ตำนาน “กำเนิดข้าว” ในนิทานอินโดฯ พืชสวรรค์โผล่เหนือหลุมศพเทพธิดา

(ภาพจาก หนังสือข้าวไพร่-ข้าวเจ้า ของชาวสยาม)

“ข้าว” อาหารหลักของคนหลายชนชาติ โดยเฉพาะประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่บริโภคข้าวเป็นอาหารหลักมาอย่างยาวนาน เฉพาะในประเทศไทย นักโบราณคดีค้นพบเมล็ดข้าวที่มีความเก่าแก่ที่สุดที่จังหวัดแม่ฮ่องสอน อายุกว่า 7,000 ปีมาแล้ว รวมถึงการตั้งถิ่นฐานของชุมชนเก่าแก่ในภาคอีสานที่มีอายุกว่า 5,000 ปี ก็เริ่มทำ “ข้าวไร่” กันอย่างแพร่หลาย จากหลักฐานเครื่องมือเกษตรและร่องรอยของ “แกลบ” หรือเปลือกข้าวที่มีอายุยืนยาว

เมื่อข้าวเป็นส่วนหนึ่งในวัฒนธรรมของผู้คนและมนุษย์เป็นนักเล่าเรื่อง จึงมีคำบอกเล่าต่าง ๆ ที่กลายเป็น “นิทาน” กล่าวการถือกำเนิดข้าว ประเทศไทยเองมีนิทานเกี่ยวกับข้าวที่เก่าแก่ราว 3,000 ปี เล่าถึง “หมา 9 หาง” เอาพันธุ์ข้าวมาให้คนปลูก

อีกหนึ่งตำนานที่น่าสนใจไม่แพ้กันคือ นิทานอินโดนีเซียที่เล่าถึงตำนานต้นกำเนิดข้าวอันน่าตื่นตะลึง เพราะเป็นต้นไม้สวรรค์ที่ผุดขึ้นเหนือหลุมศพของเทพธิดาองค์หนึ่ง ซึ่ง สุจิตต์ วงษ์เทศ ได้รวบรวมมาเล่าไว้ใน “ข้าว (อินโดนีเซีย)” ในหนังสือ ข้าวปลา หมาเก้าหาง ประชุมคำบอกเล่าเก่าแก่เกี่ยวกับกำเนิดต้นข้าว (มติชน, 2563) ดังนี้


 

ครั้งหนึ่ง ปัตหราคุรุ จอมเทพผู้ยิ่งใหญ่เหนือเทพเจ้าทั้งหลายกำลังสร้างวิมานของพระองค์ขึ้นใหม่ จึงมีเทวบัญชาให้ทวยเทพเจ้าบนสวรรค์นำหินก้อนใหญ่ ๆ มาองค์ละก้อน สำหรับจะสร้างรากฐานของวิมาน เทพทุกองค์รับว่าจะปฏิบัติตามเทวโองการ ยกเว้นเทพงูองค์เดียว

เมื่อเทพซึ่งเป็นสื่อข่าวมาหา เทพงูก็โคลงศีรษะอย่างเศร้าสร้อยและกล่าวว่า “ท่านก็เห็นอยู่แล้วว่าข้าพเจ้าไม่แขนไม่มีขา ข้าพเจ้าจะขนหินได้อย่างไร”

ขณะที่พูด น้ำตา 3 หยดใหญ่ ๆ ก็ไหลลงมาที่แก้ม เมื่อหยดน้ำตานั้นตกถึงพื้นก็กลายเป็นไข่สีขาวจำนวน 3 ฟอง เทพซึ่งเป็นผู้สื่อข่าวก็บอกกับเทพงูว่า “นำไข่ 3 ฟองนี้ไปถวายพระผู้เป็นเจ้าเถิด แล้วทูลให้ทรงทราบอย่างถี่ถ้วนว่าเกิดอะไรขึ้น”

ดังนั้นเทพงูจึงอมไข่ไว้ในปากอย่างระมัดระวัง ออกเดินทางไปยังวิมานพระผู้เป็นเจ้า ระหว่างทางก็พบกับนกอินทรีใหญ่ นกอินทรีถามว่า “จะไปไหน…เทพงู” เทพงูตอบไม่ได้เพราะอมไข่ไว้ในปาก

นกอินทรีใหญ่ถามซ้ำถึง 2 ครั้ง เมื่อไม่ได้รับคำตอบก็โกรธมากตรงเข้าจิกศีรษะเทพงู เทพงูเจ็บมากร้องลั่นถึง 2 ครั้ง เมื่ออ้าปากร้องแต่ละครั้ง ไข่ก็หล่นลงมาทีละฟอง

เมื่อไข่กระทบพื้นก็แตกออก มีลูกหมูออกมาฟองละตัว แม่วัวตัวหนึ่งรับเอาไปเป็นลูกบุญธรรม และเลี้ยงดูมาด้วยกันกับลูกตน ลูกของแม่วัวนั้นชื่อ “เลมบูกูมารัง” ซึ่งจะเอ่ยถึงต่อไป

ลูกวัวตัวนี้เป็นตัวผู้ เมื่อโตขึ้นเป็นวัวที่ชั่วร้าย มีฤทธิ์อำนาจมาก เป็นศัตรูอันร้ายกาจแก่เทพเจ้าและมนุษย์

เทพงูเสียใจที่เสียไข่ไป 2 ฟอง แต่เคราะห์ยังดีที่อมไว้ได้อีก 1 ฟอง จึงนำไข่ฟองสุดท้ายนั้นไปถวายพระผู้เป็นเจ้าแล้วทูลเรื่องราวที่เกิดขึ้น พระเป็นเจ้าตรัสสั่งให้ดูแลไข่ฟองนั้นจนกระทั่งฟักเป็นตัวเสียก่อนแล้วจึงนำมาถวาย ไม่ว่าจะเป็นตัวอะไรก็ตามที่ออกมาจากไข่ฟองนั้น

เทพงูนำไข่ฟองนั้นกลับไปยังที่อยู่และระวังรักษาเป็นอย่างดี ในที่สุดตอนปลาย ๆ เดือนนั้นเอง ไข่นั้นก็เกิดแตกออกเป็นเด็กหญิงสวยงามคนหนึ่ง เทพงูรีบพาไปเฝ้าพระเป็นเจ้า พระองค์ก็ทรงรับไว้เป็นธิดาของพระองค์ ประทานชื่อว่า “เทวีศรี”

เทวีศรีได้รับการเลี้ยงดูอย่างเจ้าหญิงในพระราชวัง ได้รับความรักและความทะนุถนอมอย่างที่ธิดาของพระผู้เป็นเจ้าควรจะได้รับ

เวลาผ่านไปหลายปี เทวีศรีก็เจริญวัยขึ้นเป็นหญิงสาวที่น่ารัก เธอนุ่มนวลอ่อนโยนมีจิตใจเมตากรุณาสมกับเป็นสาวงาม ใคร ๆ ที่รู้จักเธอก็รักเธอกันทั้งนั้น

พระผู้เป็นเจ้าเองก็แสดงความรักต่อเธออย่างยิ่งยวด ประเพณีมีอยู่ว่า พ่อจะแต่งงานกับลูกสาวของตนเองไม่ได้ ถึงแม้ว่าจะเป็นพระผู้เป็นเจ้า และเธอเป็นเพียงธิดาบุญธรรมก็ตาม

เทพทั้งหลายกลัวว่าถ้าพระเป็นเจ้าละเมิดประเพณีนี้อาณาจักรจะพังพินาศ ดังนั้นจึงลอบมาประชุมกันลับ ๆ แล้วลงความเห็นว่าต้องฆ่าเทวีศรีเสีย การตัดสินใจอย่างนี้ทำให้เทพทุกองค์เศร้าสร้อยมาก แต่คิดเสียว่าเป็นวิธีเดียวที่จะรักษาอาณาจักรให้พ้นภัย

ดังนั้นเทพจึงเอายาพิษใส่ลงไปในผลไม้ซึ่งนางเทวีศรีโปรดมาก แล้วนำไปให้เธอ พอเธอกินผลไม้นั้นไม่ทันไรก็ล้มป่วย อ่อนเพลียลงทุกวัน ๆ และในที่สุดก็ตายลง ดูประดุจก้านอันบอบบางของดอกไม้แรกแย้มที่ค่อย ๆ เหี่ยวเฉาทีละน้อยแล้วก็ร่วงลงพื้นดิน

ศพของเทวีศรีมีพิธีกรรมอันมโหฬาร ฝังไว้ที่ข้างพระเจดีย์ยอดสามชั้น มีเทวดาอยู่เฝ้าหลุมศพ 1 องค์คอยรดน้ำทุกวันเพื่อให้เกิดดอกไม้งอกงามรอบหลุมศพ

ไม่ช้าก็ปรากฏว่ามีพืชประหลาดชนิดหนึ่ง ซึ่งไม่เคยมีใครเคยเห็นมาก่อนเลย งอกขึ้นมาที่หลุมศพ พืชนี้เป็นพันธุ์ไม้สวรรค์ซึ่งเดี๋ยวนี้เรียกกันว่า ข้าว มันเติบโตสูงขึ้นอย่างรวดเร็วและออกรวงหลายรวง เมื่อถึงเวลาก็กลายเป็นสีเหลืองและมีเมล็ดข้าวมากมาย

เมื่อพระเป็นเจ้าทอดพระเนตรเห็นสิ่งอัศจรรย์นี้ก็ตรัสกับเทพบริวารให้นำเมล็ดข้าวลงมายังโลกมนุษย์ ไปประทานแก่พระราชาผู้ครองอาณาจักปชาจรัน โดยมีเทวบัญชาว่า

“จงบอกกับพระราชาว่า เมล็ดพืชเหล่านี้เป็นของขวัญจากเรา ขอให้ประชาชนของพระราชาปลูกพืชนี้และระวังรักษาให้จงดี แล้วต่อไปจะไม่มีใครหิวโหยอีกเลยเพราะข้าวนี้เป็นอาหารสำหรับชีวิต”

พระราชาแห่งปชาจรันมีความสุขมากที่ได้รับของขวัญอันพิเศษจากสวรรค์ พระองค์ทรงแจกจ่ายเมล็ดข้าวแก่ประชาชน เทพบริวารที่ลงมาจากสวรรค์ก็สอนประชาชนให้หว่านข้าวนั้นในทุ่งนาและบนเนินเขาซึ่งตกแต่งไว้เป็นขั้น ๆ สอนให้เกี่ยวข้าว นวดข้าว

ยังมีเทพธิดาบนสรวงสวรรค์องค์หนึ่งลงมายังโลกมนุษย์ สอนให้หญิงสาวทุกคนรู้จักหุงข้าว และใช้ข้าวทำอาหารอร่อย ๆ อย่างอื่นอีกมากมายหลายวิธี หลังจากนั้นประชาชนชาวปชาจรันก็ไม่ขาดแคลนอาหารอีกต่อไป ต่างอยู่อย่างสงบและเป็นสุขสบายมาหลายปี

แต่วันหนึ่งมีพ่อค้าชั่วคนหนึ่งจากเมืองอื่นมาค้าขายที่เมืองปชาจรัน ได้เห็นข้าวและได้ชิมข้าวอันแสนวิเศษนี้เข้าก็อยากจะซื้อเอาไปให้หมด แต่พระราชาไม่ทรงอนุญาต รับสั่งว่า “ข้าวนี้ ที่จริงแล้วไม่ใช่ของของเรา เป็นของเทวดาท่าน เพราะมาจากหลุมพระศพพระเทวีศรี ดังนั้นเราจึงขายให้ท่านไม่ได้”

คำตอบนี้ทำให้พ่อค้านั้นโกรธมาก เขาจึงไปยังถ้ำของวัว เลมบูกูมารัง วัวชั่วร้ายมีฤทธิ์เดชเวทมนตร์มาก พ่อค้าไปขอให้ทำลายข้าวในอาณาจักรปชาจรันให้หมด

เลมบูกูมารังก็ลงมือทันที มันเป่ามนตร์ให้เกิดพายุใหญ่ ทำลายต้นข้าวให้หักพังยับเยินลงดับพื้นดิน

เมื่อพระเป็นเจ้าเห็นเช่นนั้นก็ส่งเทวดาหนุ่มองค์หนึ่งชื่อ พระสุลันจนะ ให้มาช่วยรักษาต้นข้าวไว้ พระสุลันจนะเป่ามนตร์ให้พายุนั้นสลายไป แล้วช่วยพยุงต้นข้าวอ่อน ๆ ให้ตั้งต้นขึ้นได้อีก

แล้วเลมบูกูมารังก็เรียกน้องชายซึ่งแม่เลี้ยงไว้ให้มาช่วยกันทำลายต้นข้าว น้องทั้งสองก็คือลูกหมูสองตัว ตอนนี้เติบโตเป็นหมูใหญ่ที่ดุร้าย มีการต่อสู้กัันอย่างดุเดือดร้ายแรงระหว่างสัตว์กับพระสุลัยจนะ

พวกสัตว์ป่าวร้องให้หมูป่าหลายร้อยตัวมาเหยียบย่ำต้นข้าว แต่พระสุลันจนะก็ทำให้เกิดหมอกหนาทึบไปหมด จนพวกหมูหลงทางแล้วส่งหนูนับพันมากัดกินต้นข้าว เทวดาโปรยยาพิษไปตามทางเดินของพวกหนู หนูก็ล้มลงตายหมด พี่น้องผู้ชั่วร้ายจึงเรียกนกนับล้านมาจิกเมล็ดข้าว แต่เทวดาก็เป่ามนตร์ขับไล่นกให้ตื่นกลัวหนีไปหมด

ในที่สุดวัวชั่วตัวนั้นก็เรียกสัตว์ร้ายในป่าออกมาให้หมด สั่งให้ทำลายเมืองทุกเมือง หมู่บ้านทุกแห่งในอาณาจักรนั้น ประชาชนทั้งหมด แม้แต่เด็กเล็ก ๆ ก็มาช่วยพระสุลันจนะ พระสุลัยจนะสั่งให้ขุดหลุมวางกับดักสัตว์และผูกตาข่ายไว้ตามยอดไม้

ทันใดนั้นกองทัพสัตว์ป่า นำโดยเลมบูกูมารังก็วิ่งเผ่นโผนออกมาจากป่า หักโค่นต้นไม้มาตลอดทาง แต่ตกลงไปติดกับในหลุมพรางและติดอยู่ในตาข่ายมากมาย

เลมบูกูมารังเห็นกองทัพของมันเสียที แต่ก็ยังไม่ยอมแพ้ มันร้องท้าเทพองค์นั้นว่า “พระสุลันจนะ อย่าเพิ่งคิดว่าเราแพ้นะ เราขอถ้าให้ท่านออกมาสู้กับเรา แล้วดูซิว่าใครจะแข็งแรงกว่ากัน”

เทพหนุ่มออกไปเผชิญหน้ากับคำท้ายทายอย่างองอาจกล้าหาญ ยืนเท้าสะเอวคอยทีให้วัวชั่วร้ายนั่นจู่โจมเข้ามา เลมบูกูมารังลับเขาของมันเข้ากับลำต้นไม้ แล้วกระโจนเข้าใส่พระสุลันจนะด้วยพลังอันร้ายแรง แต่เทพหนุ่มกระโดดหลบฉากเอานาทีสุดท้าย

พอวัวหนุ่มโถมเข้าใส่ เทพก็ยื่นเท้าข้างหนึ่งออกไปขัดขาวัว วัวก็ล้มโครมลงกับพื้นดิน มันรีบผุดลุกขึ้นโดยเร็วแล้วโถมเขาสู่อีก แต่ก็ล้มพลาดลงอีกครั้งหนึ่ง มันโจนเข้าใส่ครั้งแล้วครั้งเล่า แต่พระสุลันจนะว่องไวกว่ามันทุกครั้งไป

ในที่สุดเทพก็ฉวยตีนวัวได้ข้างหนึ่ง แล้วหวี่ยงเจ้าวัวร้ายหมุนติ้วอยู่ในอากาศ จนเลมบูกูมารังทนต่อไปไม่ไหว ต้องร้องขอความกรุณา เทพก็ยอมไว้ชีวิต ถ้าวัวกับหมูร้ายสองตัวสัญญาว่าจะป้องกันรักษานาข้าวตลอดไป

สัตว์ทั้งสามยอมให้สัญญา ประชาชนชาวปชาจรันก็โห่ร้องกึกก้อง ตั้งแต่นั้นมาสัตว์ทั้งสามก็เฝ้าดูแลรักษานาข้าวอย่างซื้อสัตย์ แล้วนาข้าวก็ไม่ถูกรบกวนอีกเลย ประชาชนปชาจรันก็อยู่เย็นเป็นสุข มีข้าวอันเอร็ดอร่อยเป็นอาหารประจำชีวิตตลอดมา

สำหรับผู้ชื่นชอบประวัติศาสตร์ ศิลปะ และวัฒนธรรม แง่มุมต่าง ๆ ทั้งอดีตและร่วมสมัย พลาดไม่ได้กับสิทธิพิเศษ เมื่อสมัครสมาชิกนิตยสารศิลปวัฒนธรรม 12 ฉบับ (1 ปี) ส่งความรู้ถึงบ้านแล้ววันนี้!! สมัครสมาชิกคลิกที่นี่


เผยแพร่ในระบบออนไลน์ครั้งแรกเมื่อ 25 ตุลาคม 2565