
ผู้เขียน | ธนกฤต ก้องเวหา |
---|---|
เผยแพร่ |
ในสงครามเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ 2 ระหว่าง พ.ศ. 2307-2310 พระเจ้ามังระทรงต้องการจัดการอยุธยาทันทีหลังขึ้นครองราชสมบัติ ซึ่งยุทธศาสตร์ที่พม่าใช้บุกอยุธยาครั้งนั้นคือ “ยุทธการคีมหนีบ” เพื่อตัดกำลังฝ่ายอยุธยาในฐานะผู้ตั้งรับ
สำหรับ “แต้มต่อ” ที่อยุธยามีเหนือพม่าทุกครั้งเมื่อเป็นฝ่ายตั้งรับในพระนครนั้น ประการแรก อยุธยาเป็นเกาะ มีแม่น้ำล้อมรอบ ทั้งมีกำแพงพระนครที่มั่นคง ประการที่สอง บริเวณรอบพระนครจะมีน้ำหลากท่วมทุกปีช่วงฤดูฝน ทัพศัตรูจะแข็งแกร่งและมากมายขนาดไหนก็มีระยะเวลาปิดล้อมที่จำกัด คือช่วงฤดูแล้ง
ประการสุดท้าย อยุธยามีกำลังหนุนจากหัวเมืองในอาณัติ ที่สามารถยกมาช่วยตีกระหนาบทัพใด ๆ ก็ตามที่ปิดล้อมพระนครอยู่ได้
อังวะจึงใช้ยุทธการคีมหนีบ เพื่อ “จัดการ” กลยุทธ์ของฝ่ายอยุธยาในประการสุดท้าย
“ยุทธการคีมหนีบ” ยุทธศาสตร์พระเจ้ามังระ
ยุทธศาสตร์สงครามของพระเจ้ามังระเริ่มจากการขยายอำนาจสู่ล้านนา มณีปุระ ฉาน เชียงตุง เชียงรุ่ง สิบสองปันนา กระทั่งถึงเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2370 พระองค์ก็ทรงส่งทัพ 2 สายเข้าตีอยุธยา ประกอบด้วย
สายที่ 1 นำโดย เนเมียวสีหบดี หรือ “เนมะโยสีหะปะเต๊ะ” ประกอบด้วย 28 กองทัพ เคลื่อนออกจากอังวะมุ่งมาทางทิศเหนือของอาณาจักรอยุธยา เพื่อสยบเชียงใหม่และหัวเมืองล้านนาทั้งหมด ต่อด้วยยึดหลวงพระบาง (ล้านช้าง)
สายที่ 2 นำโดย มังมหานรธา หรือ “มหานรทา” ประกอบด้วย 20 กองทัพ มุ่งลงใต้เพื่อเกณฑ์กำลังจากหงสาวดี เมาะตะมะ มาสบทบ แล้วตีหัวเมืองมอญ ทวาย มะริด ตะนาวศรี
ยุทธศาสตร์ดังกล่าวคือ “ยุทธการคีมหนีบ” (Pincer strategy) คือบุกจากด้านทิศเหนือและใต้แล้วมุ่งสู่กรุงศรีอยุธยาที่อยู่ตรงกลาง เป้าหมายเพื่อตัดกำลังหัวเมืองที่รายล้อมราชธานี มิให้เป็นกำลังตัวช่วยยามวิกฤตขณะกองทัพอังวะปิดล้อมพระนคร

ใช่ว่าพระเจ้าแผ่นดินอยุธยาจะนิ่งดูดายต่อความเคลื่อนไหวดังกล่าวของฝ่ายอังวะ พงศาวดารฉบับราชวงศ์คองบองบันทึกว่า “ก่อนทัพทวายและเชียงใหม่จะยกมาถึง พระเจ้ากรุงศรีอยุธยาโปรดให้รวบรวมประชาชนและยุทธสัมภาระในเขตชานพระนครมาไว้ในกำแพงเมือง ให้เตรียมการป้องกันพระนครอย่างรัดกุม ขุดคู ก่อมูลดิน เอาปืนใหญ่และเครื่องยิ่งพลุขึ้นประจำเชิงเทินจนดูแล้วไม่ต่างจากปราการเหล็ก”
อย่างไรก็ตาม กองทัพฝ่ายเหนือของเนเมียวสีหบดีสามารถปราบหัวเมืองล้านนาได้อย่างหมดจด จากนั้นจัด 71 ทัพ ประกอบด้วยไพร่พลทั้งพม่า มอญ ไทใหญ่ และสยาม มุ่งลงสู่อยุธยา
ด้านกองทัพฝ่ายใต้ของมังมหานรธา หลังประสบความสำเร็จในภูมิภาคตะนาวศรี ได้เข้าตีเมืองเพชรบุรี ราชบุรี สุพรรณบุรี ไปถึงกาญจนบุรี ยึดหัวเมืองตะวันตกของอยุธยาทั้งหมด จัด 57 ทัพ ที่ประกอบด้วยไพร่พลพม่า มอญ สยาม กะเหรี่ยง มุ่งเข้าล้อมกรุงฯ ประสานกับทัพของเนเมียวสีหบดี
แม่ทัพทั้ง 2 ยึดหลักการเดียวกันคือจะไม่เคลื่อนพลเข้าปิดล้อมกรุงศรีอยุธยาจนกว่าจะยึดครองหัวเมืองรอบนอกทั้งหมดได้อย่างเบ็ดเสร็จ เป็นไปตามยุทธศาสตร์การตัดขาดกำลังสนับนุนจากหัวเมืองที่จะเข้าไปช่วยอยุธยา ทำให้ราชธานีถูกบีบให้จนตรอก เหลือเพียงปราการธรรมชาติ ความแข็งแกร่งภายในพระนคร และฤดูน้ำหลากเป็นที่พึ่งสุดท้าย
แต่ค่ายพม่าทั้ง 27 ค่ายที่ปิดล้อมกรุงศรีอยุธยาก็ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า สามารถเอาชนะทุกข้อได้เปรียบที่อยุธยาหวังใช้ประโยชน์ได้ ท้ายที่สุด วันที่ 7 เมษายน พ.ศ. 2310 อยุธยาก็พ่ายแพ้ “เสียกรุง” แก่กองทัพอังวะอย่างสมบูรณ์

อ่านเพิ่มเติม :
- “ภูมิศาสตร์” พลังขับเคลื่อนเครื่องจักรสงครามของราชวงศ์คองบอง
- 27 ค่ายพม่าล้อมกรุงศรีอยุธยา จากบันทึกของแม่ทัพพม่า คราวสงครามเสียกรุงครั้งที่ 2
- พงศาวดารพม่าระบุชื่อแม่ทัพไทยบู๊แหลกก่อนกรุงแตกครั้ง 2 ไม่ “เหยาะแหยะ” ตามบันทึกฝั่งไทย
สำหรับผู้ชื่นชอบประวัติศาสตร์ ศิลปะ และวัฒนธรรม แง่มุมต่าง ๆ ทั้งอดีตและร่วมสมัย พลาดไม่ได้กับสิทธิพิเศษ เมื่อสมัครสมาชิกนิตยสารศิลปวัฒนธรรม 12 ฉบับ (1 ปี) ส่งความรู้ถึงบ้านแล้ววันนี้!! สมัครสมาชิกคลิกที่นี่
อ้างอิง :
สุเจน กรรพฤทธิ์. นับถอยหลัง อวสานกรุงศรีฯ ๒๔๘ ปี “วันกรุงแตก”. สารคดี ฉบับเมษายน 2558.
พิเศษ เจียจันทร์พงษ์ บทนำเสนอ ; นายต่อ แปล. (2545). มหาราชวงษ์ พงษาดารพม่า. กรุงเทพฯ : มติชน.
นิยะดา เหล่าสุนทร. อยุธยาพิโรธใต้ เพลิงกัลป์ : บันทึกของผู้อยู่ในเหตุการณ์เมื่อเสียกรุงครั้งที่ 2. ศิลปวัฒนธรรม ฉบับเมษายน 2557
เผยแพร่ในระบบออนไลน์ครั้งแรกเมื่อ 3 ธันวาคม 2567