
ผู้เขียน | กองบรรณาธิการศิลปวัฒนธรรม |
---|---|
เผยแพร่ |
ศาสตราจารย์กิตติคุณ ดร. ธงชัย วินิจจะกูล แห่งภาควิชาประวัติศาสตร์ มหาวิทยาลัยวิสคอนซิน-แมดิสัน สหรัฐอเมริกา ขึ้นกล่าวปาฐกถาพิเศษ “สังคมไทยกับพลวัต 2475” ในงานสโมสรศิลปวัฒนธรรม สเปเชียล ๒๔ มิถุนาฯ วันมหาศรีสวัสดิ์ “พลวัตวันชาติ” เมื่อวันที่ 22 มิถุนายน 2567

และเนื่องจากเมื่อวันที่ 22 มิถุนายน ได้เกิดความผิดพลาดในรายงานข่าวการปาฐกถาพิเศษหัวข้อ “สังคมไทยกับพลวัต 2475” โดย ศาสตราจารย์กิตติคุณ ดร. ธงชัย วินิจจะกูล ที่ปรากฏในสื่อเครือมติชน จนทำให้ผู้อ่านเข้าใจสาระของปาฐกถาคลาดเคลื่อนไปจากเนื้อหาจริง
ทางสื่อเครือมติชนต้องขออภัย ศาสตราจารย์กิตติคุณ ดร. ธงชัย เป็นอย่างสูง และขอเผยแพร่เนื้อหาจากปาฐกถาฉบับเต็ม ทั้งในรูปแบบบทความ และ คลิปวิดีโอ ดังรายละเอียดต่อไปนี้
สังคมไทยกับพลวัต 2475
ธงชัย วินิจจะกูล
หมายถึงความรู้ 2475 ที่เปลี่ยนไป สะท้อนหรือมีผลต่อสังคมไทยยังไงบ้าง
I. พลวัต 2475 พอแบ่งได้เป็นช่วงๆ
ดังที่ผู้กล่าวแล้วว่ามีการเกิด 2475 2-3 ครั้ง คือ
หนึ่ง หลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475 เอง
สอง หลัง 2490 เป็นต้นมาถึงปัจจุบัน การปฏิวัติ 2475 ถูกทำให้เลือนหายไป งานวิชาการไม่มีที่เด่นนัก แต่สารคดีการเมืองมีมากมายในช่วงนั้น ดังที่ณัฐพล ใจจริง กล่าววานนี้ถึงนิยายหลายเล่มเป็นตัวอย่าง งานวิชาการในแนวดังกล่าวปรากฏมากขึ้นในทษวรรษ 2510 ดังนั้น แม้แต่หลัง 14 ตุลา ความรับรู้เกี่ยวกับ 2475 ก็ยังไม่ฟื้น แม้จะยังปรากฏมีการผลิตเผยแพร่อยู่บ้าง เช่น งานของสุพจน์ ด่านตระกูล
สาม นับจากกลางทศวรรษ 2520 ถึงปัจจุบัน มีงานวิชาการหลายชิ้นท้าทายความรู้ที่ครอบงำเป็นหลักอย่างตรงไปตรงมา (สารคดีการเมืองไม่แน่ใจ แต่งานวิชาการสื่อสารถึงสาธารณะมากขึ้น) บวกกับการฟื้นปรีดีโดยธรรมศาสตร์ (ชาญวิทย์ เกษตรศิริ)
สี่ ประมาณ 20 ปีหลังนี่เอง คือ นับจากการรัฐประหาร 2549 ที่การประจัญกันระหว่าง 2 กระแสหนักขึ้นและเปิดเผย
II. ประเด็นที่สำคัญอยู่ตรงไหน
หนึ่ง การปฏิวัติชอบธรรมหรือไม่ มีประชาชนเข้าร่วมหรือไม่ หรือเป็นการกระทำของนักเรียนนอกหัวรุนแรงที่ไม่รู้จักสังคมไทย จึงเป็นการชิงสุกก่อนห่าม คือประชาชนยังไม่พร้อม นี่เป็นเหตุทำให้ ประชาธิปไตย ล้มลุกคลุกคลาน หรือ…เพราะชนชั้นนำเชื่องช้าเกินไป ไม่เข้าใจประชาชนจนสายเกินการณ์ แต่ประชาธิปไตยล้มลุกคลุกคลานเพราะชนชั้นนำฉุดรั้งเกือบตลอด 92 ปี
สอง บทบาทความสำคัญของปรีดี พนมยงค์เป็นคุณหรือเป็นอันตรายต่อประเทศชาติกันแน่
ในประเด็นแรกนั้น หลัง 2475 ย่อมถือว่าประชาชนสนับสนุนการเปลี่ยนแปลง ไม่ใช่เรื่องของนักเรียนนอกไม่กี่คนที่เอาความคิดจากฝรั่งเข้ามายัดเยียดให้สังคมไทย
ในระยะต่อมาที่พยายามทำให้ 2475 เลือนหายจากความรับรู้ของสังคมไทยนั้น การประเมินค่า 2475 แบบใหม่ก็ขึ้นมาแทนคือ เป็นการชิงสุกก่อนห่าม เป็นการกระทำของนักเรียนนอกไม่กี่คน
ต่อมา การรื้อฟื้นความสำคัญของ 2475 จึงมุ่งชี้ให้เห็นว่าประชาชนจำนวนมากไม่พอใจรัฐสมบูรณาญาฯ มีผู้คนสนับสนุนการปฏิวัติอยู่มากมาย ไม่ใช่ชิงสุกก่อนห่าม ไม่ใช่ยัดเยียดความเปลี่ยนแปลงโดยนักเรียนนอกจำนวนน้อยนิด มีงานที่ชี้ให้เห็นว่ารัฐธรรมนูญที่รัชกาลที่ 7 เตรียมจะมอบให้ประชาชนนั้น เป็นเพียง “ราชาธิปไตยที่มีรัฐธรรมนูญ” เท่านั้น ไม่ใช่ระบอบกษัตริย์ “ใต้” รัฐธรรมนูญ ไม่ใช่การเลิกระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์แต่อย่างใด
ในประเด็นที่สอง กรณีนายปรีดีนั้น อาศัยความเปลี่ยนแปลงของข้อแรกเป็นฐาน แต่เน้นตรงที่กลับมาทบทวนความสำคัญของปรีดี พนมยงค์เสียใหม่
สองประเด็นนี้คาบเกี่ยวกัน ดูเหมือนคนจะเข้าใจความความสำคัญของ 2475 เปลี่ยนไปมากขึ้นโดยอาศัยประเด็นที่สองเพราะเป็นที่รับรู้และเข้าใจได้ง่ายกว่า ในขณะที่ประเด็นแรกนั้น ถูกพ่วงเข้าไปด้วย
เช่นนี้เองที่ทำให้เกิดความตื่นเต้นกับแอนิเมชั่น 2475 ว่าเป็นความรู้ใหม่ที่ไม่อยู่ในตำรา ทั้งๆ ที่ในความเป็นจริงนั้น เป็นรายละเอียดซึ่งตำราไม่สามารถครอบคลุมได้หมด แต่ว่าในความเป็นจริงเป็นความรู้เก่ามากที่ผลิตขึ้นในช่วงที่ต้องการลบ 2475 และปรีดี พนมยงค์จากประวัติศาสตร์ไทย เป็นความรู้ที่ผลิตขึ้นก่อน 2520 เป็นความรู้หลักที่ครอบงำสังคมไทยในช่วงนั้นและยังทรงอิทธิพลมาจนจนถึงปัจจุบันนี้ ไม่ใช่ความรู้ใหม่ แต่เป็นความรู้เก่าซึ่งถูกท้าทายจนไม่มีพลังเท่าใดนักในวงวิชาการอีกต่อไป
III. ประวัติศาสตร์ยุทธนา ว่าด้วย 2475: อะไรกันนักหนา?
1) 2475 เป็นจุดสำคัญมากครั้งหนึ่งที่บอกถึงบทบาทสถานะของสถาบันกษัตริย์กับการเมืองไทย และช่วยให้เราเข้าใจบทบาททางการเมืองของกษัตริย์ในเวลาต่อมาอีกด้วยว่า อยู่เหนือการเมืองหมายความว่าอย่างไร
ฝ่ายหนึ่งเห็นว่าอยู่เหนือการเมือง คือ ไม่แปดเปื้อนกับการเมืองที่สกปรก จึงบริสุทธิ์ผุดผ่อง จึงมีสถานะสูงส่งยกย่อง
ในขณะที่ความรู้อีกชุดหนึ่งกลับชี้ว่าหมายถึงเป็นชั้นบนของระบบการเมือง เกี่ยวข้องกับการเมืองตลอดมา
ความสงสัยจนถึงกับเฝ้ามองบทบาทของสถาบันกษัตริย์และฝ่ายนิยมเจ้าในช่วง 20 ปีหลังมานี้ ส่งผลให้ผู้คนย้อนกลับไปทบทวนความรู้เกี่ยวกับ 2475 บทบาทกษัตริย์ในเหตุการณ์นั้น ในกรณีกบฏบวรเดช ในความขัดแย้งกับปรีดี เรื่อยมาจนถึงการสละราชสมบัติ และอีกหลายกรณีที่เกี่ยวเนื่องกับ 2475
ผู้คนพบว่าบทบาทของกษัตริย์ก็ไม่ได้เป็นไปอย่างที่ฝ่ายนิยมเจ้าพยายามบอกเล่า
2) ประมาณเกือบ 20 ปีหลังมานี้ นักวิชาการนิยมเจ้าพยายามอธิบายบทบาทสถานะและความสัมพันธ์ของสถาบันกษัตริย์กับการเมืองไทยในอีกแบบ กล่าวโดยย่อคือ ไม่ปฏิเสธความเชื่อมโยงกับการเมืองไทย แต่กลับพยายามอธิบายว่า
ก) เป็นความจำเป็น กล่าวคือ ทำให้เกิดเสถียรภาพในการเมืองไทย เพราะท่ามกลางความผันผวนของลัทธิเผด็จการทหารและการต่อสู้ของประชาชนนั้น เป็นสถาบันหลักที่ช่วยสร้างความชอบธรรมน่าเคารพยกย่องนับถืออย่างสูงทั้งในประเทศและในความรับรู้ของนานาชาติ
ข) มิใช่เพียงแค่ความจำเป็น แต่เป็นผลดีอย่างมหาศาลต่อการเมืองไทยอีกด้วย เน้นย้ำบทบาทในกรณี 14 ตุลา 2516 และในกรณีพฤษภา 2535
แนวคิดแบบนี้พยายามชี้ให้เห็นว่าบทบาทดังกล่าวของสถาบันกษัตริย์นั้น เป็นได้เพราะบารมีในฐานะผู้มีพระมหากรุณาธิคุณอย่างสูงส่งและทรงความยุติธรรมตลอดหลายร้อยปีในประวัติศาสตร์
งานทางวิชาการกระแสหลักจะพยายามลดความสำคัญและความหมายของ 2475 พยายามลบการพลิกแผ่นดินว่าไม่เคยเกิดขึ้น พยายามให้เห็นว่าบทบาทดังกล่าวของสถาบันกษัตริย์สืบเนื่องต่อกันมาอย่างไม่เคยเปลี่ยนแปลง ความสืบเนื่องเพื่อเป็นเหตุผลสนับสนุนสร้างความชอบธรรมแก่บทบาทของกษัตริย์ที่อยู่เหนือการเมือง และแก่ระบอบราชาธิปไตยที่มีรัฐธรรมนูญ หรือ ราชาธิปไตยตามรัฐธรรมนูญ
3) 2475 มีความสำคัญมากอีกประการหนึ่งซึ่งผู้คนส่วนใหญ่ยังไม่รู้ คือ เป็นประเด็นที่มีผลอย่างมากต่อนิติศาสตร์แบบไทย
บวรศักดิ์เสนอหลายต่อหลายครั้งมาตั้งแต่ปี 2527 ว่า…
– กษัตริย์ เป็นอำนาจสถาปนากฎหมายทั้งระบบ
– กษัตริย์ ของไทยเป็นลักษณะพิเศษของสังคมไทยมี่ไม่เหมือนใครในโลกทั้งสิ้น เพราะเป็นผู้ทรงธรรม เป็นต้นธารของความยุติธรรม ท่ามกลางระบบการเมืองที่แย่และผันผวน
– อำนาจอธิปไตยยังเป็นของกษัตริย์ไม่เคยเปลี่ยนแปลง แม้จะเกิด 2475 ก็มิได้เปลี่ยนแปลงข้อนี้แม้แต่น้อย เพราะ 2475 ไม่ใช่ break จากระบอบก่อนหน้านั้น ในเหตุการณ์ 2475 กษัตริย์พระราชทานรัฐธรรมนูญให้ประชาชนทดลองปกครองกันเอง ทุกครั้งที่ล้มเหลวจนเกิดการรัฐประหาร อำนาจอธิปไตยก็จะกลับไปเป็นของกษัตริย์เช่นเดิม
ความรู้เกี่ยวกับ 2475 แบบ #2 บวกด้วยบทบาทสถานะของกษัตริย์ที่สืบเนื่องกัน จึงเป็นฐานความชอบธรรมแก่ “ราชนิติธรรม” หรือนิติธรรมแบบไทย ซึ่งถ้าหากผู้คนเชื่อ 2475 ไปในแบบอื่น ราชนิติธรรมหรือนิติศาสตร์แบบไทย ก็จะขาดฐานความชอบธรรมโดยสิ้นเชิง
ดังนั้น ประเด็นสำคัญที่สุดก็คือ ระบอบเดิมสิ้นสุดลงเรียบร้อยไปแล้วหรือไม่ ความไม่ต่อเนื่องของระบบเก่ากับหลังจากนั้นเกิดขึ้นไปแล้วหรือไม่ คำตอบตอบปัญหานี้สำคัญยิ่ง เพราะอาจหมายถึงการสถาปนาราชาธิปไตยที่มีรัฐธรรมนูญและราชนิติธรรม หรือการเดินหน้าทำให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น เป็นระบอบอารยะที่เป็นสากล
การที่ 2475 ถูกเรียกว่าเป็นขบถก็มี รัฐประหารก็มี ปฏิวัติก็มี หรือเรียกอย่างกลางๆ ที่สุดว่า “การเปลี่ยนแปลง” ด้านหนึ่งบอกถึงความรับรู้ในขณะนั้นว่าจะเรียกว่าอะไรดี แต่ที่สำคัญกว่าและทำให้การเรียกหลายอย่างดำรงอยู่ต่อมาเกือบ 100 ปีก็ยังตกลงกันไม่ได้ก็เพราะการเปลี่ยนแปลงเมื่อ 2475 นั้น เป็นอย่างที่อาจารย์ชาญวิทย์กล่าววานนี้ว่า “ไม่เต็มที่” หรือวรเจตน์ ภาคีรัตน์กล่าวว่าเป็นประชาธิปไตย “ไม่สมบูรณ์” หรือคุณสุพจน์ แจ้งเร็วกล่าวว่าเป็นการปฏิวัติ “ในระดับหนึ่ง” นั้นหมายถึงแค่ไหน อย่างไร
ระบอบเดิมสิ้นสุดลงเรียบร้อยไปแล้วหรือไม่ ความไม่ต่อเนื่องของระบบเก่ากับหลังจากนั้นเกิดขึ้นไปแล้วหรือไม่
ทั้งสามประการนี้คือคำอธิบายว่าทำไมประวัติศาสตร์ยุทธนาว่าด้วย 2475 จึงสำคัญนักหนา
ก็เพราะความรู้ว่าด้วย 2475 ในแบบราชาชาตินิยมนั้น …เป็นฐานแก่ ประชาธิปไตย ที่มีกษัตริย์เหนือการเมือง…เป็นฐานแก่ระบอบราชาธิปไตยที่มีรัฐธรรมนูญหรือราชาธิปไตยตามรัฐธรรมนูญ…และเป็นฐานแก่ราชนิติธรรม
ประมาณ 20 ปีหลังนับจากการรัฐประหาร 2549 ถึงปัจจุบันที่การประจัญกันระหว่าง 2 กระแสหนักขึ้นและเปิดเผย เพราะความพยายามสถาปนาทั้ง 3 ประการเร่งขึ้นแรงขึ้น แต่ความรู้ของสังคมไทยไม่ใช่แค่แบบที่สองอีกต่อไปแล้ว แต่เป็นแบบที่สามด้วย จึงเกิดการต่อต้านความพยายามดังกล่าว
IV. “ประวัติศาสตร์ยุทธนา” ว่าด้วย 2475 ในบริบทปัจจุบัน
ในแง่หนึ่ง 92 ปีผ่านไป บางอย่างไม่เปลี่ยนไปเท่าไรนัก ลองคิดดูสักนิด เราจะพบว่า การกล่าวว่าพรรคก้าวไกลฝันเกินไป เร่งการเปลี่ยนแปลงเกินไป หรือการกล่าวว่าขบวนการเยาวชน 2563 ก้าวร้าวรุนแรงเกินไปนั้น ก็ทำนองเดียวกับการที่กล่าวว่า 2475 “ชิงสุกก่อนห่าม” นั่นเอง
ทั้งเมื่อ 92 ปีก่อนและปัจจุบันยังมีความเชื่อว่าประชาชนยังไม่พร้อม ประเทศไทยยังไม่พร้อม
ข้อถกเถียงเดิมจึงวนเวียนกลับมาอีก ข้อเท็จจริงว่าประชาชนเข็งขันทางการเมืองขนาดไหนอาจไม่สำคัญเท่า “ความเชื่อ” ที่อยู่ในหัวของคนที่ยังไงๆ ก็เชื่อว่าประชาชนไม่พร้อมอยู่นั่นเอง
แต่ในอีกแง่หนึ่ง มีบางอย่างที่เปลี่ยนไปอย่างมาก ได้แก่ บริบทปัจจุบันนั่นเอง
ลักษณะเฉพาะของบริบทในปัจจุบัน ก็คือ
ในด้านหนึ่ง กลุ่มพลังพลังหลักที่ประกอบเป็นชนชั้นนำของไทยใน 100 ปีที่ผ่านมา ผนึกเป็นปึกแผ่นกันอย่างไม่เคยมีมาก่อนในประวัติศาสตร์ไทย ภาวะเช่นนี้เกิดขึ้นประมาณ 20 ปีที่ผ่านมา ไม่เคยมีครั้งใดเลยในประวัติศาสตร์ไทยนับแต่ก่อน 2475 ที่รัฐราชการจะอยู่ภายใต้อำนาจที่เป็นปึกแผ่นขนาดนี้
ทั้งหมดนี้ เกิดขึ้นภายใต้ความคิดอุดมการณ์ที่ไม่ใช่อนุรักษนิยม แต่เป็นขวาแบบสุดโต่ง
ภายใต้ระบอบประยุทธ์ ชนชั้นนำไทยเหลิงอำนาจ กระทำการหลายอย่างแบบที่ไม่ต้องแคร์ ไม่ละอาย หรือพะวงกับสียงนกเสียงกาของประชาชน ไม่ว่าจะรัฐธรรมนูญที่ขัดขวางประชาธิปไตยทุกวิถีทาง พฤติกรรมไร้ยางอายของ ส.ว. การใช้กฎหมายและกระบวนการที่อยุติธรรมอย่างโจ๋งครึ่ม การใช้อำนาจแบบไม่ฉลาดแถมกลับอวดดีของผู้นำรัฐบาลไม่ได้สะท้อนเพียงบุคลิกของพลเอกประยุทธ์ แต่สะท้อนคุณสมบัติของระบอบขวาสุดโต่งที่ผนึกกำลังจนเข้มแข็ง จนอภิสิทธิ์ชนผู้มีอำนาจไม่ต้องแคร์ ทำสิ่งที่ไม่กล้ากระทำในรัชกาลก่อนหลายอย่าง
แต่เพราะความเข้มแข็งเช่นนี้แหละ ที่ทำให้อภิสิทธิ์ชนผู้มีอำนาจกระทำการที่ขัดสายตา ขัดข้องความรู้สึก ขัดใจประชาชน และขัดต่อกฎหมายครั้งแล้วครั้งเล่า ซ้ำแล้วซ้ำเล่า การยอมรับสนับสนุนหรือความชอบธรรมทางการเมืองจากสาธารณะลดถอยลงทุกที จนเมื่อเร็วๆ นี้อาจารย์สมชาย ปรีชาศิลปกุลเรียกว่าความชอบธรรมต่ำเตี้ยเรี่ยดินอย่างไม่เคยมีมาก่อนเช่นกัน
ผมไม่แน่ใจว่าคนในสังคมไทยจะละทิ้งความรู้หลักไปแล้วถึงขนาดไหน เพราะฝ่ายอำนาจนั้น เขาอาศัยใช้อำนาจช่วยสถาปนาความรู้ที่แค่พอฟังขึ้นให้กลายเป็นพลังที่ครอบงำสังคมได้ อย่างไรก็ตามผมเห็นด้วยว่าพวกเขากลับพ่ายแพ้ถดถอยลงทุกทีในแง่การชนะใจประชาชนและการเอาชนะกันทางปัญญา แม้ว่าชนชั้นอำนาจชนะในห้องพิจารณาคดี ในรัฐสภา และแม้กระทั่งในท้องถนน แต่ก็เป็นชัยชนะแบบหักด้ามพร้าด้วยเข่า ซึ่งยิ่งทำให้ผู้คนมากขึ้นทุกทีอึดอัด โกรธแค้นและสิ้นหวัง
ชนชั้นอำนาจแข็งแกร่งอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน แต่ชนชั้นอำนาจกลับกำลังแพ้ในทางสังคม วัฒนธรรม และทางปัญญา
การดำรงอยู่ร่วมกันของสองด้านแบบนี้ ไม่เคยมีมาก่อน เพราะปกติอำนาจที่เข้มแข็งต้องมีความชอบธรรมทางการเมือง นี่เป็นตรรกะปกติของการเมืองสมัยใหม่ที่มีสาธารณชนเข้าร่วมเป็นเจ้าของ หากไม่ได้รับการยอมรับจากประชาชน อำนาจทางการเมืองอยู่ไม่ได้
ความแปลกประหลาดผิดปกติของปัจจุบันเช่นนี้เองที่ทำให้เกิดความหดหู่สิ้นหวังแผ่ไปทั่ว เพราะศักยภาพและพลังของความปรารถนาดีของประชาชนที่จะเปลี่ยนแปลงถูกกดทับ หรือถูกเมินเฉย หรือกระทั่งปราบปรามด้วยซ้ำ
การเปลี่ยนแปลงระบบการศึกษาอย่างถึงรากเป็นไปไม่ได้เลยในระบบการเมืองและวัฒนธรรมที่กดทับพลังสร้างสรรค์ทางปัญญาทุกชนิดทุกแขนงไว้อย่างเด็ดขาด
น่าคิดว่าภาวะผิดปกติเช่นนี้จะดำเนินต่อไปได้อย่างไร อีกนานสักเท่าไหร่
น่าคิดว่าภาวะเช่นนี้จะนำไปสู่อะไร จะก่อให้เกิดเหตุการณ์ทำนองไหนขึ้น หรือเราจะผ่านภาวะเช่นนี้ไปได้อย่างไร
กลับมาพิจารณาเฉพาะประวัติศาสตร์ยุทธนากรณี 2475 ในภาวะเช่นนี้แทบไม่เห็นเลยว่าความพยายามทั้งหลายอย่างแอนิเมชั่น 2475 จะประสบความสำเร็จ ต่อให้ไม่มีหมุดไม่มีอนุสาวรีย์หลักสี่ ทั้งหมุดและอนุสาวรีย์อยู่ในความรับรู้ของผู้คนไปเรียบร้อยแล้ว โดยไม่จำเป็นต้องมีตัวหมุดอยู่บนพื้นถนนหรือตัวอนุสาวรีย์อยู่ในความเป็นจริงอีกต่อไป
ต่อให้สถานที่ทั้งหลายถูกเปลี่ยนชื่อ ต่อให้ทั้งประเทศไทยเต็มไปด้วยหลักหมายของประวัติศาสตร์แบบราชาชาตินิยม ทั้งใจกลางกรุงเทพและตามซุ้มประตูทุกแห่งทั่วทุกจังหวัดในประเทศไทย น่าสงสัยว่าจะครองใจควบคุมอดีตได้จริงหรือ หรือว่าช้าเกินไป สายเกินแก้เสียแล้ว
แต่ทว่า ผมคิดว่าวิชาการรวมถึงความรู้ประวัติศาสตร์ด้วย คงไม่สามารถระบุได้ว่าความไม่สมบูรณ์หรือไม่เต็มที่หรือระดับหนึ่งนั้นหมายถึงแค่ไหน วิชาการคงไม่สามารถให้คำตอบอย่างสิ้นสงสัยว่า 2475 เป็นการตัดขาดแยกจากระบอบอำนาจเก่า หรือเป็นความต่อเนื่อง มากกว่ากัน อย่างไร แค่ไหน
ผมคิดว่าคำตอบต่อปัญหานี้ไม่ได้อยู่ที่วิชาการ แต่อยู่ที่เจตจำนงของประชาชนว่าต้องการกลับไปสู่ระบอบราชาธิปไตยที่มีรัฐธรรมนูญ หรือต้องการระบอบประชาธิปไตยที่ประชาชนเป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตยอย่างโต้แย้งไม่ได้เสียที
ประวัติศาสตร์ยุทธนาว่าด้วย 2475 จึงเป็นมากกว่าการถกเถียงทางวิชาการ และอาจจะถึงกับคอขาดบาดตายก็เป็นได้
อ่านเพิ่มเติม :
- “ณัฐพล-ศิโรตม์” ชวนวิเคราะห์ “วรรณกรรม” หลัง 2475 ความซับซ้อนที่คาดไม่ถึง!
- มองผลงานศิลปกรรมยุคคณะราษฎร ชาตรี-ศรัญญู ฉายภาพศิลปะสมัยใหม่ หลัง 2475
สำหรับผู้ชื่นชอบประวัติศาสตร์ ศิลปะ และวัฒนธรรม แง่มุมต่าง ๆ ทั้งอดีตและร่วมสมัย พลาดไม่ได้กับสิทธิพิเศษ เมื่อสมัครสมาชิกนิตยสารศิลปวัฒนธรรม 12 ฉบับ (1 ปี) ส่งความรู้ถึงบ้านแล้ววันนี้!! สมัครสมาชิกคลิกที่นี่
เผยแพร่ครั้งแรกในระบบออนไลน์เมื่อ 23 มิถุนายน 2567