“นางพยาบาล” ในไทย เมื่อร้อยปีก่อนได้เงินเดือนเท่าไหร่? ขึ้นเงินเดือนแสนยากจริงหรือ?

แพทย์ นพ.เสนอ อินทรสุขศรี และ นางพยาบาล พยาบาล ดูแล คนไข้ ที่ โรงพยาบาลศิริราช อาชีพนางพยาบาล
นพ.เสนอ อินทรสุขศรี และนางพยาบาล ขณะรักษาคนไข้ที่โรงพยาบาลศิริราช คาดว่าถ่ายราวๆ พ.ศ. 2483-2503 (ภาพ : https://collections.lib.uwm.edu/digital/collection/agsphoto/id/19171/rec/82)

พยาบาล หรือที่เมื่อก่อนเรียกกันว่า นางพยาบาล เพราะผู้ประกอบวิชาชีพนี้ส่วนมากคือผู้หญิง นอกจากเป็นบุคลากรที่มีความสำคัญทางการแพทย์ ในแง่หนึ่งเมื่อราวร้อยปีก่อน โดยเฉพาะในไทย “นางพยาบาล” ยังเป็นมากกว่า “อาชีพ” เพราะสะท้อนความก้าวหน้าของหญิงไทย ที่ไม่จำเป็นต้องอยู่กับเหย้า เฝ้ากับเรือน พึ่งพิงผู้ชายเพียงอย่างเดียว แต่ได้รับการศึกษาจาก โรงเรียนหญิงแพทย์ผดุงครรภ์และการพยาบาลไข้ และนำความรู้นั้นมาเลี้ยงดูตนเอง ด้วยเงินเดือนที่ได้รับจากวิชาชีพพยาบาล

ต้นกำเนิดอาชีพนางพยาบาล

นพ.เสนอ อินทรสุขศรี และนางพยาบาล ขณะรักษาคนไข้ที่โรงพยาบาลศิริราช คาดว่าถ่ายราวๆ พ.ศ. 2483-2503 (ภาพ : https://collections.lib.uwm.edu/digital/collection/agsphoto/id/19171/rec/82)

จุดกำเนิดอาชีพนางพยาบาลในไทย ต้องย้อนไปเมื่อ พ.ศ. 2439 ที่ สมเด็จพระนางเจ้าเสาวภาผ่องศรี เมื่อครั้งทรงดำรงตำแหน่งเป็นสมเด็จพระบรมราชินีนาถ ได้พระราชทานทุนทรัพย์ให้ก่อตั้ง โรงเรียนหญิงแพทย์ผดุงครรภ์และการพยาบาลไข้ ตั้งอยู่ในพื้นที่โรงพยาบาลศิริราช (เปลี่ยนชื่อเป็น “โรงเรียนแพทย์ผดุงครรภ์และหญิงพยาบาลของสมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ” ใน พ.ศ. 2451)

ภาวิณี บุนนาค เล่าในหนังสือ “สยามโมเดิร์นเกิร์ล” (สำนักพิมพ์มติชน) ว่า เหตุผลสำคัญในการก่อตั้ง โรงเรียนหญิงแพทย์ผดุงครรภ์และการพยาบาลไข้ มี 2 ประการ

ข้อแรก สอดคล้องกับค่านิยมในการทำบุญด้วยการสร้างความเจริญให้บ้านเมือง ก่อนหน้านี้มักสร้างวัดหรือศาสนวัตถุ ที่เชื่อว่าก่อให้เกิดกุศลผลบุญสูง แต่พอถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่มีการพัฒนาบ้านเมืองให้เจริญก้าวหน้า จึงมีการปรับรูปแบบการทำบุญเป็นการบริจาคเงิน เพื่อทำประโยชน์ในกิจกรรมทางสังคม

ข้อสอง การแพทย์ตะวันตกขัดต่อจารีตประเพณีที่ถือปฏิบัติของเจ้านายฝ่ายใน เพราะผู้รักษาตามแนวการแพทย์ตะวันตกเป็นผู้ชาย และยังเป็นชาวต่างชาติ บรรดาเจ้านายฝ่ายในจึงต้องการสร้างคนที่มีความรู้ด้านการผดุงครรภ์และการพยาบาลสมัยใหม่ ซึ่งจะเป็นใครไปไม่ได้ นอกจากหญิงชาวสยาม

ช่วงแรก ผู้มีโอกาสเข้าเรียนส่วนมากมักเป็นผู้ดีโดยสกุล หรือโดยฐานะอันสมควร ได้แก่ พระบรมวงศานุวงศ์ บุตรหลานข้าราชการ ข้าหลวงใกล้ชิด แต่เมื่อต้องขยายระบบราชการ จึงเปิดโอกาสให้สามัญชนได้มาเล่าเรียน เช่น หญิงสาวจากครอบครัวข้าราชการระดับกลาง-ล่าง ครอบครัวชาวจีน เป็นต้น เมื่อเรียนจบแล้ว ทั้ง “นางผดุงครรภ์” และ “นางพยาบาล” ก็จะได้รับเงินเดือน

นางพยาบาลสมัยก่อน ได้เงินเดือนเท่าไหร่?

คณะพยาบาลศาสตร์ ทำพิธีมอบหมวกพยาบาลแก่นักศึกษาชั้นปีที่ 2 จำนวน 75 คน โดยนายแพทย์สุจินต์ ผลากรกุล ผู้อำนวยการโรงพยาบาลขอนแก่นเป็นประธานในพิธี ณ ห้องประชุมโรงพยาบาลขอนแก่น เมื่อ พ.ศ. 2517 (ภาพจาก : https://archive.kku.ac.th/omeka/items/show/881)

ภาวิณี เล่าว่า ขณะที่ระบบบริหารราชการแบบใหม่แยกชัดเจนระหว่างผลประโยชน์ของรัฐกับผลประโยชน์ของบุคคล ได้กำหนดให้ข้าราชการมีเงินเดือน มีระเบียบการจัดสรรและใช้งบประมาณแผ่นดิน มีการกำหนดอัตราเงินเดือนโดยนับเดือนตามแบบตะวันตก และเลื่อนขั้นเงินเดือนอย่างแน่ชัด

แต่อัตราเงินเดือนของอาชีพนางพยาบาลและนางผดุงครรภ์ประกาศนียบัตร กลับไม่ได้มีการปรับขึ้น

นับตั้งแต่ทศวรรษ 2450 จนกระทั่ง พ.ศ. 2470 เมื่อเข้าบรรจุแล้ว นางผดุงครรภ์และนางพยาบาลจะได้รับเงินเดือนเดือนละ 25 บาท โดยการจ่ายเงินเดือนและการขึ้นเงินเดือนเป็นไปอย่างไม่แน่นอน อีกทั้งการพยาบาลนอกสถานที่ ซึ่งเคยเป็นรายได้เสริมก็ถูกงดไป เมื่อมีมูลนิธิต่างชาติเข้าร่วมปรับปรุงการพยาบาลในสยาม

อบทิพย์ แดงสว่าง นางพยาบาลในช่วงนั้น ระบุว่า

“ในขณะที่ข้าพเจ้ารับราชการอยู่นั้น การขึ้นเงินเดือนพยาบาลเป็นการกระทำที่สมควรจะได้กล่าวไว้ ณ ที่นี้ด้วย ใน พ.ศ. 2470 พยาบาลได้รับเงินเดือนเดือนละ 25 บาท โดยความช่วยเหลือของ มิส. เอลิส พิซท์เจอรัลด์ ได้ทำเรื่องราวร้องเรียนไปยังคณบดี คือ ดร. เอลิสให้พยาบาลที่สำเร็จการศึกษาได้รับเงินเดือนๆ ละ 30 บาท เพราะวิทยฐานะการศึกษาของพยาบาลสูงขึ้นกว่าเดิม และในกาลต่อมาก็ได้เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนถึง 65 บาท

“การขึ้นเงินเดือนในขณะที่ข้าพเจ้ารับราชการอยู่นั้น จะเนื่องด้วยเหตุอันใดไม่ทราบ พยาบาลบางคนขึ้นทีละ 2 บาท 3 บาท และ 5 บาท ก็มี ทั้งนี้มิใช่ว่าจะได้ขึ้นทุกๆ ปี นานๆ จะมีสักครั้ง ทั้งๆ ที่พวกเราก็มิได้กระทำผิดอะไรเลย เราปฏิบัติงานทุกอย่างจนสุดความสามารถ”

ภาวิณี บอกใน “สยามโมเดิร์นเกิร์ล” อีกว่า กระทั่ง พ.ศ. 2478 พระราชกฤษฎีกากำหนดอัตราเงินเดือนข้าราชการพลเรือนสามัญ กรมมหาวิทยาลัย กระทรวงธรรมการ (ฉบับที่ 1) ได้กำหนดอัตราเงินเดือนคณะแพทยศาสตร์และศิริราชพยาบาล แผนกพยาบาลและผดุงครรภ์ ดังนี้

อาจารย์ผู้ช่วย 200-280 บาท
ครูพยาบาลเอก 140-190 บาท
ครูพยาบาลเอกประจำแผนก 110-130 บาท
พยาบาลโท 80-100 บาท
พยาบาลตรี 55-75 บาท
พยาบาลจัตวา 34-50 บาท

แต่ในความเป็นจริง อาชีพนางพยาบาลยังคงได้เงินเดือนน้อยกว่าอัตราที่กำหนด เช่น น.ส.ประนอมกิจ ขยันกิจ และ น.ส.ประถัมภ์ ภานันทน์ เข้ารับราชการในตำแหน่งพยาบาล อัตรา 34-50 บาท แต่ได้รับเงินเดือนจริง เดือนละ 30 บาท (ต่ำกว่าอัตรา) เมื่อ พ.ศ. 2479

เช่นเดียวกับกรณี น.ส.เสงี่ยม จำนงวงศ์ ผู้สอบไล่ได้วิชาพยาบาลและผดุงครรภ์ชั้นอนุปริญญาบัตร จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้เข้ารับราชการเป็นข้าราชการพลเรือนวิสามัญชั่วคราว โดยอาศัยเบิกจ่ายในอัตราเงินเดือนข้าราชการพลเรือนสามัญชั้นจัตวาอันดับ 7 (เลขที่ 34) อัตรา 50 บาท แต่ได้รับจริงเดือนละ 35 บาท เมื่อ พ.ศ. 2480

เมื่อมีการร้องเรียนเงินเดือนของนางพยาบาลและนางผดุงครรภ์ถึงผู้ใหญ่ บางคนก็ได้รับคำตอบทีเล่นทีจริงว่า “กินอยู่ในนี้แล้วจะต้องการเงินไปทำไมกัน” หรือกล่าวกับบางคนว่า “เงินเดือนไม่พอก็ขอคุณพ่อใช้บ้างซิ ท่านให้เองแหละ” และกล่าวกับบางคนที่มีครอบครัวแล้วแต่ยังรับราชการอยู่ว่า “ขอสามีใช้บ้างเป็นอะไรไป ธรรมดาสามีต้องเลี้ยงภรรยา เราเป็นช้างเท้าหลังจะไปทุกข์ร้อนอะไร”

“ทัศนะดังกล่าวนี้ชี้ให้เห็นอย่างชัดเจนว่า เรื่องของผู้หญิงยังคงถูกมองเป็นเรื่องส่วนตัว ผู้มีอำนาจรับผิดชอบยังไม่เห็นความสำคัญในการประกอบอาชีพเพื่อหารายได้ของผู้หญิง และพวกเธอยังคงถูกมองในฐานะ ‘แม่’ และ ‘เมีย’ มากกว่าจะเป็นพลเมืองที่เท่าเทียม ซึ่งสอดคล้องกับแนวคิดว่านางพยาบาลคือผู้เสียสละอุทิศตนเพื่อชาติ” ภาวิณี สรุป

อ่านเพิ่มเติม :

สำหรับผู้ชื่นชอบประวัติศาสตร์ ศิลปะ และวัฒนธรรม แง่มุมต่าง ๆ ทั้งอดีตและร่วมสมัย พลาดไม่ได้กับสิทธิพิเศษ เมื่อสมัครสมาชิกนิตยสารศิลปวัฒนธรรม 12 ฉบับ (1 ปี) ส่งความรู้ถึงบ้านแล้ววันนี้!! สมัครสมาชิกคลิกที่นี่


อ้างอิง :

ภาวิณี บุนนาค. สยามโมเดิร์นเกิร์ล. กรุงเทพฯ : มติชน, 2566.


เผยแพร่ในระบบออนไลน์ครั้งแรกเมื่อ 27 มีนาคม 2567