“หนองจอก” ทำไมถึงเป็นเขตที่อยู่อาศัยของชาวมุสลิม?

หนองจอก
แผนที่กรุงเทพฯ พ.ศ. 2457 แสดงบริเวณอำเภอหนองจอกและวัดหนองจอก ภาพจาก แผนที่กรุงเทพฯ พ.ศ. 2457

“หนองจอก” เป็น 1 ใน 50 เขตของกรุงเทพฯ หลายคนน่าจะมีภาพจำว่าพื้นที่แห่งนี้เป็นที่อยู่อาศัยของชาวมุสลิมโดยมาก 

ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น หาคำตอบได้ในบทความนี้…

“ชาวมุสลิม” เป็นกลุ่มคนที่มีความสำคัญในประวัติศาสตร์ไทยมาเนิ่นนาน ในสมัยอยุธยาได้มีชาวมุสลิมจำนวนมากเดินทางเข้ามา ทั้งเหตุผลเรื่องการค้า การเมือง ความมั่นคง รวมไปถึงเข้ามาพึ่งพระบรมโพธิสมภาร ในช่วงนั้นก็มีชาวมุสลิมหลากหลายกลุ่ม อย่าง มุสลิมจากเปอร์เซีย ก็เข้ามาในกรุงศรีอยุธยาเพราะต้องการรับราชการ

สมัยนั้น มุสลิมในหัวเมืองทางใต้บนแหลมมลายูถือเป็นประเทศราชของอยุธยา แต่อยุธยาก็ยังคงให้หัวเมืองปกครองกันเองอยู่ โดยให้ส่งเครื่องราชบรรณาการมาให้ตามระยะเวลาที่กำหนด 

ทว่ากรุงศรีอยุธยาก็ไม่สามารถขยายอำนาจครอบคลุมได้อย่างเต็มที่นัก สาเหตุหลักเพราะเป็นพื้นที่ห่างไกล อย่าง ปัตตานี 

ท้ายที่สุดการปกครองทั่วไปจึงยังตกอยู่กับเจ้าหัวเมืองต่าง ๆ ในพื้นที่

กระทั่งเข้าสู่สมัยกรุงธนบุรี สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชทรงพยายามจัดระเบียบการปกครอง รวมถึงทรงปราบหัวเมืองต่าง ๆ ให้กลับมาสวามิภักดิ์เช่นเดิม เช่น เมืองนครศรีธรรมราช เมืองไทรบุรี รวมถึงปัตตานี 

แต่พระองค์ทรงปราบปรามได้แค่เมืองนครศรีธรรมราชเท่านั้น เพราะเมืองปัตตานีและไทรบุรีไม่ยอมอ่อนน้อม และพระองค์ก็ทรงติดพันศึกอื่น

ล่วงเลยเข้าสู่สมัยกรุงรัตนโกสินทร์ ชาวมุสลิมเก่าแก่ที่สืบเชื้อสายมาจากอยุธยาและธนบุรีได้อพยพมาตั้งถิ่นฐานตามฝั่งคลองชานเมืองหลวงอย่างกระจัดกระจาย

ขณะเดียวกันก็มีชาว “มุสลิมมลายู” อพยพเข้ามาในเมืองหลวง 

ในวารสารประวัติศาสตร์ เรื่อง การอพยพของมุสลิมไทย ช่วงทศวรรษ 2550 กรณีศึกษาพื้นที่เขตหนองจอก ของ พรพรรณ โปร่งจิตร อาจารย์ประจำภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ได้อธิบายไว้ว่า เหตุที่ชาวมุสลิมมลายูอพยพเข้ามาในเมืองหลวงเพราะว่า…

“มุสลิมกลุ่มที่ 2 เป็นพวกที่อพยพขึ้นมาจากหัวเมืองประเทศราชทางภาคใต้ เรียกพวกนี้ว่ามุสลิมมลายู สาเหตุที่ได้อพยพขึ้นมาเนื่องจากเมื่อ พ.ศ. 2328 พม่ายกทัพเข้ามาตีไทยหลายทางด้วยกัน บรรดาหัวเมืองทางใต้ ตั้งแต่ชุมพรลงไปตกเป็นของพม่าจนหมด ยกเว้นเมืองถลาง ซึ่งท้าวเทพกษัตรีและท้าวศรีสุนทรรักษาไว้ได้ 

ทางกรุงเทพฯ จึงได้จัดกำลังลงต้านทานจนสามารถรบชนะพม่าที่เข้ามาทางเมืองกาญจนบุรี พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช จึงโปรดเกล้าฯ ให้กรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาทยกทัพไปปราบพม่าที่หัวเมืองทางใต้ต่อไป

เมื่อปราบปรามพม่าในหัวเมืองทางใต้แล้ว กรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาทได้เสด็จไปประทับที่เมืองสงขลา เนื่องจากหัวเมืองมลายูซึ่งเคยเป็นเมืองขึ้นของไทยมาตั้งแต่สมัยอยุธยาตั้งตนเป็นอิสระ จึงได้เชิญพระกระแสรับสั่งให้หัวเมืองมลายูอ่อนน้อมยอมเป็นเมืองขึ้นของไทยดังเดิม

แต่พระยาตานีไม่ยอม จึงมีพระกระแสรับสั่งให้พระยากลาโหม และบรรดาแม่ทัพนายกองยกทัพไปตีเมืองปัตตานีใน พ.ศ. 2329 จึงสามารถเข้ายึดเมืองปัตตานีได้ เมื่อจัดการแต่งตั้งผู้ดูแลเมืองปัตตานีเป็นที่เรียบร้อยแล้ว กรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาทจึงให้บรรดาแม่ทัพนายกองยกทัพกลับกรุงเทพฯ

พร้อมทั้งนำเชลยชาวปัตตานี และอาวุธปืนใหญ่อีกสองกระบอกมาด้วย แต่ตกน้ำเสียงกระบอกหนึ่ง คงเหลือกระบอกที่ชื่อ ‘ศรีปัตตานี’ หรือนางพระยาตานีมาเพียงกระบอกเดียว”

เชลยที่นำมาด้วยครั้งนี้มีจำนวนมาก ซึ่งทางการให้แยกอยู่อาศัยตามที่ต่าง ๆ รอบชานกรุง ไม่ว่าจะเป็นที่ธนบุรีบริเวณสี่แยกบ้านแขก บริเวณทุ่งครุในพระประแดง บางคอแหลม มหานาค พระโขนง คลองตัน มีนบุรี หนองจอก และพื้นที่อื่น ๆ ในภาคกลาง เช่น ฉะเชิงเทรา เพชรบุรี อยุธยา นนทบุรี เป็นต้น

หลังจากนั้นไม่นาน ในสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช (รัชกาลที่ 1) อีกเช่นกัน มีการอพยพเชลยชาวปัตตานีขึ้นมาไว้ที่ภาคกลางอีก 2 ครั้ง ครั้งแรกเมื่อ พ.ศ. 2334 เนื่องจากพระยาตานีคบคิดกับโต๊ะสาเหยดเพื่อก่อกบฏ และเมื่อปราบกบฏเสร็จเรียบร้อยแล้วก็ได้ขนเชลยมาที่ภาคกลางอีกเป็นครั้งที่ 2

ทำให้ชาวปัตตานีที่เป็นชาวมุสลิมได้เข้ามาอยู่อาศัย เพิ่มกำลังพล และเป็นแรงงานสำคัญในการก่อสร้างกรุงเทพฯ 

แล้วทำไม “หนองจอก” ถึงเป็นหนึ่งในพื้นที่ที่ชาวมุสลิมมักอาศัยอยู่เยอะ?

อย่างที่เล่าตอนต้นว่า หนึ่งในพื้นที่ที่ชาวมุสลิมอพยพมาตั้งถิ่นฐานคือ “หนองจอก” ซึ่งเดิมเป็นเพียงทุ่งราบมาก่อน แต่เมื่อเข้าสู่สมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว พระองค์ทรงมีพระราชกระแสรับสั่งให้ขุดคลองแสนแสบขึ้น เพื่อความสะดวกสบายในการรบกับเขมรและญวน

การขุดคลองทำให้ชาวมุสลิมที่อาศัยในบริเวณนั้นได้ประโยชน์เรื่องการเพาะปลูกไปด้วย ซึ่งกลุ่มคนเหล่านี้มีความเชี่ยวชาญเรื่องการเพาะปลูกเป็นทุนเดิมตั้งแต่อยู่ในภาคใต้ รวมถึงกรุงเทพฯ ก็มีนโยบายให้ชาวมุสลิมเป็นกำลังสำคัญเรื่องเสบียงเพื่อศึกสงครามและความเป็นอยู่ จึงทำให้พวกเขาลงหลักปักฐานและประกอบอาชีพนี้สืบต่อมาหลายชั่วอายุคน

ก่อนที่ชาวมุสลิมมลายูจะอพยพมาอาศัยอยู่ที่หนองจอกอีกระลอกหนึ่งในช่วง พ.ศ. 2547-2549 เนื่องจากเหตุการณ์ความไม่สงบใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้

“หนองจอก” จึงเป็นอีกพื้นที่หนึ่งที่ชาวมุสลิมอยู่อาศัยมานานจนถึงปัจจุบัน

อ่านเพิ่มเติม :

สำหรับผู้ชื่นชอบประวัติศาสตร์ ศิลปะ และวัฒนธรรม แง่มุมต่าง ๆ ทั้งอดีตและร่วมสมัย พลาดไม่ได้กับสิทธิพิเศษ เมื่อสมัครสมาชิกนิตยสารศิลปวัฒนธรรม 12 ฉบับ (1 ปี) ส่งความรู้ถึงบ้านแล้ววันนี้!! สมัครสมาชิกคลิกที่นี่


อ้างอิง :

พรพรรณ โปร่งจิตร. การอพยพของมุสลิมไทย ช่วงทศวรรษ 2550 กรณีศึกษาพื้นที่เขตหนองจอก. วารสารประวัติศาสตร์ 2565.


เผยแพร่ในระบบออนไลน์ครั้งแรกเมื่อ 24 กรกฎาคม 2567