันเหมือนบรรพบุรุษที่เคยมีชีวิตอยู่เมื่อหมื่นปีก่อนแบบ 100%

ถึงอย่างนั้น ชื่อโรมูลุสกับเรมุส ไดร์วูลฟ์ 2 ตัวแรกในรอบหมื่นปี นับเป็น “สัญญะ” ทรงพลังที่ “ล้อ” ไป-มาระหว่างปรัมปราโบราณกับวิทยาการสมัยใหม่ เพราะจากที่มนุษย์เคยถูกหมาป่าเลี้ยงดู ตอนนี้เรามาไกลถึงขึ้นคืนชีวิตให้เครือญาติอันเก่าแก่ของพวกมันฟื้นจากภาวะสูญพันธุ์ได้แล้ว

อ่านเพิ่มเติม : 

สำหรับผู้ชื่นชอบประวัติศาสตร์ ศิลปะ และวัฒนธรรม แง่มุมต่าง ๆ ทั้งอดีตและร่วมสมัย พลาดไม่ได้กับสิทธิพิเศษ เมื่อสมัครสมาชิกนิตยสารศิลปวัฒนธรรม 12 ฉบับ (1 ปี) ส่งความรู้ถึงบ้านแล้ววันนี้!! สมัครสมาชิกคลิกที่นี่


อ้างอิง : 

ศิริพจน์ เหล่ามานะเจริญ. โลงหินของพระบิดาแห่งกรุงโรม?. มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับ 28 กุมภาพันธ์ – 5 มีนาคม 2563. จาก https://www.matichonweekly.com/column/article_282717

เพจ ไดโนเสาร์เล่าแบบไทยๆ . Colossal Biosciences ทำได้ การคืนชีพของไดร์วูลฟ์. วันที่ 8 เมษายน 2568. จาก http://facebook.com/photo?fbid=1236693985129441&set=a.191987626266754

Brittany Garcia, World History Encyclopedia. Romulus and Remus. Apr 18, 2018. From http://worldhistory.org/Romulus_and_Remus/

Jeffrey Kluger, Time.. The Return Of The Dire Wolf. Apr 7, 2025. From https://time.com/7274542/colossal-dire-wolf/


เผยแพร่ในระบบออนไลน์ครั้งแรกเมื่อ 8 เมษายน 2568