ทำไม “อิสลาม” หยั่งรากลึกในคาบสมุทรและหมู่เกาะมลายูมานานเกือบ 1,000 ปี ?

คาบสมุทรและหมู่เกาะมลายู
แผนที่หมู่เกาะมลายู (Malay Archipelago) (ภาพจาก Wikimedia Commons)

ดินแดนคาบสมุทรและหมู่เกาะมลายู คือหนึ่งในภูมิภาคที่ศาสนาอิสลามหยั่งรากลึกและมีผู้คนเลื่อมใสนับถือมากสุดในโลก โดยเฉพาะอินโดนีเซียที่มีประชากรมุสลิมกว่า 250 ล้านคน

การที่ศาสนาอิสลามสามารถแผ่ขยายและฝังแน่นในดินแดนแถบนี้มิใช่เรื่องบังเอิญ แต่เป็นผลจากประวัติศาสตร์อันยาวนาน ทั้งการค้าขายระหว่างท้องถิ่นกับโลกมุสลิม การเผยแผ่ศาสนาโดยพ่อค้า ไปจนถึงการเปลี่ยนแปลงอำนาจการปกครองในยุคต่าง ๆ

ปัจจัยที่ทำให้คาบสมุทรมลายูกลายมาเป็นบ้านของชาวมุสลิมจำนวนมากคืออะไร ?

อิสลามในยุคแรกเริ่ม

ศาสนาอิสลามมีพื้นเพจากตะวันออกกลาง ในพื้นที่ของประเทศซาอุดีอาระเบียในปัจจุบัน มีอายุราว 1,400 ปี ลักษณะเป็นเอกเทวนิยม หรือพระเจ้าองค์เดียว นั่นคือ “อัลลอฮ” มีศาสดาหรือนบีคนแรกคือนบีอาดัม ท่านสุดท้ายคือ นบีมูฮัมหมัด 

หลังจากศาสดามูฮัมหมัดทรงเสียชีวิตลง จักรวรรดิอิสลามในช่วงเริ่มต้นก่อน ค.ศ. 1000 อาทิ รัฐเคาะลีฟะฮ์รอชิดีน รัฐเคาะลีฟะฮ์อุมัยยะฮ์ รัฐเคาะลีฟะฮ์อับบาซียะฮ์ สามารถแผ่ขยายอำนาจครอบคลุมตั้งแต่ยุโรปตะวันตกบริเวณสเปน ไปจนถึงเอเชียกลาง ทำให้ผู้คนจำนวนมากหันมาเข้ารับศาสนาอิสลาม ตามพื้นที่ซึ่งได้รับอิทธิพลจากรัฐอิสลามเหล่านั้น

แผนที่การขยายตัวของอิสลามภายใต้ราชวงศ์อับบาซียะฮ์ (ภาพจาก Wikimedia Commons)

สำหรับดินแดนหมู่เกาะและคาบสมุทรมลายูแตกต่างออกไป เพราะรัฐอิสลามข้างต้นไม่เคยขยายอำนาจมาถึงบริเวณนี้ แต่กลับพบหลักฐานการมีอยู่ของชาวมุสลิมในพื้นที่มาอย่างน้อยที่สุดตั้งแต่ ค.ศ. 1292 ดังปรากฏในบันทึกของ มาร์โค โปโล พ่อค้านักเดินทางชาวเวนิส ระบุว่า เมืองเปอร์ลัก (Perlak) ในสุมาตราตอนเหนือได้เข้ารับอิสลามแล้ว จึงเป็นคำถามว่าศาสนาอิสลามเดินทางเข้ามาได้อย่างไร

การเข้ามาของอิสลามในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

ในอดีต “พ่อค้า” ถือเป็นบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนโลกและเชื่อมอารยธรรมต่าง ๆ เข้าด้วยกัน เส้นทางการค้าจึงมีความสำคัญอย่างมากสำหรับพวกเขา โดยเส้นทางการค้าหลักของโลก คงหนีไม่พ้น “เส้นทางสายไหม”

จนกระทั่งมองโกลตีเมืองแบกแดด (Baghdad) แตกเมื่อ ค.ศ. 1258 ทำให้เส้นทางสายไหมโดนตัดขาด ขณะที่ความต้องการสินค้าจากเอเชียตะวันออกเฉียงใต้โดยเฉพาะเครื่องเทศยังเหมือนเดิม

เมื่อเส้นทางการค้าทางบกเสื่อมสลายลง เส้นทางการค้าทางทะเลจึงก้าวขึ้นมามีบทบาทสำคัญ เรียกว่า “เส้นทางสายเครื่องเทศ” เริ่มตั้งแต่อินเดียตะวันออก ผ่านเมืองเอเดน (Aden) ทางตอนใต้ของคาบสมุทรอาหรับ ลัดเลาะเข้าสู่ทะเลแดง จนถึงเมืองอเล็กซานเดรีย (Alexandria) ในอียิปต์ ก่อนกระจายเข้าสู่ยุโรป

นโยบายของกษัตริย์แห่งราชวงศ์มัมลุก (Mamluk) ผู้ปกครองอียิปต์ ปฏิเสธเรือสินค้าของชาวต่างศาสนิก เป็นผลให้การขนส่งสินค้าหลากชนิดจากเอเชียต้องดำเนินผ่านพ่อค้าคนกลางที่เป็นชาวมุสลิมเท่านั้น

ด้วยเหตุนี้ พ่อค้าทางทะเลจากเมืองท่าสำคัญในอนุทวีปอินเดีย อย่าง ซุรัต (Surat), แคมเบย์ (Cambay), ดิว (Diu) และคุชราต (Gujarat) ซึ่งล้วนเป็นรัฐอิสลาม จึงก้าวขึ้นมามีบทบาทสำคัญยิ่งในการค้าทางทะเลของโลกขณะนั้น

ภาพเส้นทางสายไหม (แดง) เส้นทางสายเครื่องเทศ (ฟ้า), (ภาพจาก Wikimedia Commons)

กลุ่มพ่อค้าที่มีบทบาทโดดเด่นด้านการค้าทางทะเลมากสุดคือพ่อค้าจากคุชราต ในฐานะพ่อค้าคนกลางระหว่างตะวันออกกับตะวันตก ปรากฏหลักฐานว่าพ่อค้าคุชราตอาศัยอยู่ในอาณาจักรมะละกา ซึ่งเป็นเมืองท่าการค้าสำคัญอย่างยิ่งในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ช่วงศตวรรษที่ 15 มากกว่าพันคน

พ่อค้าเหล่านี้ส่วนมากล้วนเป็นพ่อค้ามุสลิม พวกเขาไม่เพียงมาในฐานะพ่อค้า แต่เป็นผู้รู้ทางศาสนา เพราะอิสลามมิได้มีตัวแทนระหว่างคนกับพระเจ้า ดังเช่นศาสนาเอกเทวนิยมอื่น ๆ ชาวมุสลิมทุกคนจึงต้องปฏิบัติตามหลักศรัทธา หรือศีลที่เหมือนกัน ทำให้อิสลามล้วนเป็นวิถีการดำเนินชีวิตของมุสลิมทุกคน

การเดินทางของพ่อค้ามุสลิมไปยังดินแดนต่าง ๆ จึงเป็นการเผยแผ่การใช้ชีวิตแบบอิสลามเข้าไปด้วย

จากเหตุผลข้างต้น ทำให้หลายรัฐในคาบสมุทรและหมู่เกาะมลายูเริ่มได้รับอิทธิพลจากการค้าอันมีพ่อค้ามุสลิมเป็นตัวแสดงหลัก ในการเข้ามาทำหน้าที่เป็นพ่อค้าคนกลาง เป็นผลให้ผู้ปกครองหลายคนเริ่มหันมานับถือศาสนาอิสลาม เพื่อทั้งผลประโยชน์ทางด้านการค้า การเมือง รวมถึงเพราะความเลื่อมใสของตน ดังปรากฏในตำนานต่าง ๆ และหลักฐานที่เป็นลายลักษณ์อักษร อย่างThe Suma Oriental” และ Seraja Malayu”

คาบสมุทรมลายูกับอิสลาม

เมื่อมะละกาที่เป็นรัฐอิสลามเริ่มเรืองอำนาจในช่วงศตวรรษที่ 15 และขยายอำนาจการปกครองไปยังดินแดนต่าง ๆ ในคาบสมุทรมลายู ส่งผลให้หลายรัฐหันมานับถือศาสนาอิสลาม เพื่อโอนอ่อนต่ออำนาจของมะละกา

การที่รัฐในคาบสมุทรมลายูเริ่มหันมานับถือศาสนาอิสลาม ยิ่งสร้างความดึงดูดต่อเหล่าพ่อค้ามุสลิมจากหลายพื้นที่ ทำให้ศาสนาอิสลามเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วในโลกมลายู ไม่เพียงเท่านั้น การกระจายตัวของศาสนาอิสลามจากมะละกายังเป็นผลให้วัฒนธรรมมลายูขยายตัวไปรัฐต่าง ๆ อีกด้วย

กล่าวได้ว่าศาสนาอิสลามได้เข้ามาสู่ดินแดนคาบสมุทรและหมู่เกาะมลายูโดยปราศจากกองทัพ และอำนาจทางการทหาร แต่เข้ามาผ่านพ่อค้าชาวมุสลิมที่ดำรงชีวิตด้วยวิถีอิสลาม และประโยชน์ทางการเมืองและการค้า ทำให้รัฐต่าง ๆ ในคาบสมุทรมลายูหันมานับถือศาสนาอิสลามนั่นเอง

อ่านเพิ่มเติม :

สำหรับผู้ชื่นชอบประวัติศาสตร์ ศิลปะ และวัฒนธรรม แง่มุมต่าง ๆ ทั้งอดีตและร่วมสมัย พลาดไม่ได้กับสิทธิพิเศษ เมื่อสมัครสมาชิกนิตยสารศิลปวัฒนธรรม 12 ฉบับ (1 ปี) ส่งความรู้ถึงบ้านแล้ววันนี้!! สมัครสมาชิกคลิกที่นี่


อ้างอิง :

อนันต์ วัฒนานิกร. (2531). ประวัติเมืองลังกาสุกะ-เมืองปัตตานี. กรุงเทพ: บริษัท เคล็ดไทย จำกัด.

Andaya, B. W., & Andaya, L. Y. (2017). A history of Malaysia (3rd edition). Palgrave.

Did you know?: The Spread of Islam in Southeast Asia through the Trade Routes. (n.d.). Retrieved from UNESCO: https://en.unesco.org/silkroad/content/did-you-know-spread-islam-southeast-asia-through-trade-routes


เผยแพร่ในระบบออนไลน์ครั้งแรกเมื่อ 29 เมษายน 2568