ความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นระหว่าง “ราชวงศ์น่าน” กับ “ราชวงศ์พระร่วง” แห่งสุโขทัย

ภาพจิตรกรรมฝาผนัง วัดภูมินทร์ จังหวัดน่าน สตรีชั้นสูง ล้านนา ราชวงศ์น่าน ราชวงศ์ภูคา
ภาพประกอบเนื้อหา - ภาพจิตรกรรมฝาผนังวัดภูมินทร์ จังหวัดน่าน, สันนิษฐานว่าเป็นสตรีชั้นสูงในล้านนา (ภาพจาก เพ็ญสุภา สุขคตะ: มติชนสุดสัปดาห์, 2565)

ในรัชกาลพ่อขุนรามคำแหงมหาราช (พ.ศ. 1822-1841) น่านเป็นส่วนหนึ่งของศรีสัชนาลัยสุโขทัย เมื่อสิ้นรัชกาลพ่อขุนรามคำแหงฯ ราชอาณาจักรแตกออกเป็นหลายแว่นแคว้น สำหรับเมืองน่านและแพร่ได้แยกออกไปรวมกันอยู่ใต้กษัตริย์ราชวงศ์น่าน หรือราชวงศ์ภูคา

ศาสตราจารย์ ดร. ประเสริฐ ณ นคร ได้นำรายพระนามกษัตริย์น่านซึ่งปรากฏอยู่ในศิลาจารึกหลักที่ 45 มาเทียบเคียงกับพงศาวดารน่าน ได้เป็นพระนามดังนี้

1. ปู่พระยา (พระยาภูคาเมืองย่าง) 2. ปู่เริง 3. ปู่มุง (เจ้าขุนนุ่น) 4. ปู่พอง (เจ้าขุนฟอง) 5. ปู่ฟ้าฟื้น (เจ้าเก้าเกื่อน) 6. ผากอง (เจ้าผานอง, พ.ศ. 1863-1892) 7. เจ้าไส (พ.ศ. 1892-1894) 8. ปู่พระยาคำฟู (เจ้าการเมือง, พ.ศ. 1894-1904) 9. ผากอง (เจ้าผากอง, พ.ศ. 1904-1929) 10. พระยาผู้ปู่ (เจ้าคำตัน, พ.ศ. 1929-1939)

ก่อนน่านเป็นล้านนา

แม้ส่วนใหญ่ในประวัติศาสตร์ น่านจะเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรล้านนา แต่ ศาสตราจารย์ ดร. ประเสริฐ ชี้ว่า ก่อนหน้านั้นกษัตริย์น่านกับกษัตริย์สุโขทัยยังมีความสัมพันธ์อันดีและพึ่งพาอาศัยกันตลอดมา

ดังจะเห็นว่า หลังสิ้นพ่อขุนรามคำแห่งมหาราช กษัตริย์น่านปกครองเมืองน่านและแพร่อย่างเป็นอิสระ กระทั่งพระมหาธรรมราชา (ลิไทย) (พ.ศ. 1890-1911) พระราชนัดดาพ่อขุนรามฯ ทรงรวบรวมราชอาณาจักรขึ้นใหม่ เมืองน่านยังเข้าเป็นพันธมิตรกับสุโขทัยรบกับอยุธยาเมื่อ พ.ศ. 1919 ซึ่งตอนนั้นมีพระบรมราชาธิราชที่ 1 เป็นกษัตริย์

เมื่อถึง พ.ศ. 1935 รัชกาลพระเจ้าไสลือไทย (พ.ศ. 1943-1962) ทรงทำพิธีสาบานร่วมรุกรบกับปู่ ซึ่งเป็นกษัตริย์แห่งน่านและแพร่ นั่นคือพระยาผู้ปู่หรือเจ้าคำตัน

พงศาวดารน่านระบุว่า เจ้าศรีจันต๊ะ (ศรีจันทะ) พระโอรสของเจ้าคำตัน ได้ครองเมืองน่านต่อจากบิดาอยู่ปีเดียวก็ถูกพระยาเมืองแพร่ฆ่าเมื่อ พ.ศ. 1940 เจ้าหุงพระอนุชาจึงหนีไปพึ่งพระยาเชลียง เชื้อพระวงศ์พระร่วงแห่งสุโขทัย และขอกำลังไปรบชิงเมืองน่านคืนจนสำเร็จในปีถัดมา

4 รัชกาลถัดมา เจ้าอินต๊ะแก่นถูกพระอนุชาชิงเมืองไปเมื่อ พ.ศ. 1975 ก็หนีไปพึ่งพระยาเชลียงและขอแรงสนับสนุนจากสุโขทัยตีเมืองคืนอีก

กระทั่งพระเจ้าติโลกราชแห่งเชียงใหม่ทรงยกกองทัพมาตีเมืองแพร่และเมืองน่าน ได้เมืองแพร่เมื่อ พ.ศ. 1988 และต้องใช้เวลาถึง 6 ปี จึงตีเมืองน่านได้สำเร็จเมื่อ พ.ศ. 1991 พระยาอินต๊ะแก่นยังต้องหนีไปพึ่งพระยาเชลียงอีกครั้ง

แต่นั้นมาเมืองน่านก็รวมอยู่กับล้านนาเกือบตลอด จนมาเป็นส่วนหนึ่งของราชอาณาจักรสยามในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ พ.ศ. 2331

พระเจ้าติโลกราช
ภาพวาดจากจินตนาการ “พระเจ้าติโลกราช” (ภาพจาก มติชนสุดสัปดาห์)

กษัตริย์น่านคือพระร่วง?

ตามตำนานสิบห้าราชวงศ์และตำนานพื้นเมืองเชียงใหม่ ที่มาของพงศาวดารโยนก เล่าถึงบทบาทของ พระยามังราย (เม็งราย) แห่งเชียงใหม่ ในการตัดสินคดี “พระยาร่วง” เป็นชู้กับนางอั้วเชียงแสน เทวีของพระยางำเมืองแห่งเมืองพะเยา สาเหตุมาจากนางอั้วเชียงแสนโกรธสวามีที่พูดเย้าหยอกว่าแกงที่นางปรุงมีน้ำแกงมากไป จึงไปลักลอบชอบพอกับพระร่วง

แต่พงศาวดารเมืองน่าน ต้นตอของเรื่องดังกล่าว เล่าว่า นางอั้วสิมแห่งเมืองปัว (น่าน) ถูกพระยางำเมืองหยอกล้อเรื่องน้ำแกง (เหมือนกัน) จึงลากลับเมืองแล้วไปได้กับขุนไสยศ ซึ่งต่อมาคือ “พระยาผานอง” กษัตริย์เมืองน่าน

เมื่อพิจารณาจากศิลาจารึกหลักที่ 45 การที่พระเจ้าไสลือไทยทรงถือพระยาคำตันกษัตริย์แห่งน่านเป็นปู่ ราชวงศ์ภูคาย่อมเกี่ยวดองกับราชวงศ์พระร่วงมาก่อนหน้านั้น และพงศาวดารทางเหนือคงเรียกพระยาผานองเป็น “พระร่วง” ไปด้วย

พระร่วงที่เป็นชู้กับนางอั้วเทวีพระยางำเมือง จึงไม่ใช่พ่อขุนรามคำแหงมหาราช แต่เป็นพระร่วงฝั่งราชวงศ์ภูคา

“ราชวงศ์น่าน” เชื้อสายพ่อขุนผาเมือง?

ศาสตราจารย์ ดร. ประเสริฐ ยังเสนอด้วยว่า ความสัมพันธ์ระหว่างราชวงศ์น่านกับราชวงศ์พระร่วง อาจสืบย้อนไปก่อนหน้านั้น เพราะก่อนราชวงศ์พระร่วงจะครองราชอาณาจักรศรีสัชนาลัยสุโขทัย มีราชวงศ์ของพ่อขุนศรีนาวนำถุมครองเชลียง-สุโขทัยอยู่ก่อนแล้ว เมื่อพ่อขุนศรีนาวนำถุมสิ้นพระชนม์ พ่อขุนผาเมืองพระโอรสกับพ่อขุนบางกลางหาว (ต่อมาคือพ่อขุนศรีอินทราทิตย์) ได้ร่วมกันชิงเมืองจากขอมสบาดโขลญลำพงสำเร็จ

พ่อขุนผาเมืองนั้นเดิมครองกลุ่มเมืองราด เมืองสะค้า และเมืองลุมบาจาย แต่ภายหลังราชวงศ์พระร่วงของพ่อขุนบางกลางหาวครองศรีสัชนาลัยสุโขทัย ราชวงศ์ของพ่อขุนศรีนาวนำถุม-พ่อขุนผาเมือง ก็หายสาบสูญไปอย่างน่าฉงน

ตรงนี้เองที่ ศาสตราจารย์ ดร. ประเสริฐ ให้ความเห็นไว้ว่า กษัตริย์เมืองน่านที่มักมีต้นนามว่า “ผา” ไม่ว่าจะเป็น ผานอง ผากอง ฯลฯ นั่นแหละ คือเชื้อสายพ่อขุนผาเมือง

“สมัยสุโขทัยนิยมนำชื่อปู่มาเป็นชื่อหลานแบบเดียวกับกรีกโบราณ เช่น พระยาเลอไทยมีลูกชื่อลือไทย (ลิไทย) ชั้นหลานชื่อพ่อเลอไทย ชั้นเหลนชื่อพระยาไสลือไทย สลับกันไปดังนี้…”

ศาสตราจารย์ ดร.ประเสริฐ ณ นคร
ศาสตราจารย์ ดร.ประเสริฐ ณ นคร

การหยิบคำ (บางคำ) จากชื่อพ่อมาเป็นชื่อลูก-หลานนี้ คงไม่จำกัดอยู่แต่ราชวงศ์พระร่วง แต่ใช้กันในวงศ์วานของกลุ่มคนที่พูดภาษาไท-ลาว รวมถึงราชวงศ์ภูคาแห่งเมืองน่าน

นอกจากนี้ยังมีโอรสองค์หนึ่งของกษัตริย์น่านชื่อ “เจ้าบาจาย” ซึ่งตรงกับเมืองลุมบาจายที่พ่อขุนผาเมืองเคยครองอยู่ด้วย

แนวโน้มที่พ่อขุนผาเมืองจะเป็นผู้ครองเมืองน่านด้วยจึงมีความเป็นไปได้ ซึ่งหากจริงตามนั้น เมืองราด เมืองสะค้า และเมืองลุมบาจาย ก็น่าจะอยู่แถวลุ่มน้ำน่าน และสัมพันธภาพระหว่างราชวงศ์น่านกับราชวงศ์พระร่วงก็เหนียวแน่นมาตั้งแต่ยุคต้นวงศ์แล้ว

อ่านเพิ่มเติม : 

สำหรับผู้ชื่นชอบประวัติศาสตร์ ศิลปะ และวัฒนธรรม แง่มุมต่าง ๆ ทั้งอดีตและร่วมสมัย พลาดไม่ได้กับสิทธิพิเศษ เมื่อสมัครสมาชิกนิตยสารศิลปวัฒนธรรม 12 ฉบับ (1 ปี) ส่งความรู้ถึงบ้านแล้ววันนี้!! สมัครสมาชิกคลิกที่นี่


อ้างอิง :

ประเสริฐ ณ นคร ; ศาสตราจารย์ ดร. (2549). ประวัติศาสตร์เบ็ดเตล็ด รวมบทนิพนธ์ “เสาหลักทางวิชาการ” ของศาสตราจารย์ ดร. ประเสริฐ ณ นคร. กรุงเทพฯ : มติชน.


เผยแพร่ในระบบออนไลน์ครั้งแรกเมื่อ 15 มกราคม 2568