ผู้เขียน | สุทธาสินี จิตรกรรมไทย เจียจันทร์พงษ์ |
---|---|
เผยแพร่ |
ในงาน “Talks for Thailand 2024 เสียง-สามัญชน” จัดโดยเครือมติชน เมื่อวันที่ 12 กันยายน 2567 ที่ Lido Connect Hall 2 สยามสแควร์
นอกจากจะมีนักสื่อสารมวลชนและนักวิชาการชั้นนำ ทั้ง สุวพงศ์ จั่นฝังเพ็ชร บรรณาธิการ กองบรรณาธิการมติชนสุดสัปดาห์, กษิดิศ อนันทนาธร อาจารย์ภาควิชากฎหมายทั่วไป คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง, ผศ. ดร. ณัฐพล ใจจริง รองคณบดีฝ่ายกิจการนักศึกษา คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา และ ศิโรตม์ คล้ามไพบูลย์ นักวิชาการอิสระ มาร่วมถ่ายทอดพลังของสามัญชนที่มีบทบาทมาทุกยุคสมัย ท่ามกลางผู้ชมที่ล้วนเป็นสามัญชนหลากหลายแวดวงที่มาร่วมงานอย่างคับคั่งแล้ว
ไฮไลต์ของงานนี้ ที่ทุกคนใจจดใจจ่อตั้งตารอคอย คือ การแสดง “An Imperial Sake Cup and I ถ้วยสาเกจักรพรรดิกับเรื่องเล่าสามัญของชาญวิทย์” โดย ศาสตราจารย์พิเศษ ดร. ชาญวิทย์ เกษตรศิริ อดีตอธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ นักประวัติศาสตร์และผู้เชี่ยวชาญด้านไทยและอุษาคเนย์ศึกษา ที่ยืนหยัดส่งมอบความรู้ให้สังคมไทยมาตลอดระยะเวลาหลายทศวรรษ
“An Imperial Sake Cup and I ถ้วยสาเกจักรพรรดิกับเรื่องเล่าสามัญของชาญวิทย์”
“An Imperial Sake Cup and I” เป็นละครเวทีในรูปแบบการบรรยาย (lecture performance) ซึ่งที่ผ่านมาจัดการแสดงแล้ว 4 ครั้ง
ครั้งแรก เมื่อปี 2563 ที่พิพิธภัณฑ์ศิลปะใหม่เอี่ยม จังหวัดเชียงใหม่ ครั้งที่ 2 เมื่อปี 2565 ที่โตเกียว เมโทรโปลิแทน โรงละครใหญ่ที่กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น ครั้งที่ 3 เมื่อปี 2566 ที่หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร (BACC) ตามด้วยครั้งที่ 4 ในปีเดียวกัน ที่โรงละคอนแห่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต
ส่วนครั้งที่ 5 ก็คือการแสดงในงาน “Talks for Thailand 2024 เสียง-สามัญชน” นี้นี่เอง
“An Imperial Sake Cup and I” ถ่ายทอดประวัติส่วนตัวของ อ. ชาญวิทย์ ที่ผูกพันกับญี่ปุ่นมาเกือบตลอดชีวิต สะท้อนจากของสำคัญ 2 สิ่งที่นำเสนอให้ได้ชมแต่ต้น
ของชิ้นแรก คือ “มีดพับเชลย” ที่คุณพ่อของอาจารย์ได้มาเมื่อครั้งสงครามโลกครั้งที่ 2 และ “ถ้วยสาเกสีแดงชาด” กลางถ้วยเป็นลายดอกเบญจมาศสีทอง ตราประจำราชวงศ์ อันเป็นของขวัญพระราชทานที่อาจารย์ได้รับ เมื่อครั้งทำงานเป็นพนักงานวิเทศสัมพันธ์ กรุงเทพมหานคร ในโอกาสที่ มกุฎราชกุมารอากิฮิโตะ และ พระชายามิชิโกะ เสด็จฯ เยือนเมืองไทย เมื่อ พ.ศ. 2507 ก่อนที่ต่อมาจะเสด็จขึ้นครองราชย์เป็นสมเด็จพระจักรพรรดิและสมเด็จพระจักรพรรดินี
ของเปี่ยมคุณค่าทั้ง 2 ชิ้น พาทุกคนย้อนกลับไปสู่วัยเด็กของ อ. ชาญวิทย์ ที่อำเภอบ้านโป่ง จังหวัดราชบุรี ซึ่งเป็นช่วงสงครามมหาเอเชียบูรพา กองทหารญี่ปุ่นใช้สถานีรถไฟหนองปลาดุก ในพื้นที่บ้านโป่ง เป็นจุดเริ่มต้นการสร้างทางรถไฟสายมรณะ ที่เชลยชาวต่างชาติ รวมทั้งชาวอินเดียและชาวจีน ถูกเกณฑ์มาเป็นแรงงานสร้างทางรถไฟ ต้องสังเวยชีวิตไปร่วมแสนคน
บ้านโป่งยังเป็นที่เกิด “วิกฤตการณ์บ้านโป่ง” ซึ่งปะทุขึ้นในเดือนธันวาคม ปี 2485 เมื่อพระไทยให้บุหรี่กับเชลยฝรั่ง ทหารญี่ปุ่นเห็นเข้าก็ไม่พอใจ จึงตบหน้าพระจนล้ม เหตุการณ์ลุกลามบานปลายกลายเป็นการปะทะ มีทหารญี่ปุ่นเสียชีวิต จอมพล ป. พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรีขณะนั้น จึงเข้ามาจัดการ
แม้ความสัมพันธ์ระหว่างชาวบ้านโป่งกับทหารญี่ปุ่นจะไม่ค่อยราบรื่น แต่ความมีน้ำใจระหว่างกันก็ยังปรากฏให้เห็น “ตอนเด็กผมป่วย แต่มีหมอชาวญี่ปุ่นฉีดยาอะไรไม่รู้เข้าที่ต้นคอ ทำให้ผมรอดชีวิตมาได้” อ. ชาญวิทย์ เล่าถึงน้ำใจของชาวญี่ปุ่นช่วงนั้น
เมื่อเติบโตขึ้น อ. ชาญวิทย์ เข้ามาเรียนต่อชั้นมัธยมและมหาวิทยาลัยในกรุงเทพฯ ไปจบปริญญาโทและปริญญาเอกที่สหรัฐอเมริกา กลับมาเป็นอาจารย์ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้เป็นประจักษ์พยานในหน้าประวัติศาสตร์การเมืองไทยยุคเดือนตุลา ทั้ง “14 ตุลา 2516” และ “6 ตุลา 2519” ก่อนถูกกล่าวหาจนต้องลี้ภัยทางการเมืองออกจากเมืองไทย และได้ทุนจากญี่ปุ่นไปทำงานวิจัยที่นั่นเป็นเวลา 1 ปีเต็ม
คราวนั้น อ. ชาญวิทย์ เผชิญความผิดหวังกับสิ่งที่พบ ถึงขั้นตั้งใจว่าชีวิตนี้จะไม่พูดภาษาไทยอีกแล้ว แต่ด้วยประสบการณ์และผู้คนที่ได้เจอ ทำให้อาจารย์มีความหวังและกลับมาเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยอีกครั้ง
จากถ้วยสาเกใบแรกที่ได้รับเมื่อ พ.ศ. 2507 หลังจากนั้นเมื่อมีโอกาสไปญี่ปุ่นคราวใด อาจารย์ก็มักหาถ้วยสาเกมาสะสมอยู่เสมอ กระทั่งพบว่าแต่ละใบบอกเล่าเรื่องราวที่แตกต่างกัน เป็นกระจกสะท้อนวัฒนธรรมญี่ปุ่นและวิถีชีวิตของมนุษย์
“ผมพบว่าถ้วยสาเกไม่ใช่เพียงภาชนะใส่เหล้า แต่มีเรื่องราวที่เชื่อมโยงกับระบอบจักรพรรดิ ระบอบทหาร ไปจนถึงวงจรแห่งชีวิต ตั้งแต่จุดกำเนิด การแต่งงาน และความตาย บางครั้งยังเกี่ยวพันไปถึงความรัก ความใคร่ และเรื่องราวทั้งหลายของสามัญชน”
ตลอดการแสดง 1 ชั่วโมงเต็ม อดีตอธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และนักประวัติศาสตร์ผู้เป็นที่เคารพรักของลูกศิษย์หลายวงการ นำเสนอประสบการณ์ชีวิตส่วนตัว ที่ผูกโยงและเรียงร้อยเข้ากับประวัติศาสตร์การเมืองของไทยและญี่ปุ่นได้อย่างกลมกล่อม ผ่านการแสดงประกอบภาพนิ่ง ภาพเคลื่อนไหว และหุ่นเงา ที่ดึงดูดผู้ชมได้ตั้งแต่ต้นจนจบ
แม้บางเรื่องราวจะขื่นขมและชวนสิ้นหวัง แต่ถึงที่สุดแล้วก็ไม่สามารถทำลาย “ความหวัง” ของสามัญชนนาม “ชาญวิทย์ เกษตรศิริ” ลงได้ ทั้งอาจารย์ยังส่งต่อความหวังให้สังคมต่ออย่างไม่สิ้นสุด ผ่านการมอบความรู้อย่างไม่หยุดนิ่ง และเรื่องเล่าจากถ้วยสาเกสีแดงชาด
เมื่อสมเด็จพระจักรพรรดิอากิฮิโตะทรงประกาศสละราชสมบัติ สิ้นสุด “ยุคเฮเซ” ที่มีความหมายว่าสันติภาพทุกแห่งหน อ. ชาญวิทย์ ก็ได้พาถ้วยสาเกใบนี้ที่มีอายุกว่าครึ่งศตวรรษ นับตั้งแต่ได้รับพระราชทานเดินทางไปญี่ปุ่นเพื่อร่วมในโอกาสนี้ด้วย
ก่อนที่ญี่ปุ่นจะเริ่มยุคใหม่ คือ “ยุคเรวะ” อันมีความหมายว่าสมัครสมานสามัคคี เมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2562 ภายใต้สมเด็จพระจักรพรรดินารุฮิโตะต่อไป
ภาพ : วรวิทย์ พานิชนันท์
อ่านเพิ่มเติม :
- “วิกฤตการณ์บ้านโป่ง” ทหารญี่ปุ่นตบหน้าพระไทย ช่วงสงครามมหาเอเชียบูรพา
- ทางรถไฟสายมรณะ อยู่ในไทย แต่ไม่ใช่ของไทย และไทย[จำต้อง]ซื้อ
- เปิดชีวิต “เชลยศึกชาวดัตช์” ในไทย หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 สภาพเลวร้ายเหมือนช่วงสงครามหรือไม่?
- ชะตากรรม “ทหารญี่ปุ่น” ในไทย เป็นอย่างไร? หลังแพ้สงครามโลกครั้งที่ 2
สำหรับผู้ชื่นชอบประวัติศาสตร์ ศิลปะ และวัฒนธรรม แง่มุมต่าง ๆ ทั้งอดีตและร่วมสมัย พลาดไม่ได้กับสิทธิพิเศษ เมื่อสมัครสมาชิกนิตยสารศิลปวัฒนธรรม 12 ฉบับ (1 ปี) ส่งความรู้ถึงบ้านแล้ววันนี้!! สมัครสมาชิกคลิกที่นี่
เผยแพร่ในระบบออนไลน์ครั้งแรกเมื่อ 13 กันยายน 2567