ผู้เขียน | กองบรรณาธิการศิลปวัฒนธรรม |
---|---|
เผยแพร่ |
“กลิ่นโคลนสาบควาย” เป็นอีกหนึ่งเพลงลูกทุ่งอมตะ จากผลงานการแต่งของครูไพบูลย์ บุตรขัน ขับร้องโดยชาญ เย็นแข บันทึกเสียงไว้เมื่อ พ.ศ. 2497 ได้รับความนิยมและขายดี แต่มีเสียงเล่าลือว่า จอมพล ป. พิบูลสงคราม ผู้นำในสมัยนั้นสั่งห้ามออกอากาศ
เพลงนี้เป็นอีกหนึ่งเพลงที่สร้างชื่อให้ชาญ เย็นแข ที่ขับร้องเพลงค่าน้ำนม ขณะที่เพลง “กลิ่นโคลนสาบควาย” ได้รับรางวัลเพลงเกียรติยศ ในฐานะเพลงรากฐานของเพลงลูกทุ่ง จากงานกึ่งศตวรรษเพลงลูกทุ่งไทย ครั้งที่ 1 วันที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2532
สำหรับเหตุการณ์ถูก “สั่งห้าม” นั้น ชาญ เย็นแข ได้กล่าวถึงเหตุการณ์นี้บ้างในตอนหนึ่งเมื่อวันที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2527 ปรากฏในหนังสือ “ราชานักแต่งเพลงลูกทุ่งไทย ไพบูลย์ บุตรขัน” เนื้อหาส่วนหนึ่งมีใจความว่า
“แผ่นเสียงเพลงกลิ่นโคลนสาบควายเป็นแผ่นที่ขายดีที่สุดในยุคนั้น เหมือนกับสมัยนี้ที่พุ่มพวง ดวงจันทร์ ร้องเพลงสาวนาสั่งแฟน เพราะว่าสมัยก่อนเพลงไหนดัง ทางโรงหนังเกือบทุกโรงจะต้องซื้อไปเปิด โรงละ 2-3 แผ่น ถึงขนาดทางร้านต้องขึ้นราคาจาก 17 บาท มาเป็น 30-40 บาท เพราะมันขายดีมาก บริษัทเรียกตัวผมไปรับรางวัล ครูไพบูลย์ได้ 5,000 บาท ผมได้ 3,000 บาท เฉพาะเพลงกลิ่นโคลนสาบควายเพลงเดียว…
…ที่รัฐบาลห้ามเปิดเพลงนี้ เข้าใจว่าเพราะเนื้อเพลงมันคล้ายๆ ยุให้ชาวนากระด้างกระเดื่อง แบ่งชั้นวรรณะ ซึ่งจริงๆ แล้วผมว่ามันไม่เกี่ยว มันอยู่ที่ผู้มีอํานาจมากกว่า เพราะพอดังขึ้นมาก็ไม่ให้เผยแพร่อยู่พักหนึ่ง พอสิ้นรัฐบาลชุดนั้นก็เปิดได้ ทีนี้การที่เพลงจะไปถึงผู้ฟังได้ในสมัยนั้นมันไม่ต้องไป อ้อนวอนวิทยุเขาเปิดเหมือนสมัยนี้ เพราะฉะนั้นพอยิ่งห้ามก็เลยยิ่งทําให้แผ่นขายดี…
…ครูไพบูลย์แต่งเพลงนี้ได้กินใจมาก เพลงในแนวชีวิตละเอียดอ่อน ต้องครูไพบูลย์แต่ง ผมรับรองว่าในกรุงรัตนโกสินทร์หาใครแต่งได้เท่าครูไพบูลย์ ไม่มีอีกแล้ว ทุกวันนี้ผมร้องเพลงตามห้องอาหาร ยังมีคนขอให้ร้องทุกคืน”
ด้านไพบูลย์ บุตรขัน ผู้เขียนเพลง เคยให้สัมภาษณ์สถานีวิทยุ ททท. ประมาณช่วง พ.ศ. 2512-2513 หลังผ่านไป 6-7 ปีตั้งแต่การบันทึกเสียงเมื่อ พ.ศ. 2496 กุลชาติ เทพหัสดิน ณ อยุธยา ถามว่า ที่บอกว่าอย่าดูหมิ่นชาวนาเหมือนดังตาสี ตรงนี้เขียนขึ้นจากความรู้สึกแค้นเคืองแทนชาวหรือไม่ คำตอบของครูไพบูลย์ มีว่า
“ไม่เจ็บแค้นหรอกครับ มันเป็นความน้อยเนื้อต่ำใจ ผมใส่ความรู้สึกว่า ผมเป็นชาวนาคนหนึ่ง เมื่อสังคมทั่วไปยอมรับว่าเป็นกระดูกสันหลังของชาติแล้วก็ควรเหลียวแลบ้าง ความรู้สึกนี้ก็ทำให้อยากจะเป็นตัวแทนของชาวนา และเราก็เห็นจริงว่า ชาวนามีความสำคัญจริง อันนี้ผมเก็บมาจากคำพูดของผู้นำชาติขณะนั้นคือ ฯพณฯ จอมพล ป. พิบูลสงคราม ท่านได้กล่าวออกมาว่า ชาวนามีความสำคัญต่อประเทศชาติมากในฐานะที่เป็นกระดูกสันหลัง ควรทำนุบำรุง ผมเก็บเอาคำนี้มาเขียน”
อย่างไรก็ตาม ในกรณีที่เพลงหายไปจากหน้าปัดวิทยุนั้น ครูไพบูลย์ไม่ได้มองว่า ถูกห้ามเปิด แต่เชื่อว่าเข้าใจผิดกัน
“เรื่องที่ว่ามีการห้ามเปิด ไม่ใช่ห้ามเปิดเพราะว่ามีผลกระทบกระเทียบอะไรหรอก ห้ามเพราะเข้าใจผิดกันครับ ขอเรียนให้ทราบเสียเลย คือทางกรมโฆษณาการก็มีเพลงของกรมเปิดใช้อยู่เยอะแยะเพราะทางกรมก็มีวงดนตรีประจำอยู่ มีคนขอเพลงนี้ไป ทางกรมก็นำไปเปิด ทีนี้เจ้าหน้าที่ว่า เพลงของเราก็มี ก็ไม่ควรจะเปิด เลยเข้าใจผิดกันว่า ห้าม ไม่ได้ห้าม เพราะสถานีอื่นก็ยังเปิดกันทั่วไป ความจริงผู้ใหญ่ก็ชอบครับ”
ชาญ เย็นแข ยังได้เล่าว่า หลังแผ่นเสียงออกอากาศ 3 วัน ครูไพบูลย์เรียกเขาไปบ้าน กระซิบบอกว่า “เราไปเขียนชื่อปู่ท่านนายกฯ จอมพล ป. พิบูลสงคราม อย่าดูหมิ่นชาวนาเหมือนดั่งตาสี ปู่ท่านชื่อ สี ถ้าชื่ออื่นก็ไม่มีปัญหา…”
ลาวัลย์ โชตามระ นักเขียนนักหนังสือพิมพ์เขียนบทความ “ไพบูลย์ บุตรขัน นักแต่งเพลง ‘ประวัติการณ์'” บรรยายว่า “เพียงในเวลา 7 วัน แผ่นเสียง ดี.ซี.เจ ตราค้างคาว ซึ่งอัดเพลงนี้จำหน่ายในราคาเงินสดแผ่นละ 15 บาทนั้น ขายได้ถึง 5,000 แผ่น”
ที่ขายได้นั้น ส่วนหนึ่งมาจากโรงหนังพากันซื้อแผ่นเสียงไปโรงละหลายแผ่น
อ่านเพิ่มเติม :
- ตั้งโรงเรียนทันตแพทย์ไทยสำเร็จ เพราะจอมพล ป. นายกฯ ปวดฟันคุด
- “น้ำท่วมดีกว่าฝนแล้ง” คารมจอมพล ป. ที่ครูไพบูลย์ใช้แต่งเพลง “น้ำท่วม” จนดังระเบิด
สำหรับผู้ชื่นชอบประวัติศาสตร์ ศิลปะ และวัฒนธรรม แง่มุมต่าง ๆ ทั้งอดีตและร่วมสมัย พลาดไม่ได้กับสิทธิพิเศษ เมื่อสมัครสมาชิกนิตยสารศิลปวัฒนธรรม 12 ฉบับ (1 ปี) ส่งความรู้ถึงบ้านแล้ววันนี้!! สมัครสมาชิกคลิกที่นี่
อ้างอิง :
บุญเลิศ คชายุทธเดช (ช้างใหญ่) (เลิศชาย คชยุทธ). ไพบูลย์ บุตรขัน อัจฉริยะ คีตกวีลูกทุ่งผู้อาภัพภาคสมบูรณ์. กรุงเทพฯ : งานดี, 2560
ปฐวพล วราณุรังษี. “หยดหนึ่งน้ำนมกิน ทดแทนไม่สิ้น พระคุณ… (ใครหนอ?),” ใน ศิลปวัฒนธรรม สิงหาคม 2546.
เผยแพร่ในระบบออนไลน์ครั้งแรกเมื่อ 9 สิงหาคม 2562