“ตำรากามสูตร” สมัยราชวงศ์หมิง ให้ผู้ชายกลั้นจุดสุดยอด เพื่อชีวิตที่ยืนยาว?

ภาพปก กามสูตร จีน
ภาพเชิงสังวาสของจีน สมัยราชวงศ์หมิง

เมื่อมนุษย์ทำให้เรื่องเพศเป็นมากกว่าการสืบพันธุ์ วัฒนธรรมเรื่องเพศจึงถือกำเนิดในหลากหลายรูปแบบ หนึ่งในนั้นคือ “ตำรากามสูตร” ตำราหรือหนังสือว่าด้วยเรื่องเพศหลากหลายเรื่องราว ซึ่งส่วนใหญ่แล้วมักเป็นการสอน แนะนำ หรือบอกวิธีเรื่องเพศ ไม่ว่าจะเป็น ความรู้พื้นฐานเรื่องอวัยวะทางเพศ ลีลาท่วงท่าการเสพกาม การทำให้ตั้งครรภ์ หรือแม้แต่วิธีการเสพกามที่จะทำให้อายุยืนยาว

ในที่นี้จะกล่าวถึง ตำรากามสูตร ของจีนในสมัยราชวงศ์หมิง ซึ่งมีด้วยกันทั้งหมด 3 เล่ม คือ “ซู่หนี่เมี่ยวลุ่น” “จี้จี่เจินจิง” และ “ซิวเจินเอี่ยนอี้” โดยตำรากามสูตรเหล่านี้ไม่ใช่ “แบบเรียน” อย่างหนังสือสุขศึกษาในสมัยปัจจุบัน แต่เป็นตำราที่มีลีลาการเขียนเป็นเอกลักษณ์ บ้างคล้ายวรรณกรรม บ้างคล้ายตำราพิชัยสงคราม นอกจากนั้นยังมีอิทธิพลทางวัฒนธรรมและลัทธิความเชื่อของจีนอยู่ในตำรากามสูตรอีกด้วย

ซู่หนี่เมี่ยวลุ่น

“ซู่หนี่เมี่ยวลุ่น” มีเนื้อหาดัดแปลงจากหนังสือโบราณอย่าง “ซู่หนี่จิง ต้งเสียนจื่อ” โดยนำมาร้อยเรียงเขียนขึ้นใหม่ สันนิษฐานว่า “ซู่หนี่เมี่ยวลุ่น” อาจได้รับการถ่ายทอดมาจาก “เหมาซานเต้าซื่อ” นักบวชลัทธิเต๋า โดยเนื้อหาเป็นการถามตอบระหว่างพระเจ้าหวงตี้กับซู่หนี่เกี่ยวกับเรื่องต่าง ๆ

ความน่าสนใจของ “ซู่หนี่เมี่ยวลุ่น” อยู่ในบทที่หก “ต้าเสี่ยวฉานต่วนเพียน” ที่มีบทสนทนาของพระเจ้าหวงตี้กับซู่หนี่ ดังนี้

พระเจ้าหวงตี้ : ของล้ำค่าในตัวผู้ชาย มีใหญ่เล็ก สั้นยาว แข็งอ่อน ไม่เหมือนกัน เพราะเหตุใด

ซู่หนี่ : ที่พูดกันรูปร่างไม่เหมือนกันก็เฉกเช่นหน้าตาคน ส่วนความแตกต่างในขนาดใหญ่เล็ก สั้นยาว แข็งและอ่อน ล้วนแต่อยู่ที่สวรรค์ประทานให้ ดังนั้น จึงมีคนตัวเตี้ยแต่มีของล้ำค่าใหญ่โต คนกำยำแต่มีของล้ำค่าสั้น คนผอมแห้งแต่มีของล้ำค่าอ้วนพี คนอ้วนแต่มีของล้ำค่าอ่อนปวกเปียกและหดเหี่ยว บางคน (ใช้ของล้ำค่านั้นได้) เชี่ยวชาญเก่งกาจ บางคน (ใช้ของล้ำค่านั้นได้) ด้วยแรงปรารถนา บางคน (ใช้ของล้ำค่านั้นได้) ด้วยตื่นตัวง่าย ทว่าไม่มีผลเสียต่อเคล็ดลับการเสพสมแต่อย่างใด

พระเจ้าหวงตี้ : ผู้ชายแตกต่างกันที่ใหญ่เล็ก สั้นยาว และแข็งอ่อน แล้วจะต่างกันหรือไม่เมื่อเสพสมให้ความสุขกับผู้หญิง

ซู่หนี่ : ที่ว่ารูปร่างแตกต่างกันใหญ่เล็กสั้นยาวต่างรูปกันนั้น เป็นรูปธรรมภายนอก การเสพสมให้ความสุขกับผู้หญิงเป็นเรื่องของความรู้สึกภายใน (ใจ) ต้องผูกพันกันด้วยรักและให้เกียรติ ปลอบประโลมกันด้วยน้ำใสใจจริง จะพูดถึงขนาดใหญ่เล็กสั้นยาวไปไย

พระเจ้าหวงตี้ : แล้วแข็งอ่อนนั้นต่างกันด้วยหรือไม่

ซู่หนี่ : ของล้ำค่านั้นใหญ่แต่ปวกเปียก ย่อมมิอาจเทียบของล้ำค่าสั้นแต่แข็งได้ หากแต่แข็งแต่มุทะลุ ย่อมมิอาจเทียบที่อ่อนแต่อ่อนโยนได้ หากเดินทางสายกลางได้ เรียกได้ว่าดีที่สุด

สรุปว่า ขนาดรูปร่างของ “ของล้ำค่า” นั้นหาใช่เรื่องสำคัญไม่ แต่เป็นลีลาท่วงท่าแห่งการเสพกามที่ส่งผ่านด้วยความรักต่างหากเล่า สำคัญกว่าเห็น ๆ

นอกจากนี้ “ซู่หนี่เมี่ยวลุ่น” ยังมีเนื้อหากล่าวถึง “โยนี” ของผู้หญิง ว่าตำแหน่งของโยนีสัมพันธ์กับการเสพกาม คือ (เรื่องนี้มีในหนังสือฉบับพิมพ์แต่ไม่มีในฉบับคัดลอกด้วยลายมือ)

พระเจ้าหวงตี้ : ทวารหยกในมีต่างกันทั้งอยู่ข้างหน้า อยู่ตรงกลาง และอยู่ข้างหลัง เพราะเหตุใด

ซู่หนี่ : ความงามของทวารสตรีมิได้อยู่ที่ว่าอยู่ตรงไหน หากอยู่ที่การใช้งาน ตำแหน่งแห่งที่ทั้งสามต่างมีข้อแตกต่างกัน สำคัญที่ต้องใช้งานได้โดยราบรื่น หญิงผู้มีโยนีอยู่ตรงกลางเหมาะจะเสพสมได้ทั้งสี่ฤดู และรับได้ทุกท่วงท่าไม่เป็นไร หากไม่เบนไปข้างใดข้างหนึ่งถือว่าล้ำค่านัก หญิงมีโยนีอยู่ข้างหน้า เหมาะจะเสพสมในฤดูหนาว ให้นอนหงายบนเตียงห่มผ้าผวย ผู้ชายคร่อมอยู่ข้างบนนางได้ หญิงผู้มีโยนีอยู่ข้างหลัง เหมาะจะเสพสมในฤดูร้อน ใต้ร่มเงากอไผ่และชายคาหิน เหมือนจุดไฟจากภูอีกลูกหนึ่ง นี่คือการใช้โยนีของหญิง

นอกจากนี้ในบทที่สองของ “ซู่หนี่เมี่ยวลุ่น” ยังอธิบายถึงท่วงท่าในการเสพกาม เช่น ท่าปลาตอด เป็นการเสพกามของผู้ชายหนึ่งคนกับผู้หญิงสองคน โดยให้ผู้หญิงคนหนึ่งนอนหงาย อีกคนนอนคว่ำ แล้วนอนให้โยนีประกบแนบชิดกันแล้ว “ถูไถกันเองจนดุจปลาเผยออ้าปาก ดุจกำลังแหวกว่ายตอดจอกแหน”

แล้วจึงรอให้เลือดลมสูบฉีด จากนั้นให้ผู้ชายนำนิ้วมือสอดระหว่างบริเวณโยนีของหญิงทั้งสองเพื่ิอหยั่งดูก่อน จากนั้นจึงนำองคชาตเข้าไปตรงนั้น สอดใส่ขึ้น ๆ ลง ๆ อย่างสุขสม ท่วงท่านี้ตำราบอกว่าจะช่วยเสริมกระดูกเอ็นให้แข็งแรง เพิ่มกำลังวังชา กระตุ้นการทำงานของอวัยวะในช่องท้อง และบำรุงอาการอ่อนเปลี้ยเพลียแรง

นอกจากนี้ ในบทที่ห้ามีการกล่าวถึงการเสพกามอย่างไรถึงให้มีลูก และที่ไม่มีลูกเพราะเป็นคนอย่างไร โดยซู่หนี่ได้อธิบายว่า ผู้ชาย 3 ประเภทที่ไม่มีลูกได้แก่ ผู้ที่มีน้ำเชื้อเย็นใสไหลเอง, ผู้ที่มักมากในกามจนร่างกายอ่อนแอ และผู้ที่หวาดกลัวในการเสพกาม ส่วนผู้หญิง 3 ประเภทที่ไม่มีลูกได้แก่ ผู้ที่มักมากเห็นสิ่งนั้นเป็นเกิดอารมณ์ใคร่ ผู้ที่มีมดลูกอ่อนแอ ปากมดลูกไม่เปิด และผู้ที่ไม่ปรองดองกับสามี โมโหร้าย ขี้อิจฉาริษยา

บทสรุปของ “ซู่หนี่เมี่ยวลุ่น” มีว่า พระเจ้าหวงตี้ถือศีลภาวนา กินเจ ชำระร่างกายให้สะอาดบริสุทธิ์ ฝึกพลังชี่ตามลัทธิเต๋าฝ่ายเน่ยตานอยู่ 81 วัน มีอายุถึง 120 ปี ได้ตั้งกระทะปรุงยาข้างทะเลสาบจนสำเร็จ แล้วเทพมังกรลงมาจากสวรรค์รับพระเจ้าหวงตี้กับซู่หนี่ขึ้นไปบนสวรรค์ในเวลากลาวันแสก ๆ ทว่า หนังสือบางเล่มอธิบายว่า พระเจ้าหวงตี้ได้ขึ้นสวรรค์เพราะเสพกามกับผู้หญิง 1,200 คน ซึ่งเป็นพฤติกรรมทางเพศตามตำรากามสูตรของลัทธิเต๋าฝ่ายเน่ยตาน อันเป็นวิธีช่วยให้มีชีวิตยืนยาว

จี้จี่เจินจิง

“ฉุนหยางเอี่ยนเจิ้งฝูอิ้วตี้จวินจี้จี่เจินจิง” หรือ “จี้จี่เจินจิง” ได้อิทธิพลมาจากลัทธิเต๋าฝ่ายเน่ยตานเช่นกัน มีความเชื่อว่า การเสพกามมีขึ้นเพื่อให้ฝ่ายชายรับพลัง “ยินชี่” หรือ “เจินเจิง” ที่ฝ่ายหญิงปล่อยออกมาจากการเสพกาม พลังนี้เป็นพลังแห่งชีวิตที่ฝ่ายชายต้องเก็บรับเอาไว้ เชื่อว่าจะช่วยให้มีอายุยืนยาว โดยลักษณะการเขียนของหนังสือเล่มนี้มีลีลาการเขียนคล้ายตำราพิชัยสงคราม มองการเสพกามเป็นเหมือนสมรภูมิรบ

ตัวอย่างเช่น “เมื่อเริ่มเข้าสู่สมรภูมิ (หมายถึงห้องหอ) เผชิญหน้ากับศัตรู (หมายถึงผู้หญิง) ให้ชายใช้มือช้อนจับโยนีหญิงไว้ ลิ้นดูดลิ้นผู้หญิง มือจับถัน จมูกสูดเอาลมบริสุทธิ์จากจมูกนาง เพื่อกระตุ้นเร้าใจนาง ข้าควรใช้กำลังบังคับ…” และ

“เราช้าอีกฝ่ายเร่ง สถานการณ์จะเกิดการพันตูครั้งใหญ่อีกครั้ง กำลังศึกจักเข้าประชิดต่อกัน รุกเข้าแล้วถอยออก ทั้งกินเสบียงและยึดเมล็ดธัญ…”

ซึ่งจากข้อความข้างต้นอธิบายได้ว่า สถานการณ์พันตูที่กำลังเกิดขึ้นเป็นช่วงเสพกามที่มีอารมณ์รุนแรงขึ้นสู่จุดสุดยอด กินเสบียงหมายถึงดูดลิ้น ยึดเมล็ดธัญหมายถึงจับเคล้นหน้าอกของผู้หญิง

โดยสรุปแล้ว วิธีการรับพลัง “ยินชี่” หรือ “เจินเจิง” เพื่ออายุยืนยาวนั้น ตำราแนะนำวิธีไว้ว่า เมื่อผู้หญิงใกล้ถึงจุดสุดยอด ให้ผู้ชายผ่อนแรงลง แล้วหันความสนใจไปที่ลิ้นและหน้าอกของผู้หญิงแทน ผสมผสานกับการเสพกามที่ดำเนินต่อไปด้วยท่วงท่าทางต่าง ๆ กระทั่งเมื่อผู้หญิงถึงจุดสุดยอดแล้ว ให้ผู้ชายสูดรับเอาลมบริสุทธิ์จากจมูกผู้หญิงเข้าไป แล้วผู้ชายต้องกลั้นไม่ให้ตนเองถึงจุดสุดยอด เพื่อให้น้ำอสุจิไหลย้อนกลับเข้าไปในร่างกาย ซึ่งในตำราเชื่อว่า อสุจิจะไหลสู่จุดที่เรียกว่า “หนีหวาน” จุดฝั่งเข็มตรงกลางระหว่างหัวคิ้ว

วิธีการอั้นไม่ให้ฝ่ายชายถึงจุดสุดยอดหรือหลั่งน้ำอสุจินั้น ตำราอธิบายว่า “หลับตาปิดปาก ดึงมือกลับ พับงอขาเข้ามา ใช้นิ้วบีบจับบริเวณกู่เต้า (บริเวณตั้งแต่ลำไส้ตรงไปถึงทวารหนักหรือใต้หัวหน่าว) เพ่งสมาธิไว้ เรียกว่า เต่าเก็บหัว ดูดรับเอาเจินสุ่ย (น้ำอสุจิ) ให้ไหลย้อนกลับจากก้นกบขึ้นไปตามเส้นหลอม่าย มุ่งตรงเข้าสู่จุดหนีหวาน เรียกว่า มังกรขดกาย…”

เรื่องนี้น่าคิดว่า การกลั้นอสุจิ (เพื่อให้มีอายุยืนยาว) นั้น เป็นกุศโลบายในการสืบพันธุ์หรือไม่ เพราะจาก “ซู่หนี่เมี่ยวลุ่น” ที่ว่าผู้ชายน้ำอสุจิ “ใส” ทำให้ไม่มีลูก คนจีนในสมัยนั้นจึงอาจมีความเชื่อว่า การเสพกามโดยไม่หลั่งอสุจิจะทำให้น้ำอสุจิ “ข้น” แล้วเก็บไว้สำหรับการเสพกามในครั้งที่ต้องการมีลูก แต่นี่ก็เป็นเพียงความเห็นของผู้เขียนเท่านั้น ทว่า แนวคิดของจีนในสมัยนั้นตรงข้ามกับงานงานวิจัยในปัจจุบัน ซึ่งพบว่าการหลั่งน้ำอสุจิบ่อยครั้งเป็นประโยชน์ต่อผู้ชายเอง

ตำรากามสูตร ซิวเจินเอี่ยนอี้

“จื่อจินกวงเหย้าต้าเซียนซิวเจินเอี่ยนอี้” หรือ “ซิวเจินเอี่ยนอี้” มีเนื้อหาที่ไม่แตกต่างกับ “จี้จี่เจินจิง” มากนัก มีเนื้อหากล่าวถึงการป้องกันไม่ให้หลั่งน้ำอสุจิด้วยวิธีการต่าง ๆ การแนะนำท่วงท่าลีลา การเร้าอารมณ์ในการเสพกาม รวมถึงวิธีการทำให้ผู้หญิงตั้งครรภ์

การป้องกันการหลั่งน้ำอสุจิ “ซิวเจินเอี่ยนอี้” แนะนำว่า “…หากรู้สึกอยากจะหลั่ง ต้องรีบดึงลำหยกถอยออดโดยเร็ว ใช้วิธีปิดกั้นจากข้างหลัง มันจะสงบลงเอง…” โดยหยกนี้ก็คือแหวนหยกรัดโคนองคชาตเป็นอุปกรณ์ในการเสพกามในอดีต ทำจากงาช้างสลักลวดลาย เมื่อใส่ไปแล้วจะเคลื่อนไปมา เป็นการกระตุ้น เม็ดละมุดของผู้หญิง นอกจากนี้ ตำราเล่มนี้ยังบอกวิธีการนวดด้วยขั้นตอนที่ซับซ้อนเพื่อขยายองคชาต หรืออาจใช้ผ้าแพรรัดโคนองคชาต ซึ่งเป็นหนึ่งในวิธีการทำให้องคชาตใหญ่ขึ้นแข็งแรงขึ้น

อีกหัวข้อหนึ่งของ “ซิวเจินเอี่ยนอี้” มีการกล่าวถึงวิธีการกระตุ้นอารมณ์ของผู้หญิง เปรียบเทียบว่า หากชอบดื่มสุราก็ให้จัดหาสุราชั้นดีมาให้ หากเป็นคนอ่อนไหวก็ให้พูดปลอบด้วยคำหวาน หากโลภมากในสมบัติเงินทองก็ให้เงินและผ้าชั้นดี ดังนั้น ถ้าหญิงคนนั้นมักมากในกาม “ก็พึงให้ความสุขด้วยอวัยะวะชาย จิตใจของหญิง ที่สุดแล้วก็ไม่เป็นตัวของตัวเอง ได้เห็นแล้วเป็นต้องเกิดอารมณ์ ไม่มีที่ไม่เกิด”

ตำรากามสูตรของจีน โดยเฉพาะที่มีอิทธิพลของลัทธิเต๋าถูกทางการเข้มงวดมากขึ้นในช่วงครึ่งหลังของราชวงศ์หมิง ตำราโบราณหลายตำราหายสาบสูญ แต่ในกลุ่มนักบวชลัทธิเต๋ากับปัญญาชนชาวหนานจิงในกลุ่มที่ชื่นชอบเรื่องเหล่านี้ยังคงเป็นที่นิยมกันอยู่ และมีความเข้าใจในตำรากามสูตรของลัทธิเต๋าอย่างดี

อ่านเพิ่มเติม :

สำหรับผู้ชื่นชอบประวัติศาสตร์ ศิลปะ และวัฒนธรรม แง่มุมต่าง ๆ ทั้งอดีตและร่วมสมัย พลาดไม่ได้กับสิทธิพิเศษ เมื่อสมัครสมาชิกนิตยสารศิลปวัฒนธรรม 12 ฉบับ (1 ปี) ส่งความรู้ถึงบ้านแล้ววันนี้!! สมัครสมาชิกคลิกที่นี่ 


อ้างอิง :

อดุลย์ รัตนมั่นเกษม. (2548). เรื่องเพศในวัฒนธรรมจีน 4,000 ปี. กรุงเทพฯ : ตถาตา พับลิเคชั่น.


เผยแพร่ในระบบออนไลน์ครั้งแรกเมื่อ 3 มีนาคม 2563