ผู้เขียน | ปดิวลดา บวรศักดิ์ |
---|---|
เผยแพร่ |
“การทำบุญ-ตักบาตร” ถือเป็นเรื่องที่อยู่คู่กับราชสำนักสยามมานาน โดยสมัยรัชกาลที่ 1 จะทรงบาตรเมื่อเวลา 7 นาฬิกา และนิมนต์เพียงพระสงฆ์จากวัดระฆังผลัดกันกับวัดพระเชตุพน ทว่าเมื่อวันเวลาผ่านไปถึงรัชกาลที่ 5 ก็ได้เปลี่ยนเวลาทรงบาตรเป็น 9 นาฬิกา และเพิ่มจำนวนวัดที่ให้นิมนต์พระสงฆ์เข้ามารับบิณฑบาตมากขึ้น จนครบวันตามสัปดาห์ รวมถึงมีวัดสมทบ เรียกว่า “บิณฑบาตเวร”
“บิณฑบาตเวร” 7 วัน ดังนี้
วันอาทิตย์ วัดมหาธาตุเป็นต้นเวร วัดดุสิตาราม สมทบ
วันจันทร์ วัดราชบูรณะเป็นต้นเวร วัดจักรวรรดิ วัดบพิตรพิมุข สมทบ
วันอังคาร วัดระฆังเป็นต้นเวร วัดอมรินทร วัดรังษี วัดพระยาธรรม สมทบ
วันพุธ วัดพระเชตุพนเป็นต้นเวร วัดสังเวช วัดสามพระยา วัดนากกลาง วัดชิโนรส วัดศรีสุดาราม สมทบ
วันพฤหัสบดี วัดบวรนิเวศเป็นต้นเวร วัดธรรมยุติอื่น ๆ สมทบ
วันศุกร์ วัดสุทัศน์เป็นต้นเวร วัดสระเกศ สมทบ
วันเสาร์ วัดอรุณเป็นต้นเวร วัดโมฬีโลก วัดหงส์ วัดราชสิทธิ์ สมทบ
จำนวนสงฆ์ที่เข้ามารับบิณฑบาตนั้น จะมีวันละ 100 รูป หากเป็นวันนักขัตฤกษ์จะมี 150 รูป โดยสามเณรพระองค์เจ้าและหม่อมเจ้ากับทั้งสามเณรเปรียบก็ได้เข้ารับบิณฑบาตเวรด้วยเช่นกัน
เริ่มต้นบิณฑบาต…ทั้งหมดเดินเข้าทางประตูดุสิตศาสดา (ประตูฉนวนวัดพระแก้ว) เมื่อรับบิณฑบาตแล้ว ภิกษุสามเณรที่เป็นพระองค์เจ้าจะกลับออกประตูสนามราชกิจ (ประตูยามค่ำ) หากเป็นหม่อมเจ้ากลับประตูอุดมสุดารักษ์ (ประตูฉนวน) และบุคคลอื่นนอกจากนี้ออกประตูอนงคลีลา (ประตูดิน)
สะท้อนให้เห็นความสำคัญของพุทธศาสนาที่อยู่กับคู่สถาบันพระมหากษัตริย์ไทยมาเนิ่นนาน
อ่านเพิ่มเติม :
- การทำบุญของคนล้านนาเมื่อ 500 ปีก่อน ภาพสะท้อนถึงความมั่งคั่ง
- ร.6 ทรงบันทึก ทอดพระเนตรปาฏิหาริย์ “พระปฐมเจดีย์” สว่างโพลงทั้งองค์
- ส่องต่างชาติมองแนวคิดเรื่อง “การทำบุญ” และ “ชีวิตที่ดี” ของคนไทยในอดีต
สำหรับผู้ชื่นชอบประวัติศาสตร์ ศิลปะ และวัฒนธรรม แง่มุมต่าง ๆ ทั้งอดีตและร่วมสมัย พลาดไม่ได้กับสิทธิพิเศษ เมื่อสมัครสมาชิกนิตยสารศิลปวัฒนธรรม 12 ฉบับ (1 ปี) ส่งความรู้ถึงบ้านแล้ววันนี้!! สมัครสมาชิกคลิกที่นี่
อ้างอิง :
สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ. พระราชพงศาวดารรัชกาลที่ 5. กรุงเทพฯ: มติชน, 2555.
เผยแพร่ในระบบออนไลน์ครั้งแรกเมื่อ 11 พฤศจิกายน 2567