ลือสะพัด! “สมเด็จช่วง” ขุนนางใหญ่ คิด “ก่อกบฏ” ชิงแผ่นดินปลายรัชกาลที่ 4 

รัชกาลที่ 4 ก่อกบฏ
ริมแม่น้ำเจ้าพระยา บริเวณวัดพระเชตุพนฯ ย่านท่าเตียน สมัยรัชกาลที่ 4 (ภาพจาก ประชุมภาพประวัติศาสตร์ แผ่นดินพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว, กรมศิลปากร)

ช่วงปลายแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 เกิดข่าวลือที่สร้างความหวาดหวั่นแพร่หลายว่า สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง บุนนาค) จะ “ก่อกบฏ” ชิงราชสมบัติ เช่นเดียวกันพระเจ้าปราสาททองในสมัยอยุธยา 

สถานการณ์วุ่นวาย

ขณะที่รัชกาลที่ 4 กำลังประชวร บ้านเมืองก็เกิดความวุ่นวายพร้อมๆ กันหลายประการ

หนึ่ง คือ เรื่องกงสุลอังกฤษไม่พอใจรัฐบาลสยามที่ไม่ปฏิบัติตามหนังสือสัญญา ถึงกับ “ลดธง” เพื่อแสดงเจตนา “ตัดทางพระราชไมตรี”

หนึ่ง คือ เกิดเรื่อง “เงินปลอม” แพร่หลายในการค้าขายของพระนคร จนบรรดาร้านค้าต่างๆ เกิดความกังวลถึงกับจะปิดตลาดไม่ค้าขาย เพื่อแก้ปัญหาเฉพาะหน้า

หนึ่ง คือ เกิดปัญหาโจรผู้ร้ายชุกชุม และพวกอั้งยี่

ฯลฯ

ขณะที่ สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง บุนนาค) หรือ “สมเด็จช่วง” เวลานั้น เป็นสมุหกลาโหมต่อจากบิดา และมีรากฐานอำนาจตระกูล “บุนนาค” ที่ญาติพี่น้องเป็นขุนนางตำแหน่งสำคัญมาอย่างต่อเนื่อง

ก่อกบฏ
สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง บุนนาค)

หาก สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงอธิบายไว้ในพระนิพนธ์ “ความทรงจำ” ว่า สมเด็จช่วง หรือ “เจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์” ในเวลานั้น เป็นผู้ระงับความวุ่นวายดังกล่าว ซึ่งสรุปบางส่วนมาเป็นตัวอย่างได้ เช่น

กงสุลอังกฤษลดธง 

เฮนรี่ อาลบาสเตอร์

เหตุเกิดจากเจ้าภาษีฝิ่น ซึ่งขึ้นอยู่กับสมเด็จช่วง ไปจับฝิ่นเถื่อน “โรงก๊วนพวกงิ้ว” ย่านวัดสัมพันธวงศ์ มีการต่อสู้กันจนเกิดเพลิงไหม้โรงก๊วน เพลิงได้ลุกลามไปถึงตึกพวกแขกในบังคับอังกฤษ จนเกิดความเสียหายจำนวนมาก เฮนรี่ อาลบาสเตอร์-รักษาการกงสุลอังกฤษ เรียกร้องเจ้าภาษีฝิ่นชดใช้ค่าเสียหาย และให้มีการลงโทษ

หากฝ่ายไทยยืนยันว่าพวกงิ้วเป็นคนวางเพลิง เพื่อหลบหนีการจับกุม สมเด็จช่วงเองก็ยินยอมเพียงจ่ายเงินชดใช้เท่าทุนทรัพย์ที่เสียหายจริงเท่านั้น และพยายามถ่วงเวลารอ โทมัส น๊อกซ์-กงสุลอังกฤษ กลับมาเมืองไทย ด้วยรู้ว่าอาลบาสเตอร์และน๊อกซ์ไม่ลงรอยกัน

เมื่อน๊อกซ์กลับมาเห็นว่า ไม่ควรให้เหตุเล็กน้อยกระทบความสัมพันธ์และประโยชน์ของรัฐบาลทั้ง 2 ฝ่าย จึงถอนการฟ้องร้อง ส่วนเรื่อง “ลดธง” นั้น อาลบาสเตอร์ชี้แจงว่า “เชือกธงขาด” ไม่ใช่การลดธง จากนั้นก็ลาออกจากตำแหน่งกลับยุโรป (ก่อนที่ภายหลังจะกลับมารับราชการในไทยอีกครั้ง)

โจรผู้ร้าย-อั้งยี่

เกิดคดีอุกฉกรรจ์ขึ้นติดต่อกัน หนึ่งคือ มีโจรขึ้นปล้นกุฏิพระในวัดพระเชตุพนฯ ฆ่าพระธรรมเจดีย์ (อุ่น) ถึงแก่มรณภาพ จากนั้นก็ฆ่ากัปตันชาวอังกฤษเสียชีวิตในกรุงเทพฯ สมเด็จช่วงก็สั่งการให้กวดขันติดตาม จนสามารถจับผู้กระทำความผิดมาลงโทษประหารชีวิตได้ใน 15 วัน

ส่วนภูมิภาคที่มณฑลอยุธยาก็เกิดการปล้มสะดม ทั้งโจรผู้ร้ายมีพวกมาก ทำให้ประชาชนกลัวจนไม่กล้าฟ้องร้อง หรือรับเบิกความเป็นพยานในศาล โจรก็ยิ่งกำเริบได้ใจ แต่สุดท้ายก็สามารถจับ “อ้ายอ่วม อกโรย” หัวหน้าโจรมาประหารชีวิตที่หน้าพะเนียดคล้องช้างต่อหน้าสาธาณชน ไม่ให้คนอื่นกล้าเอาอย่าง

ส่วนพวกอั้งยี่นั้นในรัชกาลที่ 4 กลับมีขึ้นด้วยการค้าเจริญ มีเรือกั่นเข้าออก, โรงสีข้าว, โรงเลื่อยเกิดขึ้นทั้งในกรุงเทพฯ หลายแห่ง เกิดความต้องการแรงงานจำนวนมาก แต่คนไทยไม่ชอบเป็นแรงงาน คหบดีจีนในไทยจึงจัดหาแรงงานจากเมืองจีนมาขายแรงงาน และให้อยู่ในสังกัดตน มีการเอาวิธีการของสมาคมลับในจีน (อั้งยี่) มากำกับดูแลแรงงานเหล่านี้

ต่อมาพวกอั้งยี่ลุกฮือขึ้นปล้นชิงประชาชนเมืองนครปฐม แม้จับตัวได้แต่ก็เกรงจะเกิดการเอาอย่างในพื้นที่อื่นๆ สมเด็จช่วงจึงจับเอาตัวหัวหน้าอั้งยี่ที่เหลือมาปรับทัศนคติ, ติดตามพฤติกรรม ไม่ให้ก่อเหตุร้าย

ข่าวลือ “กบฏ”

ช่วงปลายแผ่นดินรัชกาลที่ 4 สมเด็จช่วงซึ่งเป็นทั้งแม่ทัพและเสนาธิการ มีอำนาจบารมีมาก จนเป็นเหตุให้มีข่าวลือว่า สมเด็จช่วงคิดการ “ก่อกบฏ” ซึ่งในพระนิพนธ์ของสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ บันทึกว่า

“ครั้นสิ้นรัชกาลที่ 4 …ท่านเห็นจะรู้สึกลำบากใจในข้อนี้มาแต่แรก จึงได้ให้สมเด็จเจ้าฟ้าฯ กรมขุนบำราบปรปักษ์ เป็นผู้สำเร็จราชการในราชสำนัก เพื่อปลดเปลื้องภาระให้พ้นตัวท่านไปส่วนหนึ่ง”

แม้จะไม่สามารถกลบข่าวลือ “ก่อกบฏ” ได้ทั้งหมด แต่ก็คงสยบไปได้หลายส่วน

อ่านเพิ่มเติม :

สำหรับผู้ชื่นชอบประวัติศาสตร์ ศิลปะ และวัฒนธรรม แง่มุมต่าง ๆ ทั้งอดีตและร่วมสมัย พลาดไม่ได้กับสิทธิพิเศษ เมื่อสมัครสมาชิกนิตยสารศิลปวัฒนธรรม 12 ฉบับ (1 ปี) ส่งความรู้ถึงบ้านแล้ววันนี้!! สมัครสมาชิกคลิกที่นี่


อ้างอิง :

สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ. ความทรงจำ, สำนักพิมพ์คลังวิทยา พ.ศ. 2494.


เผยแพร่ในระบบออนไลน์ครั้งแรกเมื่อ 8 ตุลาคม 2567