
ผู้เขียน | กองบรรณาธิการศิลปวัฒนธรรม |
---|---|
เผยแพร่ |
ปฏิบัติการในลำน้ำเจ้าพระยาของกองทัพเรืออังวะ ตัดกำลังอยุธยาครั้งมโหฬาร ก่อนการปิดล้อมอันนำไปสู่การเสียกรุงศรีอยุธยา ครั้งที่ 2
ในสงครามเสียกรุงครั้งที่ 2 พ.ศ. 2310 ยุทธศาสตร์หลักที่กองทัพอังวะใช้ปิดล้อมอยุธยาคือ “ยุทธวิธีแบบคีมหนีบ” (pincers movement) ทางเหนือมี “เนเมียวสีหบดี” นำทัพตีกวาดหัวเมืองเหนือไล่ลงมา ส่วนทางใต้มี “มังมหานรธา” นำไพร่พลเข้ามาทางด่านสิงขร ตีหัวเมืองทางใต้ตั้งแต่เพชรบุรีมาถึงสุพรรณบุรี เพื่อมาบรรจบกันที่กรุงศรีอยุธยา
นอกจาก 2 ทัพหลักข้างต้น ยังมีกองทัพเรืออังวะในสังกัดของมังมหานรธา ที่ปฏิบัติการไล่ตีเมืองตามรายทางตั้งแต่ปากแม่น้ำเจ้าพระยาขึ้นไปถึงชานพระนคร ก่อนจะตั้งค่ายที่ตำบลบางไทรและสีกุก เพื่อเป็นค่ายปิดล้อมกรุงร่วมกับค่ายพม่าอื่น ๆ ซึ่งมาพร้อมกองทัพหลักของ 2 แม่ทัพอังวะ

อชิรวิชญ์ อันธพันธ์ เล่าไว้ในบทความ “ค่ายบางไทร ในสงครามเสียกรุงฯ พ.ศ. ๒๓๑๐ เส้นทางแห่งหายนะทางเศรษฐกิจของกรุงศรีอยุธยา” (ศิลปวัฒนธรรม ฉบับธันวาคม พ.ศ. 2567) ว่า แม้หลักฐานไทยจะเล่าเพียงทัพเรืออังวะทำลายแนวป้องกันของอยุธยาอย่างง่ายดาย แต่รายละเอียดที่ขาดหายไปคือปฏิบัติการดังกล่าวได้สร้างความเสียหายแก่อยุธยาย่างใหญ่หลวง ไม่แพ้ 2 ทัพหลักเลย
ปฏิบัติการของกองทัพเรืออังวะ
ก่อนที่ทัพของมังมหานรธาจะมาถึงชานพระนคร ปฏิบัติการทางทหารครั้งสำคัญคือการเข้าตีบ้านลูกแก แล้วตั้งทัพที่ “ตอกระออม” กับ “ดงรัง-หนองขาว” บริเวณอำเภอท่าม่วง จังหวัดกาญจนบุรี ในปัจจุบัน
ที่นั่น มังมหานรธาแบ่งกองทัพไปจัดตั้งเป็นกองทัพเรือ มีนายทหารชื่อ “เมฆราโบ่” เป็นแม่ทัพ ยกกองเรือย้อนลงไปทางราชบุรี เข้าตีค่ายไทยที่ยกมาสกัด ณ ตำบลบางบำหรุกับตำบลบางกุ้ง จนพ่ายไป แล้วยกทัพเรือเข้ามาทางปากแม่น้ำเจ้าพระยา ขึ้นมายังบริเวณเมืองบางกอก (ธนบุรี) เมืองท่าหน้าด่านเก็บภาษีอากร ตรวจตราเรือสินค้า และสถานที่รับรองและที่พักชั่วคราวของพ่อค้า รวมทั้งแขกชาวต่างประเทศ
เอกสารไทยระบุว่า อยุธยาส่งกองทัพเมืองนครราชสีมาลงมารักษาป้อมเมืองบางกอก แต่เมื่อทัพเรืออังวะมาถึง ทัพนครราชสีมาถอยกลับอย่างไม่ทราบสาเหตุ เมฆราโบ่จึงนำกองเรือผ่านป้อมปราการเมืองบางกอก-ธนบุรีทั้ง 2 ฝั่ง เข้ามาตั้งค่ายที่วัดสลัก ปัจจุบันอยู่ในพื้นที่ของวัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ราชวรมหาวิหาร ฝั่งท่าพระจันทร์ ทั้งได้กำลังหนุนที่มังมหานรธาส่งมาเสริมเพิ่มอีก
อชิรวิชญ์ อธิบายว่า “เป็นจุดเริ่มต้นของการเปิดแนวรบที่ 3 ของกองทัพอังวะในสงครามคราวเสียกรุงฯ พ.ศ. 2310 โดยมีจุดมุ่งหมายทางการทหารคือ ใช้เส้นทางแม่น้ำเจ้าพระยาตั้งแต่ปากน้ำ ตะลุยยึดเมืองรายทางขึ้นไปถึงชานพระนคร
แม่ทัพที่จัดเจนทางยุทธศาสตร์ย่อมทราบดีว่า เส้นทางแม่น้ำเจ้าพระยาตั้งแต่พระนครลงมาจนถึงปากแม่น้ำออกสู่ทะเล คือเส้นเลือดใหญ่ทางเศรษฐกิจของกรุงศรีอยุธยา ที่เติบโตได้จากการค้าทางทะเลเป็นสำคัญ”
กองทัพเรืออังวะรุกขึ้นมาถึงเมืองนนทบุรี ที่สมัยนั้นเรียก “บ้านตลาดแก้ว-ตลาดขวัญ” แหล่งเพาะปลูกผลไม้-หมากพลู แหล่งสำคัญของอยุธยา
ปรากฏว่าทัพของพระยายมราชที่รับคำสั่งให้ป้องกันจุดนี้ เป็นอีกทัพที่อยู่ ๆ ก็ถอยหนีอย่างไม่มีคำอธิบาย มีเพียงเรือกำปั่นอังกฤษของกัปตันปอเน่ (อลังคปูนี) ซึ่งสมเด็จพระเจ้าเอกทัศน์ทรงวานให้ช่วยรบพม่า ตั้งมั่นต้านทัพอังวะอยู่ที่วัดเขมา บ้านตลาดแก้ว โดยลำพังร่วมเดือนจนกระสุนดินดำหมด เมื่อไร้กำลังสนับสนุนจากพระนคร กัปตันปอเน่จึงทิ้งการสู้รบ ซ้ำยังจับราษฎรเมืองนนท์ร้อยกว่าคนขึ้นเรือออกทะเลไปด้วย
หลังสลายแนวป้องกันดังกล่าวได้ ทัพเรือของเมฆราโบ่ล่องขึ้นไปตามลำน้ำเรื่อย ๆ เข้าตีและไล่ยึดหมู่บ้านสำคัญหลายแห่งตลอดลำน้ำ เพื่อทำลายเส้นเลือดทางเศรษฐกิจของอยุธยา เก็บเกี่ยวทรัพยากร เสบียงอาหาร ยุทธปัจจัย ก่อนไปสมทบกับทัพใหญ่ที่บางไทร
เพราะตั้งแต่เมืองนนทบุรีขึ้นไป ริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาคือชุมชนของคนหลากเชื้อชาติ ทั้งไทย จีน มอญ เขมร ฯลฯ ที่อพยพมาพึ่งพระบรมโพธิสมภารพระมหากษัตริย์อยุธยาตั้งแต่รัชกาลก่อน ๆ โดยพระราชทานที่ดินทำกินให้ กลายเป็นแหล่งอุตสาหกรรมผลิตสินค้าต่าง ๆ เช่น เครื่องปั้นดินเผา ชุมชนต่อเรือกำปั่น สถานีการค้า รวมถึงตลาดค้าช้าง
การเข้าควบคุมและจัดการจุดยุทธศาสตร์ตลอดลำน้ำเจ้าพระยาของเมฆราโบ่ จึงบั่นทอนกำลังทางเศรษฐกิจของกรุงศรีอยุธยาตั้งแต่ก่อนการปิดล้อมกรุงอันยาวนานจะเกิดขึ้นเสียอีก

อ่านเพิ่มเติม :
- หลังเสียกรุงครั้งที่ 2 ชาวบ้านอยุธยาเป็นอยู่อย่างไร?
- พม่า Shutdown กรุงศรีอยุธยา ใครหนี ใครสู้?
- “ยุทธการคีมหนีบ” ยุทธศาสตร์ทัพพม่าก่อนเสียกรุงฯ ครั้งที่ 2 คืออะไร?
สำหรับผู้ชื่นชอบประวัติศาสตร์ ศิลปะ และวัฒนธรรม แง่มุมต่าง ๆ ทั้งอดีตและร่วมสมัย พลาดไม่ได้กับสิทธิพิเศษ เมื่อสมัครสมาชิกนิตยสารศิลปวัฒนธรรม 12 ฉบับ (1 ปี) ส่งความรู้ถึงบ้านแล้ววันนี้!! สมัครสมาชิกคลิกที่นี่
เผยแพร่ในระบบออนไลน์ครั้งแรกเมื่อ 2 มกราคม 2568